Author Topic: ใช้ LAB Color ใน Photoshop อย่างไรที่จะเพิ่มเข้าไปในภาพของคุณ  (Read 6949 times)

Offline topstep07

  • PS:C
  • Full Member
  • *
  • Posts: 108
    • View Profile
 ใช้ LAB Color ใน Photoshop อย่างไรที่จะเพิ่มเข้าไปในภาพของคุณ

โพสโดย Jim Hamel แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-use-lab-color…/

คุณเคยปรารถนาที่จะแผ่กระจายจานสีในภาพของคุณไหม? หรือคุณสามารถแยกสีต่างๆที่ดูแบนหรือใกล้เคียงกันได้?
สำหรับ Photoshop คุณสามารถทำได้ โดยการเปลี่ยนภาพของคุณกับบางสิ่งที่เรียกว่า LAB color space และการปรับสีจากที่นั้น ฟังดูแล้วซับซ้อนยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วมันธรรมดามาก ถ้าคุณเคยปรับภาพด้วย Levels หรือ Curves คุณได้รู้ทุกสิ่งที่คุณต้องการรู้เพื่อให้สิ่งนี้สำเร็จได้
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ภาพด้านซ้านคือภาพ RAW ไฟล์ที่ไม่ได้ทำการปรับแต่ง ส่วนภาพด้านขวาที่เหมือนกันแต่ได้รับการปรับค่า curves ใน LAB color space
ในบทความนี้ คุณจะเรียนรู้สองสิ่ง หนึ่ง คุณจะเรียนห้าขั้นตอนง่ายๆเพื่อแยกสีโดยใช้ LAB color คุณสามารถทำตามขั้นตอนโดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไรและมันจะทำงานอย่างดีสำหรับคุณ สอง หลังจากทำตามขั้นตอนแล้ว คุณจะเห็นว่ามันทำงานอย่างไร ในทางนั้น ถ้าคุณต้องการนำไปใช้กับภาพของคุณในแบบของคุณมันจะช่วยคุณได้

การเคลื่อนที่ของ LAB Color

เราลองมาเข้าสู่ขั้นตอนของ “การเคลื่อนที่” มีอยู่ห้าขั้นตอนในกระบวนการนี้ แต่ละขั้นตอนมันง่ายและสามารถทำเสร็จได้เพียง 30 วินาที หรือน้อยกว่านั้น
1. เปลี่ยนเป็น LAB Colorspace
ขั้นแรก คุณต้องเปลี่ยนภาพของคุณไปเป็น LAB color space ในการทำคือให้คลิ๊ก “Edit” บนแทบเมนูด้านบน และเลือก “Convert to Profile” เมื่อทำเสร็จแล้วจะมีหน้าต่างปรากฎขึ้นมา จากตัวเลือก drop-down ให้เลือก LAB color เป็นอันเสร็จขั้นตอน (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
เวลานี้ ภาพของคุณยังดูเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน การเปลี่ยนคือวิธีการอ่านสีของ Photoshop ในรูปของคุณ (มีเพิ่มเติมเรื่องนี้อีก)
2. สร้าง Curves Adjustment Layer
ขั้นถัดไป คุณจะต้องสร้าง curves adjustment layer มีหลายทางที่จะทำสิ่งนี้แต่ถ้าคุณไม่มีวิธีของคุณเอง ให้คลิ๊กไปที่ “Layer” ในแทบเมนูด้านบน แล้วเลือก “New Adjustment Layer” และเลือก “Curves” และคลิ๊ก OK ในหน้าต่างที่ปรากฎขึ้นมา (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
3. ลากจุด Endpoints ของ A Channel
ทุกๆสิ่งต้องมีการทำในเบื้องต้นก่อนที่คุณจะถึงจุดนี้ และคุณยังไม่ได้มีการเปลี่ยนภาพของคุณ คุณต้องเปลี่ยนเป็น LAB color space และสร้าง adjustment layer ก่อน และจากนี้จะเริ่มสนุกกันแล้ว
คุณจะเห็นเมนูใกล้บนสุดของ adjustment layer และในตัวเลือกปัจจุบันจะเป็น “Lightness” ให้คลิ๊กไปที่มันและคุณจะเห็นตัวเลือก สามตัว The Lightness (หรือ L), A channel, และ B channel ให้เลือก A channel
คุณจะสังเกตเห็นทันทีว่าภาพฮิสโตแกรมได้เปลี่ยนไป โดยส่วนใหญ่กราฟมันจะเป็นยอดแหลมอยู่ตรงกลาง อย่าไปกังวล นั้นคือสิ่งที่ค่าฮิสโตแกรมส่วนใหญ่จะเป็นใน LAB color
สิ่งที่คุณต้องทำคือ การจับไปที่จุดด้านซ้าย (สีดำ) และลากมันไปตรงกลางของฮิสโตแกรมเพียงเล็กน้อย ไม่มีค่าแน่นอนในการเลื่อนมัน แต่ถ้าคุณกำลังมองหาค่าแนะนำมัน คือการเลื่อนไปที่ตัวเลขมันขึ้น -90 ภาพของคุณจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวที่ดูน่าเกลียดแต่ไม่ต้องกังวลไป เวลานี้ให้คุณไปที่จุดด้านขวาสุด (สีขาว)และลากมันไปทางด้านซ้าย ในความเป็นจริงแล้ว การลากมาทางด้านซ้ายมันก็เหมือนกับการลากจุดด้านซ้ายมาทางขวานั่นแหละ คุณสามารถใส่ตัวเลขด้านล่างลงไปเลยเพื่อให้การเคลื่อนที่ของแต่ละข้างมีค่าเท่ากัน (ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
สิ่งนั้นมันช่วยแก้ปัญหาเรื่องสีเขียว แต่อย่ากังวลมากไปเกี่ยวกับภาพที่ดูว่ามันดีแล้วตอนนี้ ให้เราไปในส่วนที่สองของ LAB
4. ลากจุด Endpoints ของ B Channel
อะไรที่คุณต้องทำในขั้นตอนนี้คือ การทำแบบเดียวกับที่คุณทำมาแล้วด้านบน แต่เวลานี้ให้คุณไปปรับที่ B channel แทน ดังนั้นให้คุณกลับไปที่เมนูซึ่งอ่านค่าเป็น “A” channel อยู่ ให้คลิ๊กและเลือกเป็น “B” channel
เหมือนกับที่ทำไปแล้วในขั้นตอนด้านบน เพียงแต่คุณลากจุดไปตรงกลางของฮิสโตแกรม ให้จับจุดด้านซ้าย (สีดำ) แล้วลากไปตรงกลางเพียงเล็กน้อย ภาพของคุณจะเปลี่ยนไปทางสีฟ้าแต่ไม่ต้องกังวลมัน ให้จับจุดด้านขวาและลากมาทางด้านซ้ายให้ได้ค่าเหมือนกับที่ลากจากด้านซ้ายมาทางขวามือ อีกครั้งหนึ่ง ให้ใส่ค่าตัวเลย 90 ซึ่งเป็นค่าประมาณที่คุณต้องการเลยก็ได้
5. ตรวจสอบค่าที่คุณปรับด้วยมือ
เวลานี้คุณจะเห็น “ก่อน” และ “หลัง” ของภาพที่คุณปรับ นี้คือสิ่งที่มีประโยชน์ของการทำงานเป็น layers (ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...ทางด้านขวามือบนจอภาพที่ layer ของคุณปรากฎอยู่ คุณจะเห็นลูกตาเล็กๆที่อยู่ด้านซ้ายของแต่ละ layer สำหรับ curves adjustment layer ที่คุณสร้างขึ้นมา ให้คลิ๊กไปที่ลูกตานั้น เมื่อลูกตานั้นหายไป คุณจะเป็นภาพก่อนที่ทำการปรับแต่ง และเมื่อคลิ๊กที่ลูกตาอีกครั้งคุณก็จะเห็นภาพที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง...ภาพด้านซ้ายคือ ลูกตาเปิดอยู่ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนของภาพจะแสดงให้เห็นอยู่ ภาพด้านขวา ลูกตาได้ถูกเลือก ดังนั้นภาพที่ไม่มีการปรับแต่งจะแสดงขึ้นมาแทน)
คุณเห็นไหมว่า ระดับของสีได้เพิ่มขึ้นอย่างไร? สีที่ปรากฎจะมีความเข้มและเจิดจ้า ถ้าคุณไม่สังเกตเห็นผลที่ได้มากนัก ลองเลื่อนจุด endpoints ของ A และ B channels ไปอีกเล็กน้อย (ลองปรับไปที่ 80 ถ้าคุณใช้ค่าตัวเลขในการใส่เข้าไป) ในอีกทางหนึ่ง ถ้าสีมันดูจัดจ้านไปสำหรับคุณ ก็ให้ทำการเลื่อนออกไปเล็กน้อย (ค่าประมาณ 110 ในแต่ละข้าง) หรือคุณสามารถลดผลที่ได้โดยการลดค่า Opacity ของตัว curves adjustment layer (ดูภาพตัวอย่างประกอบคำบรรยาย)
เสร็จแล้ว....เวลานี้คุณรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของ LAB color แล้ว เดินหน้ากันต่อไปละเปลี่ยนกลับไปที่ colorspace ต้นฉบับ และทำการปรับค่าที่คุณต้องการให้กับรูปภาพของคุณ ลองปรับการเลื่อนในภาพที่ต่างกันสักสองสามภาพ คุณจะพบว่ามันไม่ช่วยให้ภาพมีค่าสีที่เจิดจ้า แต่มันช่วยให้ภาพวิวทิวทัศน์ดูอัศจรรย์ก่อนหน้านี้ที่คุณพบว่ามันแบนๆ

มันทำงานอย่างไร

ในการเรียนรู้สิ่งนี้ คุณอาจจะมีคำถามเกี่ยวกับว่าสิ่งนี้มันทำงานอย่างไรและทำคุณไม่สามารถทำมันโดยปราศจากการเปลี่ยนเป็น LAB colorspace ได้ ผมจะอธิบายในส่วนที่เหลือของบทความนี้
LAB มีความแตกต่างจาก colorspace ทั่วไปอย่างไร
สำหรับผู้เริ่มต้น เราต้องเข้าใจเรื่องทั่วไปของ LAB มีความแตกต่างจาก RGB color อย่างไร ดังนั้นสิ่งแรกคุณควรเข้าใจว่าสีที่เป็น RGB และเราจะไปพูดถึงความแตกต่างของ LAB ว่าแตกต่างอย่างไร
RGB color
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย...Histograms of the RGB channels)
RGB colorspace คือมาตรฐานที่ใช้ในภาพถ่ายดิจิตอล นี้คือ colorspace ที่กล้องของคุณใช้และเป็นอันหนึ่งที่ Photoshop ก็ตั้งไว้เป็นค่าเริ่มต้น RGB ย่อมาจาก Red (แดง) Green (เขียว) Blue (ฟ้า) และเดี๋ยวมาพูดกันเล็กน้อยว่ามันทำงานอย่างไร ในผังที่เห็นนี้ กล้องหรือคอมพิวเตอร์เริ่มกับสามสีนี้และผสมกันเพื่อสร้างสีที่แตกต่างเป็นพันๆสี ในความเป็นจริง ถ้าคุณมีปัญหาในหัวของคุณว่าสีไหนเป็นสีที่ถูกต้อง (เช่น สีเหลือง) ซึ่งสามารถสร้างขึ้นโดยการผสมของสีแดง เขียว และฟ้า เข้าใจว่าความแตกต่างมากมายของลำดับชั้นของสีแดง เขียว และฟ้า เริ่มจากสีอ่อน สีอ่อนมากๆ (เกือบๆจะขาว) ในความเป็นจริง หนทางของ RGB และ LAB จะทำงานกับเรื่องความสว่างที่แตกต่างกันระหว่างพวกมันซึ่งคุณจะเห็นได้
เมื่อคุณดูที่ฮิสโตแกรมสำหรับภาพใน RGB คุณจะเห็นการผสมผสานของค่าแต่ละสี คุณสามารถเห็นค่าของแต่ละสีแยกกันโดยการคลิ๊กไปบนป้าย RGB ในตัว curves adjustment layer เมื่อคุณทำสิ่งนี้คุณจะสังเกตว่าฮิสโตแกรมแต่ละช่องสีจะแตกต่าง แต่ไม่แตกต่างมาก

LAB color

(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย...Histograms of the LAB channels)
LAB color space จะให้คำนิยามสีที่แตกต่าง ซึ่ง RGB จะให้ความหมายสีโดยการรวมกันของสีแดง เขียว และฟ้าในค่าที่มีลำดับชั้นสีที่แตกต่างกัน LAB จะใช้สามช่องทางที่แตกต่าง พวกมันคือ Lightness บางครั้งเรียกว่า A Channel และ B Channel ซึ่ง Lightness, A Channel, และ B Channel เรียกสั้นๆว่า L-A-B (LAB)
แต่ channel พวกนี้คืออะไร เริ่มต้นที่ตัว Lightness แน่นอนมันคือตัวแรกที่พูดถึง แต่มันยังเป็นสิ่งที่คุณคุ้นเคยที่สุด มันอ้างถึงความสัมพันธ์ ของความสว่างของตัวพิกเซล ปราศจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสี ดังนั้น Lightness เป็นเหมือนพวกภาพสีเทา ซึ่งแต่ละพิกเซลให้ความหมายของความใกล้เคียงสีขาว หรือดำที่ตกอยู่บน scale ฮิสโตแกรมของ Lightness ดูเหมือนเป็นสิ่งที่คุณเคยใช้ ค่าของแสงที่เหมาะสมในภาพกับความเปรียบต่างที่ดีควรจะกระจายออกไปทั่วทั้งหมด
A และ B channel จะไม่เป็นสิ่งที่คุ้นเคยกับคุณ ซึ่ง Lightness channel จะอธิบายถึง ความสว่างของพิกเซลที่ปราศจากเรื่องของสี ส่วน Aและ B channel จะพูดถึงสีที่ปราศจากเรื่องของ Lightness สีและlightness คือสิ่งที่แบ่งแยกใน LAB ไม่รวมเหมือนกับพวก RGB
ลองมาพูดถึง A channel ก่อนแล้วกัน ตัวอักษร “A” ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น มันถูกเรียกเป็นเพียงสีที่มีสอง channel คือ A และ B เท่านั้น ใน A channel คือสิ่งที่บอกถึงค่าสีที่เกี่ยวกับว่ามีสีเขียวเท่าไร หรือสีแดงม่วงเท่าไร ส่วนที่อยู่ตรงกลางคือ สีเทา และความเข้มของสีเขียวมากในด้านหนึ่งและความเข้มของสีแดงม่วงอีกด้านหนึ่ง
B channel ก็ทำงานเหมือนกับ A ยกเว้นว่ามันอธิบายถึงสีที่มีสีฟ้าด้านหนึ่งและสีเหลืองอีกด้านหนึ่ง
มันอาจจะช่วยให้คิดได้เหมือนสิ่งนี้ ขณะที่ RGB ได้อธิบายถึงสีแต่ละสี เหมือนการรวมกันของสีแดง เขียว และฟ้า LAB จะอธิบายแต่ละสีเหมือนการรวามกันของสีเขียว สีแดงม่วง สีฟ้า และสีเหลือง กับความสว่างที่แยกจากกัน อย่างไรก็ดีขณะที่แต่ละสีมี channel ของตัวเองใน RGB สีก็ยังแบ่งปัน channel ใน LAB (2 ต่อหนึ่ง Channel)
ถ้าคุณกำลังเริ่มจากการใช้ LAB colorspace ลองเล่นมัน โหลดภาพของคุณบางภาพและเข้าไปใน LAB ดังนั้นเข้าไปใน 3 channel บนตัว curves adjustment layer มองดูผลกระทบของการเลื่อนจุดที่อยู่บนฮิสโตแกรม คุณควรเริ่มดูว่า A channel มันมีการวัดค่าของความสมดุลของสีเขียวและสีแดงม่วงอย่างไร และ B channel ก็มีการวัดค่าความสมดุลระหว่างสีฟ้าและสีเหลือง

พลังของ LAB

นี้คือสิ่งที่น่าสนใจและทำไม LAB ถึงมีความแตกต่างในหลายทางที่เหนือกว่า RGB ลองดูที่ฮิสโตแกรมของ channel A ในภาพของคุณ ไม่มีข้อสงสัยอะไร กราฟยอดแหลมอยู่ตรงกลาง เพราะว่า LAB คือ color space ที่กว้างและผมพิจารณาว่า มันปกติที่ค่าฮิสโตแกรมมันอยู่ตรงกลาง ถ้าคุณอออกมาจากตรงจุดกึ่งกลางคุณจะได้สีแบบประสาทหลอน และเกินกว่าที่คุณได้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือ จินตนาการของสีที่อยู่นอกเหนือบางสิ่งที่คุณสามารถนำมาใช้ได้จริง
สีที่เป็นไปไม่ได้ไม่ใช่ประเด็น แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ผลกระทบกับฮิสโตแกรมที่มันสร้างขึ้น การที่สีของภาพคุณทั้งหมดจะอยู่ตรงกึ่งกลางของฮิสโตแกรมหมายความว่าคุณมีพื้นที่ในการเลื่อนจุด endpoints ของฮิสโตแกรมและผลจาการที่ยืดค่าสี
การเลื่อนแบบนี้ทำไม่ได้ใน RGB โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน RGB คุณจะไม่มีช่องว่างเพียงพอของแต่ละข้างในฮิสโตแกรมที่จะเลื่อนจุด endpoints สีต่างจะกระจายไปเกือบทั่วฮิสโตแกรม แต่ถึงแม้ว่าคุณจะมีพื้นที่ในฮิสโตแกรมใน RGB มันจะผลกับค่าความสว่างและความสมดุลของสีในภาพเท่านั้น
อีกเหตุผลหนึ่งที่ LAB มีพลังคือการแยกความสว่างออกจากสี ด้วยผลของการแยกจากกันนี้เอง การปรับค่าจุดสีดำ และจุดสีขาวในฮิสโตแกรมของ A หรือ B channel จะมีผลกับสีเท่านั้น คุณสามารถยืดสีออกโดยปราศจากการทำให้มันเกิดความสว่างมาก หรือมืดมากได้
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ.... Before and after LAB color enhancements.)

สรุป
เพียงแต่รู้และใช้ LAB color พื้นฐานในการปรับเลื่อนสีจะมีผลกระทบกับภาพของคุณอย่างมากในทางที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันมากกว่าการเพิ่มค่าความอิ่มตัว มันคือการยืดรายละเอียดของสี
การโยกย้ายแบบนี้มีเพียงใน LAB colorspace เท่านั้นที่เป็นไปได้ ก็เพราะว่า
• LAB colorspace คือสิ่งทีครอบคลุมในช่วงของการปรับจุดสีดำและสีขาวในฮิสโตแกรม
• การแยกค่าของ Lightness จากค่าของสีและการใส่ค่าของความสว่างใน channel ของมันเอง (L Channel) ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถสร้างผลกระทบกับสีโดยปราศจากผลกระทบกับความสว่าง หรือความเปรียบต่างในภาพ
พื้นฐานของการปรับย้าย คือการเริ่มต้นที่คุณสามารถทำได้ จากที่นี้คุณสามารถทำการปรับแต่งเพิ่มเติมใน channel A และ B ซึ่งจะเอาสีที่ไม่ต้องการออกโดยการเลื่อนจากข้างหนึ่งให้มากกว่าอีกข้างหนึ่ง หรือคุณสามารถใช้ mask และ affect ของสีในพื้นที่ที่เจาะจงในภาพของคุณได้ เริ่มจากขั้นพื้นฐานของการปรับย้ายสีใน LAB และคุณจะเห็นการปรับให้ดีขึ้นในทันทีและในไม่ช้าคุณจะเริ่มเห็นความเป็นไปได้ในด้านอื่นด้วย