Recent Posts

Pages: 1 ... 7 8 [9] 10
81
กับมือถือผมยังทำไม่เป็นเลย กำลังหัดอยู่
82
น่าจะพาไปเยอะเลยแบบนี้
83
ทำไมผมถึงได้ย้ำนักย้ำหนากับเพื่อนสมาชิกนักถ่ายภาพถึงเรื่องของการพยายามเขียนคำบรรยายภาพ...ผมเห็นอะไรในนั้น?

ด้วยประสบการณ์ที่สาละวนอยู่ในสวนอักษรและกรอบสี่เหลี่ยมอยู่พอสมควร ผมจึงพอที่จะประมวลได้ครับว่า "การเขียน" ที่หลายท่านขยาดนี้จะช่วยเรียบเรียงความคิดให้เป็นขั้นเป็นตอนเข้าลู่เข้าทางได้ดีขึ้น เพราะคุณต้องพยายามเรียงลำดับก่อนที่จะเรียงร้อยอักษรประกอบมันออกมาให้ต่อเนื่องกันเพื่อให้เป็นเรื่องราวเกิดขึ้น

ประโยชน์ของการเรียงลำดับความคิดอันเนื่องมาจากการเขียนส่วนหนึ่งนั้นมันก็จะวนกลับมาเป็นทักษะในการถ่ายภาพของเราด้วยครับ ก่อนที่จะถ่ายภาพคุณก็จะมีการเรียงลำดับเรื่องราวและความสำคัญของสิ่งที่จะถ่ายภาพได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนและดูน่าสนใจ ไม่ใช่เพียงแค่เห็นอะไรแล้วก็ถ่ายภาพมันทื่อๆ ออกไปอย่างนั้น ยิ่งคุณฝึกฝนการเขียนได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเซียนในการถ่ายภาพได้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัวด้วย เพราะรู้แล้วว่ากำลังจะนำเสนออะไรออกไป และมันควรจะถูกนำเสนอด้วยมุมมองอย่างไร ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นสัญชาตญาณที่แทบจะไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ มันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก

ก่อนที่จะเขียนให้ดีได้เราต้องรู้จักการ "อ่าน" เสียก่อน ถ้าท้อแท้ต่อการอ่านก็อย่าเพิ่งไปอ่านอะไรที่มันยาวๆ ทำความคุ้นเคยให้กับสมองของเราด้วยการอ่านบทความสั้นๆ เพื่อให้มันชินแล้วค่อยขยับชั้นขึ้นไป ไม่ต้องพยายามไปจับใจความอะไรทั้งสิ้นครับ แค่อ่านไปเพลินๆ แล้วถามตัวเองว่าเรารู้เรื่องมากน้อยแค่ไหนและอะไรที่เกิดขึ้นในความรู้สึกของเรา เอาแค่นั้นก่อน

และเมื่อเริ่มฝึกเขียนก็ไม่ต้องวุ่นวายสวิงสวายบันเทิงอักษรอะไรเยอะแยะนักครับ ปล่อยให้ชั้นเชิงสำบัดสำนวนอันโลดโผนให้เป็นเรื่องของพวกเซียนเค้าไป ของเราเอาแค่เขียนออกมาให้ได้ว่า "ใคร"- "ทำอะไร"- "ที่ไหน"- "เมื่อไหร่"- "อย่างไร" เท่านี้พอ ไม่ต้องยืดยาวมากนัก เรียงลำดับตามนี้ไปเลย ค่อยๆ ฝึกฝนไปครับ สั้นๆ แต่ได้ใจความน่าดู

จากนั้นก็ค่อยๆ เหยาะเพิ่มรสชาติทางข้อความเพิ่มเข้าไปทีละนิดละหน่อย ไม่นานก็จะเขียนได้คล่องและลื่นไหลมากขึ้นเอง ...ทุกสิ่งอย่างต่างก็ต้องการก้าวแรกทั้งนั้นแหละ

...แล้วมันจะนำเรื่องและโอกาสดีๆ เข้ามาสู่ชิวีตของเราเอง

หลายท่านรู้จักอีกด้านหนึ่งของผมว่าเป็นนักพูดน้ำไหลไฟดับด้วย ขอบอกว่าทักษะนี้ก็ได้มาจาก "การเขียน" ที่ผมฝึกฝนอยู่บ่อยๆ นี่แหละครับ

"ใคร"- "ทำอะไร"- "ที่ไหน"- "เมื่อไหร่"- "อย่างไร" ...อย่าลืมคาถานี้นะครับ  ;)
84
หกหนทางในการสร้างภาพที่ต้องร้อง “ว้าว” ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง

โพสโดย Alex  Morrison แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/6-ways-to-take-wow-photos-in-less-than-an-hour/

ถ้าคุณเป็นเหมือนช่างภาพคนอื่นๆ ไม่มีสิ่งใดจะน่าตื่นเต้นมากกว่าคำแนะนำหรือกลเม็ดใหม่ๆ ที่ช่วยให้คุณถ่ายภาพที่น่าจับใจ ปัญหาคือการทำงานและวิธีการเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และทำให้ถูกต้อง คุณได้ตระหนักอย่างรวดเร็วว่ามันต้องใช้เวลาของคุณมากมายในการพยายามกับเทคนิคใหม่เพื่อให้กลายเป็นช่างภาพที่ดีกว่าเดิม
(ดูภาพตัวอย่างประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....เสาไฟในที่จอดรถสามารถกลายเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ได้)
คุณยังยุ่งกับการถ่ายภาพมากกว่าในการดูแลและใครละที่จะไม่ชื่นชมกับภาพธรรมดาซึ่งเป็นผลลัพท์ออกมาอย่างรวดเร็ว
ให้เราลืมเรื่องค่ารูรับแสง และความเร็วชัตเตอร์ ความยาวโฟกัส ค่า ISO และเทคนิคต่างๆ ไปก่อนตอนนี้ ถ้าคุณใช้เทคนิคในบทความนี้ แบบลำพัง หรือจะผสมผสานแบบลงตัว ผมรับรองได้ว่าคุณจะเรียนรู้ว่าการถ่ายภาพที่ต้องร้อง ว้าว ใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง ผมใช้การ snapshot ในการสร้างภาพที่ต้องร้อง ว้าว กับชั้นเรียนถ่ายภาพของผม จากเด็กเกรดหนึ่งที่ไม่เคยเห็นกล้องมาก่อนเลยถึงระดับมืออาชีพผู้ซึ่งต้องการฉีดยาในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นคลังความรู้ของการถ่ายภาพ มันใช้ได้ผลกับทุกๆคน ผมรับรอง ลองดูซิ

วีธีที่หนึ่ง...มุมมองแบบนก

ในการใช้ชีวิตของเราแต่ละวันเรามองเห็นโลกจากที่สูงเพียงแค่ 5-6 ฟุต ถ้าต้องการสร้างภาพ “ว้าว” คุณต้องมีมุมภาพที่แตกต่าง แสดงให้ผู้ชมได้เห็นจุดมองที่ไม่ใช่การมองแบบปกติ ไม่ว่าตัวแบบจะเป็นอะไรก็สามารถแปลงให้เป็นภาพที่ต้องร้อง “ว้าว” ได้ ถ้าคุณถ่ายมันจากจุดบนแล้วก้มลงมา สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมเรียกมันว่า มุมมองแบบนก...

วิธีที่สอง..มุมมองแบบหนอน

เหมือนกัน...เราไม่ค่อยได้มีเวลาที่จะอยู่ในระดับต่ำเท่ากับพื้นดิน ดังนั้นลองถ่ายภาพในมุมต่ำและเงยกล้องของคุณขึ้น หรือเหมือนกับการสำรวจโลกจากมุมมองของตัวหนอน (ให้ท้องคุณแตะพื้น) และมองสิ่งที่อยู่ในโลกนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ มันจะทำให้ภาพที่ได้ต้องร้อง “ว้าว” จากมุมมองแบบตัวหนอน
การถ่ายภาพในลักษณะนี้จะเพิ่มประโยชน์ที่ช่วยกำจัดสิ่งที่รบกวนของฉากหลัง เช่น ตึก ต้นไม้ หรือ วัสดุอื่นๆ ที่คุณไม่ต้องการให้อยู่ในภาพ...มันเป็นโบนัสเลยละ....

วิธีที่สาม....การถ่ายแบบทำมุม

เพียงแค่ความสูง 5 ฟุตของเราจะได้ค่าเฉลี่ยในมุมมองที่แน่นอน มันจะทำให้เราได้เส้นแนวนอนและแนวตั้งที่ทำมุมกัน เราจะเห็นภาพในโลกแบบนี้ 90 % ตลอดเวลา และมันไม่ใช่สิ่งจะทำให้ภาพต้องร้อง “ว้าว” ถ้าคุณถ่ายภาพแบบนี้ แต่ให้คุณลองมุมกล้องทำมุม 45 องศาซึ่งสามารถเพิ่มความมีชีวิตชีวาได้ ให้แน่ใจว่ามันมีการทำมุมที่ใหญ่เพียงพอและชัดเจนในการทำแบบมีวัตถุประสงค์ไม่ใช่ความผิดพลาด
ไม่ว่าจะเป็นตึก ต้นไม้ หรือวัตถุใหญ่ๆ หรือแม้แต่คนจะดูดีกับการหมุนมุมเพียงนิดหน่อยเมื่อคุณต้องการให้มันเป็นแบบนั้นหรือเพิ่มอิทธิพลที่ผลกระทบกับภาพ

วิธีการที่สี...ให้ดวงอาทิตย์อยู่หลังตัวแบบของคุณ

มีสิ่งที่น่าเหลือเชื่อหลายแบบในรายละเอียดของเทคนิคสำหรับการถ่ายภาพเงาดำ แสงริมไลท์ และหรือแสงจากด้านหลัง แต่แท้จริงสิ่งที่คุณต้องการสร้างภาพที่ต้องร้อง “ว้าว” คือการวางตัวแบบของคุณ เพื่อว่า ดวงอาทิตย์ หรือแหล่งกำเนิดแสงอยู่ตรงด้านหลังพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นส่วนศีรษะหรือร่างกายที่บังจุดหลักของแสงที่สองมา ให้ถ่ายภาพในโหมด Manual และให้แน่ใจว่าได้ปิด flash แล้ว เล็งและวัดค่าแสงไปที่ดวงอาทิตย์ และจัดองค์ประกอบภาพกับดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลังตัวแบบ ไม่ว่ามันจะเป็นสัตว์ หรือคน หรือวัตถุ ให้ใช้มันเป็นตัวบังดวงอาทิตย์และคุณจะเป็นผู้ชนะ....

วิธีการที่ห้า....ใช้เงา

ไม่มีสิ่งใดที่จะเล่าเรื่องได้ดีไปกว่าเงา พวกมันไม่มีตัวตน ไม่ถาวร และลึกลับ การรวมเอาเงาเข้าไว้ในภาพถ่าย หรือจะถ่ายเพียงแต่เงา พวกมันจะเล่าเรื่องได้น่าสนใจ และสร้างภาพที่น่าประทับใจ

การถ่ายภาพที่ต้องร้อง “ว้าว” แบบสุดยอด

การถ่ายภาพที่ต้องร้อง “ว้าว” แบบสุดยอดคือภาพที่ถูกสร้างเมื่อคุณใช้หนึ่งในเทคนิคหรือทั้งหมดข้างต้น โดยรวมกันของ เรื่องแบบ มุม และจุดสนใจ
ลองนำไปใช้กับสิ่งที่คุณได้เรียนมาแล้ว
โดยสรุปแล้ว ห้าวิธีการจะให้ผลของภาพที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ และถ้าคุณเชี่ยวชาญกับกล้องและความรู้เกี่ยวกับการวางองค์ประกอบภาพ ทฤษฎีสี และแสง คุณจะถ่ายได้เหมือนกับช่างภาพอาชีพซึ่งใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง รวมถึงเวลาที่ได้อ่านบทความนี้ด้วย ถ้าคุณมีความชำนาญในการถ่ายภาพ ลองสิ่งเหล่านี้และมันจะช่วยให้ภาพถ่ายมีชีวิตอย่างง่ายๆ ขณะที่เพิ่มกลเม็ดเด็ดให้กับผลงานของคุณด้วย

ลองแสดงภาพที่ต้องร้อง “ว้าว” ให้ผมได้เห็น ผมชอบที่จะเห็นว่าคุณได้นำมันไปใช้อย่างไร แบ่งปันภาพของคุณในช่องความเห็นด้านล่างนะครับ
85
 เทคนิคและคำแนะนำในการถ่ายภาพน้ำตก

โพสโดย Ron Bigelow แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย

http://www.picturecorrect.com/…/waterfall-photography-tips…/

น้ำตกดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่จับอยู่ในจิตใจของผู้คน ลองไปในสถานที่สักหนึ่งที่ที่มีน้ำตกมากกว่าหนึ่งแห่งและรับรองได้เลยว่ามันจะดึงดูดคุณ ถ้ามันไม่ใช่การดึงดูดหลักของพื้นที่นั้น อย่างไรก็ตามความสวยของน้ำตกมันไม่ง่ายที่จะเก็บภาพสวยๆด้วยกล้อง มันง่ายในการถ่ายภาพน้ำตก มันไม่ง่ายในการถ่ายภาพให้มีพลัง
(ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย “Dead Leaves And The Dirty Ground” captured by Mark Broughton (Click Image to See More From Mark Broughton)
การถ่ายภาพน้ำตกจะมีปัญหาที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งต้องใช้การแก้ไขที่มีเอกลักษณ์เช่นกัน ในบทความนี้พูดถึงปัญหาที่เป็นเอกลัษณ์เฉพาะและแนวทางแก้ไขซึ่งยอมให้ช่างภาพผลิตภาพที่สื่อถึงความมีพลังและความสวยงามของน้ำตกที่มีอยู่นานแล้ว

สภาพอากาศ

สภาพอากาศจะเล่นเป็นบทหลักใหญ่ๆในการผลิตภาพน้ำตกที่ยอดเยี่ยม ดูเหมือนง่าย การถ่ายภาพน้ำตกจะไม่สวยตอนสภาพอากาศที่แดงเปรี้ยง เวลาที่ดีที่สุดของการถ่ายภาพน้ำตกคือช่วงที่สภาพอากาศมีเมฆมาก..
น้ำตกบางที่จะถ่ายภาพดีที่สุดในช่วงแสงที่มีเมฆมาก แสงแบบนี้จะผลิตแสงที่นุ่มนวลแต่ยังคงมีพลังที่เพียงพอที่จะดึงเอาสีเข้ามาในภาพด้วย น้ำตกบางแห่งก็ถ่ายภาพสวยในช่วงมืดครึ้มมาก สภาพแบบนี้สามารถสร้างอารมณ์ของภาพกับพลังที่ถ่ายทอดไปสู่ความรู้สึกของอารมณ์ในภาพ แท้จริงแล้วภาพน้ำตกที่มีพลังสามารถถูกสร้างในช่วงหน้าฝน (ระหว่างที่ฝนหยุดตก)
(ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย “Skogafoss” captured by AEvar Guomundsson (Click Image to See More From AEvar Guomundsson)

ตัวฟิลเตอร์เก่า

สิ่งสำคัญที่ท้าทายของการถ่ายภาพน้ำตกคือน้ำที่กระเซ็นเข้ามาที่เลนส์ ( หรือฟิลเตอร์ที่อยู่ด้านหน้าเลนส์) น้ำตกที่มีพลังจะมีปริมาณน้ำที่มากที่จะสร้างละอองน้ำ อีกทางหนึ่ง สภาพอากาศอาจจะสร้างหมอก ฝนตกปรอยๆ หรือฝนที่เข้ามาในเลนส์ ทั้งหมดนี้สามารถทำให้แย่ลงไปอีกโดยลม (ซึ่งมันจะพัดตรงไปที่เลนส์ของผม) ทางแก้ไขอีกทางหนึ่งคือใช้ฟิลเตอร์เก่าใสไว้ด้านหน้าเลนส์ขณะที่อุปกรณ์กำลังติดตั้ง ขณะที่ช่างภาพพร้อมที่จะออกไป ช่างภาพจะเอาตัวฟิลเตอร์ออกจากเลนส์เพื่อทำการถ่ายภาพ

ขาตั้งกล้อง

อย่าคิดว่าการถ่ายภาพน้ำตกนั้นไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ส่วนที่ใหญ่สุดของน้ำตกธรรมชาติคือการเคลื่อนไหวของน้ำ การเคลื่อนไหวแบบนี้การเก็บภาพจะต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าเพียงพอที่จะให้ภาพชัดซึ่งไม่สามารถถ่ายภาพด้วยการถือกล้องมือเปล่าได้
(ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย “Fiery Autumn Waterfall” captured by Forest Wander (Click Image to See More From Forest Wander)

ไวท์บาลานซ์

แสงที่มีผลกับการถ่ายภาพน้ำตกสามารถหลอกได้ ในช่วงฟ้าครึ้มหรือฝนตก แสงจะให้โทนไปทางสีฟ้าจางๆ ถ้าน้ำตกที่อยู่ในป่า แสงจะสะท้อนจากต้นไม้และให้แสงสีเขียวจางๆ ไม่ว่าจะเป็นการตั้ง ออโต้ไวท์บาลานซ์หรือตัว พรีเซ็ทไวท์บาลานซ์ในตัวกล้องจะไม่ยืนยันว่าไวท์บาลานซ์นั้นแน่นอน ทางแก้ไขที่ดีที่สุดคือใช้การตั้งไวท์บาลานซ์แบบ manual (คู่มือกล้องของคุณจะอธิบายว่าการตั้งค่านั้นทำอย่างไร)

โพลาไรซ์เซอร์

ตัวแบบที่เปียกน้ำจะสร้างแสงสะท้อน แสงนี้ถูกแบ่งเป็นส่วนๆ นี้คือปัญหาทั่วไปกับการถ่ายภาพน้ำตกเพราะว่าหินและพืชพรรณต่างๆ ที่อยู่ใกล้น้ำตกจะเปียกและจะปริมาณของการสะท้อนแสง ตัวโพลาไรซ์เซอร์จะเอาแสงสะท้อนนี้ออกได้ สิ่งเพิ่มเติม โพลาไรซ์เซอร์เป็นผลลำดับรองโดยการเอาแสงสะท้อนออก ความอิ่มตัวของสีจะถูกเพิ่มขึ้นด้วย

ตัววัดระดับ

เป็นที่น่าเศร้าใจว่าสายตาของมนุษย์ไม่ดีพอที่ตัดสินว่ากล้องอยู่ในระนาบที่ตั้งตรง โชคดี ตัววัดระดับถูกออกแบบอย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับการวัดระดับของตัวกล้องถ่ายภาพ ตัววัดระดับมีราคาไม่แพง เล็ก ง่ายในการใช้งานที่เสียบอยู่บนช่องใส่แฟลชที่อยู่บนหัวกล้องและช่างภาพสามารถปรับตัวกล้องให้ตรงกับตัววัดระดับ มันทำงานเหมือนกับตัววัดระดับน้ำของช่างไม้ ง่ายๆ เพียงให้ตัวฟองอากาศข้างในอยู่ระหว่างเส้นตรงกลางและกล้องก็จะถูกปรับระดับให้ตรงตามนั้น
(ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย “Waterfall” captured by Derrick Smith (Click Image to See More From Derrick Smith)

องค์ประกอบภาพ

การระบุและการเก็บภาพที่มีองค์ประกอบภาพที่ทรงพลังคือสิ่งที่สำคัญส่วนของการสร้างภาพน้ำตกที่มีพลัง ขณะที่วัตถุประสงค์ของบทความนี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องขององค์ประกอบภาพ มุมมองขององค์ประกอบภาพ เส้นโค้งและสภาพแวดล้อมก็ยังคงรวมอยู่ด้วย
เส้นโค้งสามารถสร้างหรือหยุดภาพน้ำตกได้ มีเส้นโค้งสองแบบที่สำคัญ แบบแรกของเส้นโค้งคือรูปทรงของน้ำ น้ำตกส่วนใหญ่จะมีการไหลของน้ำหรือตกลงมาในทิศทางรูปแบบเส้นโค้งซึ่งสร้างความน่าสนใจมากกว่าน้ำตกที่มีน้ำตกลงมาแบบตรงๆ สาระสำคัญคือ เส้นโค้งที่อ่อนช้อยจะเพิ่มความงดงามให้น้ำตกได้มากที่เดียว รูปแบบที่สองของเส้นโค้งคือ ความโค้งของตัวแบบที่ชี้ไปยังน้ำตก ความโค้งแบบนี้จะชี้ตรงไปที่น้ำตกและทำให้เป็นจุดกึงกลางของความน่าสนใจ
ส่วนประกอบที่สองของการวางองค์ประกอบภาพน้ำตกที่ครอบคลุมในบทความนี้คือ สภาพแวดล้อมที่อยู่ล้อมรอบน้ำตก นี้คือสิ่งที่สำคัญสำหรับการถ่ายภาพน้ำตก โดยตัวของมันเองการตกของน้ำดูไม่น่าสนใจ ยิ่งกว่านั้นมันยังแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่ทำให้น้ำตกมีลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นทำไมไม่รวมเอาสภาพแวดล้อมธรรมชาติเข้าไปอยู่ในภาพของคุณด้วย การล้อมรอบของก้อนหิน ต้นไม้ และพืชสามารถทำให้ภาพน้ำตกที่มีชีวิตได้

ความเร็วชัตเตอร์

ค่าความเร็วชัตเตอร์อะไรที่ควรใช้ในการเบลอน้ำตก? ดูเหมือนว่าคือคำถามแรกของคนที่ต้องการถ่ายภาพน้ำตก อย่างไรก็ตาม ไม่มีสิ่งใดเป็นค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ถูกต้องสำหรับการถ่ายน้ำตก ค่าความเร็วชัตเตอร์ที่เหมาะสมคือห้าปัจจัยดังนี้
(ดูภาพตัวอย่างประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...“Play Misty for Me” captured by Debra Vanderlaan (Click Image to See More From Debra Vanderlaan)
• The amount of blur desired
• ปริมาณของน้ำ
• ความเร็วของน้ำ
• ระยะห่างระหว่างกล้องและน้ำ
• ทิศทางการไหลของน้ำกับเลนส์ที่ใช้
ค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ดีที่สุดจะผันแปรจากน้ำตกแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง ในตอนแรก ฟังดูแล้วน่ากังวลใจเล็กน้อย “ผมจะปรับค่าความเร็วชัตเตอร์อย่างไรให้ดีที่สุด มันเปลี่ยนจากน้ำตกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง” แท้จริงแล้วกับกล้องดิจิตอลมันง่ายมากที่จะหาค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ดีที่สุด คุณสามารถทดสอบถ่ายภาพในค่าความเร็วชัตเตอร์ที่แตกต่างกันและทดสอบดูผลที่ได้ผ่านจอแสดงภาพ ซูมภาพเข้าไปดูในจอจะช่วยให้คุณเห็นรายละเอียดของน้ำว่าฟุ้งแค่ไหน
สำหรับน้ำตกขนาดใหญ่กับปริมาณน้ำที่มากมายที่ซึ่งมันเป็นที่ชื่นชอบของการเก็บภาพความรุ่นแรงของธรรมชาติของน้ำตก ค่า 1/100 วินาทีคือค่าความเร็วชัตเตอร์ที่เริ่มต้น สำหรับน้ำตกขนาดเล็กกว่า น้ำตกที่มีน้ำน้อย หรือน้ำตกที่ซึ่งเราชอบถ่ายให้เหมือนภาพความฝัน ความเร็วชัตเตอร์จะอยู่ที่ 1/2 วินาที ถึง 2 วินาที

ค่าการรับแสง

การได้ค่ารับแสงที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ท้าทายเมื่อทำการถ่ายภาพน้ำตก แน่นอน...ปัญหาใหญ่ที่สุดสิ่งหนึ่งคือมันง่ายที่จะเกิดไฮทไลท์ที่น้ำ มันหมายถึงว่า รายละเอียดในน้ำจะหายไป และน้ำจะกลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีแต่แสงสีขาวล้วนๆ เมื่อมันเกิดขึ้น น้ำจะดูไม่สมจริง แนวทางแก้ไขของปัญหาคือ ลองถ่ายภาพน้ำตกและตรวจสอบค่าฮิสโตแกรมในจอแสดงภาพในกล้องของคุณ ถ้าค่าฮิสโตแกรมมันตัดส่วนด้านขวาออกไป ค่าไฮทไลท์ก็จะหายไปด้วย ถ้ามันเป็นแบบนี้ ค่ารับแสงต้องการค่าที่ลดลง
(ดูภาพตัวอย่างประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ..“Guadalupe River on Roar” captured by Rob Zabroky (Click Image to See More From Rob Zabroky)

บทสรุป
คำแนะนำเหล่านี้ คุณควรจะได้วิธีของคุณเองในการเก็บภาพน้ำตกที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน
86
 ขั้นตอนการปรับแต่งภาพดิจิตอล- ภาพที่ดีกว่าเริ่มจาก การถ่ายภาพจนถึงผลลัพท์สุดท้ายที่ได้

โพสโดย Nat Coalson แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/digital-photo-editin…/

ภาพที่ดีกว่าจากการถ่ายภาพสู่ผลลัพท์สุดท้าย
การมองที่ครอบคลุมถึงความสำคัญของขั้นตอนและหลักการที่มีผลกับการปรับแต่งภาพโดยเน้นที่เครื่องมือหลัก
คุณเคยลองหาภาพที่คุณรู้ว่าคุณเคยใช้มันมาก่อน แต่จำไม่ได้ว่าเก็บมันไว้ที่ไหน หรือเรียกมันว่าอะไร? คุณพบว่าตัวคุณเองได้ปรับแต่งภาพที่เคยปรับมาแล้วก่อนหน้านี้? หรือคุณติดขัดที่จะเริ่มที่คุณรู้ว่าสามารถทำได้ดีกว่า แต่ไม่แน่ใจว่าปรับอย่างไร หรือไม่รู้จะเริ่มตรงไหน?
เราอยู่ที่นี้แล้ว จำนวนภาพหลายร้อยภาพที่จัดเรีรยง ไฟล์ที่กระจัดกระจายทั่วไปในฮาร์ดิสก์ ภาพที่หายไป หรือภาพที่ซ้ำซ้อนที่ไม่จำเป็น ภาพที่ถูกซุกซ่อนไว้ในที่ลึกลับกับชื่อที่สับสน หรือการพิมพ์ภาพจองแล็ปที่ดูดี หรือไร้ประโยชน์ ในขณะที่รู้ว่าคุณมีภาพที่มีค่าอยู่เพียงแต่รอการค้นหาและนำมันกลับขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง
(ดูภาพผังขั้นตอน ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ถ้าคุณมีความรู้สึกเกี่ยวกับภาพถ่ายดิจิตอลแบบนี้อยู่ มันไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณคนเดียว การเก็บภาพดิจิตอลกลายเป็นสิ่งที่ง่ายในช่วงเวลาไม่นานมานี้และมันก็ง่ายที่ทำให้ปวดหัวเช่นกัน เพียงเพราะว่าจำนวนของภาพที่คุณสร้างมันขึ้นมาก
สำหรับช่างภาพที่เอาจริงเอาจัง การถ่ายภาพคือเพียงจุดเริ่มต้นที่มีกระบวนการสลับซับซ้อนที่เต็มไปด้วยหลุมพราง ดังนั้นคุณจัดการกับสภาพยุ่งเหยิง รกรุงรังนี้อย่างไร? กุญแจที่จะนำภาพดิจิตอลของคุณให้ดูน่าสนุกและสร้างสรรค์คือการรับเอามาและปรับเปลี่ยน อย่างมีประสิทธิผล และมีขั้นตอนที่สอดคล้องกัน

ทำไมต้องมีขั้นตอนด้วย

ความคิดดูเป็นเรื่องธรรมดา ขั้นตอนจัดการภาพถ่ายของคุณคือลำดับของขั้นตอนและการปรับแต่งภาพของคุณที่ทำให้เกิดผลลัพท์ที่เสร็จสมบูรณ์และแบ่งปันพวกมันไปยังโลกภายนอก การปรับแต่งภาพก็เหมือนกับการอบขนมเค้กหรือการประกอบเฟอร์นิเจอร์ คุณเริ่มจากส่วนประกอบที่เป็นวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนต่างๆ และทำตามขั้นตอนในการที่จะประกอบมันเข้าด้วยกัน ในกระบวนการขั้นตอนของภาพถ่ายที่ดีคือผลลัพท์สุดท้ายที่เป็นภาพสมบูรณ์แบบ เก็บไว้อย่างปลอดภัยสำหรับการนำมาใช้อีกในอนาคต ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เป็นไปได้
ความมีประสิทธิภาพคือสิ่งสำคัญ ถ้าปราศจากขั้นตอนที่ดีแล้วอย่างน้อยสุดก็คือคุณเสียเวลา แย่สุด คุณอยู่กับความเสี่ยงที่จะสูญเสียภาพที่มีค่าไป ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผมรู้จักช่างภาพงานแต่งงานคนหนึ่งซึ่งกลายเป็นช่างภาพระดับอาชีพผู้ซึ่งได้สูญเสียภาพถ่ายในงานแต่งงานทั้งหมดเนื่องจากความผิดพลาดง่ายๆ ในขั้นตอนการทำงานของเธอเอง (สั้นๆ คือ ความผิดพลาดที่เกิดจากความสับสนในกระบวนการย้ายไฟล์เข้าและรวมถึงไม่มีการสำรองข้อมูลที่เพียงพอ)
คุณอาจจะถ่ายภาพเพื่อความสนุกอย่างเดียวก็ได้ใช่ไหม? ถ้าคุณกำลังวางแผนในการถ่ายภาพอย่างต่อเนื่อง คุณก็ยังคงต้องใช้กระบวนทำงานที่มีประสิทธิภาพอยู่ดี ถ้าไม่การเก็บภาพของคุณจะกลายเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ดุร้าย และยากที่จะทำให้เชืองได้ และภาพของคุณก็จะดูไม่ดีเท่ากับสิ่งที่พวกมันควรจะเป็น ไม่สนุกเลย...
เมื่อคุณได้เริ่มการถ่ายภาพดิจิตอล คุณต้องการการพัฒนานิสัยที่ดีตั้งแต่เริ่มต้นแม้ว่าคุณถ่ายมันมาหลายปีแล้วก็ตาม มันไม่สายเกินไปที่จะพัฒนา

กระบวนของคุณ

ตอนนี้ มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล
คุณสามารถสร้างกระบวนการทำงานของภาพถ่ายดิจิตอลที่เหมาะสมกับสถานการณ์และความพึงพอใจของคุณเองได้ แต่ทุกๆกระบวนการขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพมีส่วนของงานร่วมกันอยู่ ต้นตอของเทคนิค และการปฎิบัติที่เป็นเลิศ นี้คือกระบวนการที่ถูกสร้างและพัฒนาในโลกของความเป็นจริงโดยใช้ภาพถ่ายหลายประเภท พวกเขานำมาใช้อย่างเท่าๆ กันกับผู้เริ่มต้นที่มีความกระตือรือร้นและระดับมืออาชีพ
ครั้งแรกที่ผมเริ่มปรับแต่งภาพในช่วงก่อน ค.ศ. 1990 โดยทำงานในสำนักพิมพ์นิตยสาร ภายใต้ความกดดันของวันครบกำหนดและต้องจัดการภาพดิจิตอลเป็นพันๆ ภาพ กระบวนการขั้นตอนที่ดีเป็นสิ่งสำคัญมาก ขณะที่ทำงานเป็นช่างภาพ ผมจะปรับแต่งกระบวนการขั้นตอนของผมเองมาเป็นเวลาสิบปีและผมยังคงปรับแต่งมันเล็กน้อยตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงเวลานี้
การที่ยังคงค้นหาแนวทางอย่างต่อเนื่องเพื่อจะได้ไขน๊อตให้แน่นที่จะช่วยกำจัดความเสี่ยงของความเสียหายขณะที่ยังคงฝึกฝนการถ่ายภาพให้มีความสนุกและเป็นรางวัลไปด้วย คุณสามารถมีกระบวนการขั้นตอนของคุณเองได้เช่นกัน เริ่มต้นคุณเพียงแต่ต้องการความเข้าใจปัญหาทั่วๆไปและงานที่คุณต้องเจอ ดังนั้นเรียนรู้เครื่องมือที่ดีที่สุดและเทคนิคในการจัดการพวกมัน สิ่งที่ดีสำหรับกระบวนการจัดการภาพถ่ายคือ
• ใช้ขั้นตอนที่ไม่มากเท่าที่เป็นไปได้
• การทดลองที่ไม่ทำลายผลงาน และยอมให้คุณเปลี่ยนใจ หรือทำอีกครั้งโดยปราศจากการเสียคุณภาพของภาพถ่าย
• ป้องกันภาพของคุณเวลานี้และสำหรับอนาคต
• ลองมองหาภาพที่ดีที่สุด
ตอนนี้เรามาดูส่วนที่สำคัญของกระบวนการขั้นตอนการปรับแต่งภาพถ่ายกัน
(ดูผังขั้นตอนการทำงาน ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)

ขั้นที่ 1 การถ่ายภาพ

อะไรก็ตามที่เป็นผลลัพท์สุดท้ายในสิ่งที่คุณกำลังมองเห็น ภาพถ่ายดิจิตอลที่ดีเยี่ยมเริ่มต้นกับข้อมูลที่ดี คุณจะพยายามทำการถ่ายภาพที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ และโดยส่วนใหญ่ พยายามจบจากในกล้องให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ทำงานอย่างระมัดระวังในการได้ค่ารับแสงที่แน่นอนกับระดับความคมชัดของฉากหรือตัวแบบโดยไม่ได้คำนึงถึงรูปแบบของภาพที่ถ่าย คุณควรทำงานกับเทคนิคของกล้องอย่างมืออาชีพ

ขั้นที่ 2 การนำเข้า

การก๊อปปี้ไฟล์จากอุปรกรณ์จัดเก็บเคลื่อนที่ไปยังที่เก็บถาวรเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า การดาวน์โหลด การนำเข้าสู่ การโอน ฯลฯ แต่ผลที่ได้มันเหมือนกัน หลังจากที่ถ่ายภาพมาเสร็จแล้วให้ทำการก๊อปปี้ภาพถ่ายของคุณจากการ์ดความจำไปยังโฟลเดอร์จัดเก็บใหม่ที่อยู่บนฮาร์ทดิสก์ และทำการสำรองข้อมูลทุกๆสิ่งเอาไว้
Backup. Backup. Back Up!
ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกคนรู้ถึงความสำคัญของการสำรองข้อมูลดี แต่หลายคนก็ไม่เคยทำมัน หรือไม่ได้ทำอย่างเพียงพอ นี้ไม่ใช่ขั้นตอนเดียวในกระบวนการ มันคือบางสิ่งที่คุณควรทำบ่อยๆในการกระบวน คุณควรมีภาพที่ถูกเก็บไว้อย่างน้อยสามที่ที่แยกแหล่งเก็บจากกัน
1. ที่เก็บต้นฉบับหลักในการทำงาน
2. ตัวสำรองปัจจุบันของต้นฉบับหลัก
3. ตัวสำรองที่เก็บตั้งแต่ในอดีต โดยจัดเก็บแยกจากต้นฉบับและที่สำรองไว้ออกไปไว้ในสถานที่อื่น
(หัวข้อของเรื่องที่จัดเก็บภาพดิจิตอลและการสำรองข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญที่เราจะต้องย้อนกลับมาดูอีกในอนาคต)

ขั้นที่ 3 การจัดระเบียบ

หลังจากที่รูปภาพของคุณถูกทำสำเนาลงในพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในการทำงาน (และการสำรองข้อมูล)แล้ว ให้จัดเรียงรูปภาพแยกภาพที่คุณชื่นชอบออกจากทั้งหมด สิ่งที่ดีที่สุดในการทำสิ่งนี้คือการให้คะแนน (เช่น การใส่จำนวนดาว) หรือการจัดเรียงโดยใช้ (สี, ธงสัญลักษณ์ และอื่นๆ)
ระบบชนิดไหนก็ตามที่คุณชอบใช้ ให้เก็บภาพทั้งหมดจากการถ่ายเพียงครั้งเดียวในหนึ่งโฟลเดอร์และใช้การให้คะแนนด้วยคำอธิบายในสิ่งที่คุณได้เลือกไว้ ในขั้นตอนนี้คุณควรประยุกต์ใช้และเพิ่มตัวนิยามของข้อมูลรวมกับไฟล์ของคุณด้วย คำหลัก(keywords), ลิขสิทธิ์ และข้อมูลการติตต่อ คือข้อมูลอีกประเภทหนึ่งที่คุณสามารถเพิ่มไว้กับภาพถ่ายดิจิตอล

หลีกเลี่ยงโฟลเดอร์นรก

ก่อนหน้านี้ในยุดสื่อดิจิตอล มันเป็นการปฎิบัติทั่วไปในการย้ายไฟล์จากโฟลเดอร์หนึ่งไปยังอีกโฟลเดอร์หนึ่งขณะที่ทำการปรับกระบวนขั้นตอนการทำงาน ตัวอย่างเช่น ภาพต้นฉบับที่แสกนมาจากฟิลม์ควรจะเก็บไว้ในหนึ่งโฟลเดอร์เป็นอันดับแรก ขณะที่ภาพส่วนตัวถูกเลือก มาปรับแต่งและได้ผลลัพท์ออกมา ไฟล์จะถูกทำสำเนาอีกครั้ง (หรือเคลื่อนย้าย)ไปยังอีกโฟลเดอร์หนึ่งเพื่อไปยังขั้นตอนของการทำงาน อย่าทำแบบนี้ มันสร้างโครงสร้างของไฟล์และโฟลเดอร์ที่จัดการได้ยากและทำให้เกิดการจัดระเบียบที่ดีเป็นไปไม่ได้เลย
ซอฟท์แวร์การจัดเก็บภาพสมัยใหม่และพวกที่เฉพาะเจาะจง ตัวนิยามของข้อมูล (metadata) ยอมให้คุณจัดระเบียบไฟล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าโดยการใช้ขบวนการเสมือนจริง (เช่น Lightroom’s Collections และการสำเนาข้อมูลเสมือน (virtual copies) โดยปราศจากความต้องการในการทำสำเนาหรือเคลื่อนย้ายภาพถ่ายต้นฉบับบนตัวฮาร์ทดิสก์ กระบวนการขั้นตอนการทำงานที่มีประสิทธิภาพไม่ต้องการที่จะต้องแยกโฟลเดอร์สำหรับชนิดของไฟล์ที่แตกต่างกัน

ขั้นที่ 4 การพัฒนาปรับแต่ง

นี้คือที่ซึ่งคุณใช้กระบวนการดิจิตอลที่ทำให้แต่ละภาพออกมาดูดีที่มันสามารถเพิ่มเติมเข้าไปได้ในความคิดสร้างสรรค์ของคุณสำหรับภาพ เหมือนกับขั้นตอนที่ 2 การนำเข้า ขั้นตอนนี้มีชื่อที่แตกต่างขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังคุยกับใคร การพัฒนาปรับแต่ง คือ สิ่งที่ถูกใช้โดย ผู้ใช้งาน Lightroom การเพิ่ม การปรับ การแต่งภาพ และปรับแก้ไขอยู่ในการอธิบายของขั้นตอนนี้ซึ่งตัวมันเองประกอบไปด้วยหลายๆ ขั้นตอน
คำสั่งของการจัดการในการพัฒนาปรับแต่งภาพขึ้นอยู่กับลักษณะของภาพต้นฉบับ บางภาพต้องการการเพิ่มเติมมากกว่าภาพอื่นๆ ซึ่งมันเป็นไปได้ในการจัดลำดับของขั้นตอนตามข้างล่างนี้
คำแนะนำ ทำจากสิ่งที่ใหญ่ไปหาเล็ก
ทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ใหญ่ที่สุดก่อน และค่อยทำงานในรายละเอียด ในการปรับแต่งภาพถ่ายมันหมายถึงการทำงานปรับแต่งในภาพรวมก่อน (ซึ่งหมายถึงการนำไปใช้กับภาพทั้งหมด) ก่อนที่เริ่มทำงานในแต่ละภาพ และในก่อนหน้านี้ของกระบวนการทำงาน การนำไปใช้ในการเปลี่ยนของภาพในขั้นตอนรวมก่อนที่จะย้ายไปทำแต่ละภาพ
ขั้นตอนการพัฒนาปรับแต่ง
1. การ Crop และ straighten ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนการจัดองค์ประกอบภาพ การตัดส่วนของภาพสามารถเปลี่ยนภาพของคุณที่สำคัญ มันดีที่สุดที่จะทำมันก่อนการปรับแต่งแต่คุณต้องการใช้ขั้นตอนที่ยอมให้คุณกลับไปแก้ไขการตัดส่วนของภาพที่หลังได้ถ้าคุณเกิดเปลี่ยนใจ

2. แก้ไขการบิดเบี้ยว เลนส์ส่วนใหญ่จะมีค่าของการบิดเบี้ยวอยู่บนภาพ บางเลนส์ก็มาก การแก้ไขการบิดเบี้ยวคือสิ่งแรก เป็นขั้นตอนทั่วๆ ไป
3. การปรับค่ารับแสงและโทน ช่วงของโทนในภาพอ้างถึงระดับของความสว่างในแต่ละค่าพิกเซล จากขาวบริสุทธิ์ไปจนถึงดำสนิท โทนจะแยกออกจากสี ง่ายๆ เพียงตั้งค่าจุดสีขาวและดำสามารถสร้างผลกระทบได้ทั่วทั้งภาพ ดังนั้นคุณควรทำสิ่งนี้ก่อนจะไปปรับสีต่างๆ โทนของความเปรียบต่างควรจะทำในขั้นตอนนี้ ค่าความต่างระหว่างโทนสว่างและมืดควรจะพิจารณาว่ามันมีผลกระทบมากแค่ไหนในภาพ บางภาพก็ดูดีที่สุดเมื่อมีค่าความเปรียบต่างที่ต่ำๆ
4. การปรับค่าไวท์บาลานซ์ และสี ค่าไวท์บาลานซ์ จะมีบทบาทที่ใหญ่ที่สุดในสีของภาพ ถ้าภาพมีค่าสีที่แข็ง ตัวอย่างเช่น ภาพถ่ายในอาคารโดยใช้ค่าไวท์บาลานซ์นอกอาคาร คุณควรจะแก้ไขมันก่อนทำเรื่องโทน แต่สำหรับภาพที่มีค่าไวท์บาลานซ์ที่ดูเหมือนแน่นอนแล้ว ตั้งค่าโทนก่อนที่จะทำค่าไวท์บาลานซ์ให้ดีขึ้น หลังจากปรับค่าไวท์บาลานซ์ค่อยมาพิจารณาเกี่ยวกับการปรับค่าสี
5. การปรับแต่งภาพต่างๆ...นี้คือการปรับแต่งกับภาพส่วนเล็กของภาพ ตัวอย่างการใช้ dodging และ burning (ปรับสว่างและมืด ตามลำดับ) และการเลือกปรับสีต่างๆ โดยทั่วไปคุณควรจะลองปรับภาพแต่ละภาพหลังจากการปรับภาพรวมทั้งหมดเสร็จแล้ว
6. การปรับลดค่าน้อยส์ น้อยส์ปรากฎในภาพดิจิตอลเหมือนหยดสีนุ่มๆ หรือเม็ดจุดด่างๆ ภาพส่วนใหญ่สามารถถูกพัฒนาในการลดค่าน้อยส์ได้หลากหลายวิธี การถ่ายภาพด้วยค่า ISO ที่สูง ถ่ายในตอนกลางคืน หรือถ่ายแบบ underexposed ซึ่งต้องการปรับลดค่าน้อยส์อย่างมาก โดยปกติคุณต้องการลดค่าน้อยส์หลังจากคุณปรับโทนและสี เพราะว่าการปรับแต่งในภาพรวมจะมีผลกับน้อยส์ที่ปรากฎขึ้นด้วย ให้ซูมภาพขึ้นมาใหญ่ๆเพื่อปรับลดน้อยส์และทำภาพให้คมชัด
7. ทำให้คมชัด ความคมชัดคือความเปรียบต่าง ความคมชัดที่ปรากฎในภาพดิจิตอลเป็นรากฐานของการเกี่ยวโยง ความสว่างหรือความมืดของพิกเซ็ลรอบขอบของเส้นภายในภาพ ยิ่งมีความเปรียบต่างมากตามขอบเท่ากับยิ่งมีความคมชัดมากด้วย คุณไม่ควรจะพยายามปรับระดับความคมชัดจนกระทั่งคุณได้ปรับโทนในภาพรวมแล้ว เพราะว่าความเปรียบต่างในภาพทั้งหมดจะมีผลกระทบหลักในความคมชัด คุณทำภาพให้คมชัดขึ้นไปสักนิดหรือไม่ในกระบวนการปรับแต่งภาพ
8. การปรับแต่งภาพ ภาพหลายๆภาพจะประกอบไปด้วยหลายส่วนที่คุณต้องจะเอามันออกไปด้วยกัน ในบางกรณีมันคือการประดิษฐ์ เพราะผลของภาพที่ปรับแต่งไม่พึ่งพอใจ หรือจากคุณสมบัติของกล้องที่รวมถึง น้อยส์, ภาพขอบม่วง, มุมมืด และฝุ่นจากตัวเซนเซอร์ บางทีบางสิ่งที่น่าเกลียดอยู่ในภาพ เช่นเสาโทรศัพท์โผล่ขึ้นมาบนศีรษะของแม่ยายคุณ การปรับแต่งภาพโดยใช้ ตัวเครื่องมือ Lightroom’s Spot Removal หรือตัว Photoshop’s Clone Stamp และ Healing Brush การปรับแต่งวิธีอื่นสามารถลดหรือกำจัดสิ่งที่ต้องการปรับแต่งได้ ดังนั้นมันจะทำให้เสียเวลาและแรงงานในการปรับแต่งภาพก่อนหน้านี้ในกระบวนการทำงาน ตัวอย่าง คุณสามารถใช้เวลา 20 นาทีในการเอาฝุ่นออกรอบๆ ขอบของภาพและตัดสินใจที่ตัดขอบภาพออก คุณทำการปรับแต่งภาพแบบนี้จนจบกระบวนการทำงานไหม
9. ใส่ special effects การปรับแต่งภาพในขั้นตอนก่อนหน้านี้จะเป็นการนำไปใช้กับภาพส่วนใหญ่ หลังจากที่คุณแก้ไขปัญหาทางด้านเทคนิคและปรับภาพให้อยู่ในคุณภาพมาตรฐานที่ยอมรับได้แล้ว ลองพิจารณาการปรับแต่งที่พิเศษและการใส่สิ่งที่พิเศษลงไป
ขั้นที่ 5 ผลลัพท์ที่ได้ออกมา
หลังจากที่ได้ทำการปรับแต่งภาพในระดับที่สมบูรณ์แบบที่คุณพอใจแล้ว ลองคิดถึงการแบ่งปันและการนำไปผลิตใหม่อีกครั้ง ในโลกของดิจิตอล ผลลัพท์ที่ได้ออกมาโดยทั่วไปหมายถึง หนทางมากมายที่คุณสามารถนำภาพของคุณไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง การทำแบบนี้ หลังจากที่คุณเสร็จสิ้นการปรับแต่งภาพการส่งออกของไฟล์ภาพที่ไม่ใช่ต้นฉบับไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้
การแบ่งปันในโลกออนไลน์เป็นการเริ่มต้นที่ดีเยี่ยม เว็ปไซต์ส่วนใหญ่จะมีค่าพารามิเตอร์ที่สำคัญที่คุณต้องรู้ว่าภาพของคุณจะดูดีที่สุดในแบบใด (และค่าคุณสมบัติของเว็ปไซต์ทั้งหลายก็ไม่เหมือนกัน) ใช้เวลาในการค้นหาว่าการ อัพโหลดไฟล์ไปไว้บนเว็ปแบบไหนดีที่สุด
การพิมพ์ภาพที่มีคุณภาพสูง หนังสือรูปภาพ การ์ด ปฎิทิน ภาพพิมพ์ fine art และอื่นๆ ทั้งหมดนี้ก็ต้องทำตามค่าพารามิเตอร์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการนำภาพออกไปใช้จากการปรับแต่งภาพด้วยซอฟท์แวร์
คำแนะนำ....เกี่ยวกับปรับขนาดของภาพ
เมื่อคุณกำลังปรับแต่งภาพ คุณควรจะปรับแต่งภาพต้นฉบับกับค่าความละเอียดเดิมๆ พูดในแง่หนึ่งคือ ค่าพิกเซ็ลอะไรก็ตามของภาพที่ออกมาจากกล้องโดยตรงก็ให้ปรับแต่งขนาดจากค่านั้น การปรับขนาดควรจะทำทุกๆครั้งที่จบกระบวนการและเป็นเพียงการ copy ไฟล์ต้นฉบับในการนำออกไปใช้กับรูปแบบผลลัพท์ที่เฉพาะเจาะจงที่อยู่ปลายทาง อย่าปรับขนาดกับไฟล์ต้นฉบับ ( Lightroom จะทำได้ง่ายในขั้นตอนนี้ ซึ่งมันจะไม่ควบคุมการปรับขนาดระหว่างปรับแต่งภาพ คุณสามารถทำมันได้เพียงระหว่างการนำภาพออกไปใช้)

การเอาชนะกระบวนปรับแต่งภาพของคุณ

เมื่อคุณไม่ได้ทำตามระบบที่ดี ภาพดิจิตอลของคุณสามารถกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คุณปวดเศียรเวียนเกล้าได้ ภาพสูญหาย การทำขั้นตอนซ้ำๆ และไม่ได้คุณภาพของสิ่งที่คุณคาดหวังกับผลกระทบที่ได้จากกระบวนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ใครต้องการสิ่งเหล่านี้ละ?
จำไว้ว่า ทุกๆคนที่มีกระบวนการทำงานภาพถ่ายของตัวเองย่อมต้องมีจุดเริ่มต้นสักที่ คุณอาจจะมีแล้วในบางส่วนของการปรับแต่งภาพ เวลานี้ ลองดูว่าอะไรเป็นคอขวดและกุญแจสำคัญในการพัฒนากระบวนการทำงานปรับแต่งภาพของคุณ ลองเลือกมาหนึ่งอันที่ไม่คุ้นเคยหรือท้าทายและเริ่มจากจุดนั้น
การประดิษฐ์กระบวนการทำงานของคุณไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวหรือไม่ได้ราบรื่นตรงไปตรงมา มันมีหลายขั้นตอนและมีหลุมพรางที่อาจเกิดขึ้นได้ คุณต้องศึกษและฝึกฝนในแต่ละขั้นตอนที่แตกต่างที่ไม่ขึ้นตรงต่อกัน แล้วนำมันมาผูกรวมกันให้เป็นกระบวนการทำงานที่อยู่ด้วยกัน

คำแนะนำ

เหตุผลหลักที่ Adobe Photoshop Lightroom ถึงได้ถูกพิจารณาว่าเป็นซอฟท์แวร์การปรับแต่งภาพที่ดีที่สุดอย่างกว้างขวาง คือ มันให้ความสามารถที่คุณต้องการรับมือกับกระบวนการทำงานกับภาพของคุณตามที่ผมได้อธิบายไว้ข้างต้น
เมื่อคุณตามกระบวนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำงานกับภาพและการพัฒนาความเข้าใจในหลักการอย่างท่องแท้ที่อยู่ภายใต้การตัดสินใจของคุณ คุณจะมีการทำงานที่สนุกมากกับสิ่งที่คุณชื่นชอบ มากกว่าไปติดอยู่กับงานที่น่าเบื่อ
ฝึกฝนกับกระบวนการเทคนิคการทำงานที่ดีจะช่วยคุณให้ได้ภาพที่ดีเยี่ยม....อย่างง่ายๆ
87
สามวิธีง่ายๆในการถ่ายภาพที่ดีกว่าในการท่องเที่ยวของคุณในครั้งต่อไป

โพสโดย Anne McKinnell

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/3-simple-ways-to-get-better-photos-on-your-next-trip/

ฉันรักการเดินทาง สำหรับฉันไม่มีสิ่งใดจะมาเทียบกับการได้อยู่บนท้องถนนและตื่นขึ้นมากับสถานที่ใหม่ทุกวัน การถ่ายภาพที่แตกต่างทั้งหมดที่ฉันได้ทำระหว่างการเดินทางมันคือรางวัลส่วนใหญ่ที่ได้จากพวกมัน
การถ่ายภาพขณะเดินทางท่องเที่ยวหรือพักร้อนเป็นสิ่งที่มีคุณภาพพิเศษเพราะว่าคุณกำลังเห็นตัวแบบเป็นครั้งแรก การเดินทางได้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่เป็นเอกลักษณ์ ความไม่คุ้นเคยกับวิวทิวทัศน์ สภาพอากาศ และวัฒนธรรมสามารถสลัดคุณออกได้ง่ายๆ อย่างไรก็ดี มันมีหลายสิ่งที่สามารถทำให้มันดูสวยงาม สิ่งหนึ่งในนั้นก็คือ รูปภาพ
(ดูภาพประกอบคำบรรยาย...Bay of Fundy, New Brunswick)
เมื่อเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ คุณต้องการสร้างภาพถ่ายที่เด่นชัดของสิ่งที่คุณรู้สึกเกี่ยวกับสถานที่นั้น คุณต้องการสร้างภาพที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนของคนอื่น ความรู้สึกของความน่าอัศจรรย์ที่คุณรู้สึกเมื่อเห็นสถานที่สวยงามในครั้งแรกสามารถถ่ายทอดลงไปในรูปภาพที่คุณถ่ายกับสามคำแนะนำที่ช่วยให้คุณถ่ายภาพได้ดีกว่าเดิม

1. วางแผน วางแผน วางแผน

เมื่อคุณตัดสินใจได้แล้วว่ากำลังจะไปที่ไหน ให้อ่านข้อมูลในพื้นที่นั้นและศึกษาด้วยตัวคุณเองเกี่ยวกับสถานที่ที่จะไปและดูว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไรในการคาดการณ์ของคุณ อากาศเป็นอย่างไร มีเหตุการณ์พิเศษอะไรที่จะเกิดขึ้นบ้างในที่นั้น ดอกไม้จะบานไหม ถ้าคุณกำลังเดินทางไปต่างประเทศ ภาษาเป็นอุปสรรคไหม ถ้าใช่ พยายามเรียนรู้จักคำหลักๆและนำเอาสมุดเกี่ยวกับภาษาไปกับคุณด้วย ไม่ว่าคุณไปที่ไหนก็ตามในโลกนี้ คนท้องถิ่นจะช่วยคุณได้มากเมื่อคุณสามารถพูดภาษาของพวกเขาได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงบางคำก็ตาม
ค้นหาสิ่งอื่นที่อยู่รอบๆซึ่งคุณสามารถมองเห็นระหว่างที่คุณไปถึง ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพธรรมชาติ คุณสามารถค้นหาสถานที่ที่ดีเยี่ยมได้โดยการศึกษาจากแผนที่ เว็ปไซต์การถ่ายภาพและการสนทนาซึ่งมีคำแนะนำมากมายและตัวอย่างของสถานที่น่าสนใจในการถ่ายภาพ การเรียนรู้ประวัติของสถานที่และวัฒนธรรมจะช่วยให้คุณได้ตัวแบบที่ไม่เหมือนใครและน่าสนใจ
(ดูภาพประกอบคำบรรยาย...Sanibel Island, Florida )
ค้นหาให้มากเท่าที่คุณสามารถทำได้เกี่ยวกับสถานที่และตัวแบบที่คุณกำลังจะถ่ายภาพ ดังนั้นคุณสามารถเตรียมตัวของคุณสำหรับพวกมันได้อย่างดี สำหรับตัวอย่าง ถ้าคุณกำลังถ่ายในทะเลทราย ใกล้มหาสมุทร หรือในที่อากาศหนาวเย็น เปียก หรือมีสภาพชื้น คุณจะรู้ว่าต้องนำสิ่งใดไปป้องกันห่อหุ้มตัวกล้องจากการทำลายโดยความชื้น ความเค็ม และทราย ถ้าคุณคาดว่าอุณหภูมิจะต่ำกว่า 10 องศา C หรือสูงกว่า 40 องศา C แบตเตอรี่สำรองจะถูกต้องการขณะที่พวกมันจะสูญเสียพลังงานไปอย่างรวดเร็วในสภาพอากาศที่แย่แบบนั้น คุณอาจจะพิจารณาถึงการเช่าเลนส์ชนิดพิเศษซึ่งเหมาะกับตัวแบบอย่างเช่น เลนส์ ซุปเปอร์เทเล หรือ เลนส์ tilt-shift คุณจำเป็นต้องรู้ว่าควรสวมใส่ชุดอะไรสำหรับแต่ละสภาพอากาศ
(ดูภาพประกอบคำบรรยาย...Big Bend National Park, Texas)

2. อย่าปล่อยให้อุปกรณ์ของคุณทำให้คุณอ่อนใจ

ไม่ว่าที่ไหนที่คุณจะมุ่งหน้าไป ที่นั้นมีบางสิ่งที่คุณต้องการไม่ว่าอะไรก็ตาม เมื่อคุณเก็บอุปกรณ์ของคุณเข้ากระเป๋าให้ทำรายการสิ่งของเพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ลืมสิ่งใดที่สำคัญ มันควรจะรวมถึง
1.   กล้องหลัก
2.   กล้องสำรอง
3.   เลนส์ช่วงธรรมดา (ประมาณ 50mm)
4.   เลนส์ช่วงยาว (ประมาณ 100mm หรือมากกว่า)
5.   เลนส์มุมกว้าง (ประมาณ 35mm หรือน้อยกว่า)
6.   เลนส์ที่คุณชอบใช้บ่อยๆ
7.   ตัวฟิลเตอร์
8.   ที่ชาร์จแบตเตอรี่
9.   แบตเตอรี่ สำรอง และการ์ดความจำ และที่เก็บสำรองข้อมูลภาพ (คอมพิวเตอร์, external drive, cloud)
10.   ผ้าเช็ดเลนส์ หรือ ตัวเป่าฝุ่นที่ทำให้อุปกรณ์กล้องสะอาด
11.   กระเป๋าใส่กล้องที่สะดวกสบาย  (แนะนำว่าเป็นกระเป๋าที่ไม่โชว์โดดเด่นว่าเป็นกระเป๋ากล้องเพื่อหลีกเลี่ยงเป็นเป้าหมายของหัวขโมย)
12.   ขาตั้งกล้องที่แข็งแรง เบา และดี มีหลายยี่ห้อเช่น Manfrotto, Giottos และ Benro สำหรับการเดินทางที่พิเศษ ขาตั้งกล้องต้องแข็งแรง เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ที่เบา และมีขนาดเล็กเมื่อพับเก็บเหมาะกับการพกพา
(ดูภาพประกอบคำบรรยาย...Strathcona Provincial Park, British Columbia)
การเลือกในการเก็บสิ่งของต่างๆ อย่านำสิ่งที่คุณไม่ได้ใช้ไปด้วยเพราะว่ากระเป๋ากล้องจะหนักมาก และเร็วมาก ใช้กระเป๋าเดินทางที่เบาและไม่ต้องผ่านการตรวจกระเป๋ากล้องของคุณ เมื่อมีการตรวจกระเป๋าสามารถทำให้เกิดการผิดพลาดหรือสูญหายได้ ถ้าคุณต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน ตรวจสอบข้อจำกัดของขนาดและน้ำหนักกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องเพื่อคุณจะไม่พบกับการไม่ต้อนรับแบบสร้างความประหลาดใจที่สนามบิน ถ้าคุณต้องเดินทางออกนอกประเทศ ให้ซื้อประกันสำหรับการเดินทางซึ่งจะครอบคลุมอุปกรณ์ที่มีค่าจากการสูญหาย ถูกทำลาย หรือถูกขโมยขณะเดินทาง

3. ค้นหาความเป็นเอกลักษณ์

เมื่อเดินทางท่องเที่ยว พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่ทัวร์จะพานักท่องเที่ยวไปชม และสถานที่ดึงดูดที่มีคนจำนวนมาก ไม่เพียงแต่จะมีคนเป็นจำนวนมากที่จะขวางมุมถ่ายภาพของคุณ แต่ยังมีคนอีกมากมายที่จะถ่ายภาพในมุมเดียวกับคุณด้วย ดังนั้นต้องแทนด้วยการค้นหาสถานที่ที่สวยงามที่คนอื่นมองข้าม คุณสามารถหาข้อมูลได้ในโลกออนไลน์ แต่ทางที่ดีที่สุดคือการได้พูดคุยสนทนากับผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั้นๆ เริ่มจากพนักงานของโรงแรมที่เป็นมิตร และถามสถานที่ท้องถิ่นที่สวยงามที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็น
(ดูภาพประกอบคำบรรยาย....Goblin Valley State Park, Utah)

สิ่งนี้สามารถเริ่มต้นได้จากการจองที่พักของคุณ แทนที่จะพักในโรงแรมทั่วๆ ไป ลองค้นหาสถานที่ที่มีลักษณะพิเศษเช่น เป็นตู้ วิลล่า หรือ ที่พักแบบมีอาหารเช้าง่ายๆ  ถ้าคุณเหมือนกับผม คุณสามารถพบกับไซต์ RV ซึ่งมีความสวยงามส่วนกลางที่เรียกว่าเป็น บ้านเกิด ยิ่งคุณใช้เวลากับสถานที่นั้นมากเท่าไรคุณยิ่งสามารถแสดงถึงโอกาสการถ่ายภาพที่เป็นตัวเองมากเท่านั้น
จำไว้ว่าให้คุณใช้เวลาของตัวคุณเองในการมีประสบการณ์กับสถานที่นั้นก่อนที่คุณจะเริ่มลงมือถ่ายภาพ ลองให้โอกาสตัวคุณเองในการมองหาอะไรที่พิเศษของสถานที่ก่อนสิ่งอื่นใด และพยายามที่ถ่ายทอดไปถึงภาพของคุณ ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพบางสิ่งที่ธรรมดาเหมือนกับอนุเสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงหรือสวนสาธารณะแห่งชาติ พยายามมองหาในมุมใหม่ๆ ไม่ซ้ำใคร

(ดูภาพประกอบคำบรรยาย....Joshua Tree National Park, California)
มันง่ายที่กลายเป็นผู้ชนะของสถานที่ใหม่ๆ ที่มีธรรมชาติไม่เหมือนบ้านตัวเอง แต่จงจำไว้เสมอว่า แสงที่ดีเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของช่างภาพ สถานที่ใหม่ๆ จะดูน่าสนใจสำหรับคุณในช่วงตอนกลางวัน แต่มันจะดูวิเศษมากในช่วงที่มีแสงที่ดี...
88
วงจรแสงธรรมชาติสำหรับช่างภาพ

โพสโดย Jim Hamel แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/natural-light-cycle-photographers/
 
แสงธรรมชาติคือ ภาพถ่ายวิวทิวทัศน์ที่ถูกสร้างขึ้น บางรูปแบบของภาพก็ขึ้นอยู่กับแสงแฟลช แต่ภาพถ่ายวิวทิวทัศน์ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับลำแสงของดวงอาทิตย์ที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงของพวกเขาแสงธรรมชาติจากดวงอาทิตย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาทีของวัน ภาพที่ถ่ายตอนเก้าโมงเช้าจะดูมีความแตกต่างจากภาพที่ถ่ายตอนเจ็ดโมงเช้า แม้ว่ามันจะเป็นที่มีตัวแบบเหมือนกัน จากมุมภาพเดียวกัน ใช้การตั้งค่ากล้องเหมือนกันและความยาวโฟกัส การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดวันนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาการถ่ายภาพแนววิวทิวทัศน์ โดยการเข้าใจสภาพแสงที่แตกต่าง คุณจะรู้ว่าอย่างไรและเมื่อไรที่จะต้องตั้งค่าและพร้อมในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์
การเปลี่ยนแปลงในแสงธรรมชาติจะไม่มีผลกระทบในแสงโดยรวมและระดับค่าการรับแสงในภาพของคุณ และยังรวมถึงพวกสีและความเปรียบต่างด้วย แสงที่แตกต่างจะสนับสนุนตัวมันเองให้มีผลความแตกต่างกับกล้อง ในบทความนี้เราจะเข้าไปดูช่วงเวลาของวันสำหรับช่างภาพวิวทิวทัศน์ เราจะมุ่งเน้นไปที่ข้อดีเป็นหลักและความท้าทายของแต่ละหัวข้อ

ตอนเช้า

เริ่มจากตอนเช้า ชั่วโมงของดวงอาทิตย์ขึ้นแต่ละครั้งเป็นขุมทรัพย์สำหรับช่างภาพ โชคไม่ดีสำหรับช่วงเวลานอนหลับของคุณ ช่างภาพจะไม่เริ่มเมื่อรุ่งอรุณ แต่จะเริ่มก่อนหน้านั้น บางครั้งโอกาสที่ดีที่สุดของการถ่ายภาพคือก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้น ในช่วงเวลานี้ ฟ้ากำลังเริ่มสว่างขึ้น แต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ลอยพ้นขอบฟ้า  คุณต้องพบกับระดับแสงที่น้อย หมายถึงคุณต้องการขาตั้งกล้อง และสายลั่นชัตเตอร์
แต่การเอาชนะอุปสรรค มีข้อดีที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือการถ่ายภาพก่อนดวงอาทิตย์จะชึ้น  คุณจะไม่เผชิญหน้ากับความเปรียบต่างๆที่แข็งกระด้างมากเกิน หรือปัญหาของ dynamic range ขณะที่ทุกๆสิ่งในภาพของคุณยังคงมืดอยู่ ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากมุมรังสีของแสงอาทิตย์ที่ไม่ตรงไปตรงมา คุณจะต้องรักษาสีในท้องฟ้าซึ่งคุณจะไม่เห็นในระหว่างวัน
รังสีของแสงอาทิตย์ที่ไม่ตรงไปตรงมาในช่วงดวงอาทิตย์ขึ้นและก่อนสามารถทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสีที่น่าสนใจสำหรับคุณได้

ช่วงสนธยา

ช่วงเวลานี้คือก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นซึ่งหมายถึงช่วงสนธยา คุณจะต้องทำความรู้จักมันให้ดีถ้าคุณเล็งเป้าหมายในการพัฒนาการถ่ายภาพของคุณ  ช่วงสนธยามีข้อกำหนดกว้างๆที่สามารถรวมเข้าไว้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ดังนั้นมันได้ถูกแบ่งออกเป็นสามประเภท ความหมายของข้อกำหนดที่ระบุไว้ด้านล่างไม่ได้มีส่วนสำคัญสำหรับการถ่ายภาพของคุณ แต่มันสำคัญที่คุณต้องเข้าใจว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นซึ่งคุณกำลังจะถ่ายภาพ
•   Astronomical twilight: ช่วงเวลานี้ มันยังคงมืดอยู่แต่แสงของดวงอาทิตย์ที่ไม่มีทิศทางเริ่มที่ส่องสว่างบนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์จะอยู่ที่ 12 และ 18 องศาใต้เส้นขอบฟ้า ดาวยังคงมองเห็นอย่างชัดเจนและท้องฟ้ายังคงมืดทั้งหมด สำหรับเราส่วนใหญ่มันไม่ต่างจากช่วงกลางคืน ดังนั้นการถ่ายภาพในช่วงเวลานี้คุณต้องการขาตั้งกล้องและตัวรีโมทชัตเตอร์
•   Nautical twilight: ในช่วงเวลานี้ เมื่อทุกสิ่งยังคงมืดอยู่ แต่มันก็สว่างพอที่ทำให้คุณสามารถเห็นเส้นขอบฟ้า ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่ง 6 ถึง  12 องศาต่ำกว่าเส้นขอบฟ้า คุณยังคงมองเห็นดวงดาว สังเกตเห็นท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น โดยเฉพาะใกล้เส้นขอบฟ้า  นี้คือสิ่งที่คุณเห็นสีฟ้าเล็กน้อย คุณยังคงต้องการขาตั้งกล้องแต่คุณสามารถเก็บรายละเอียดของฉากหน้าได้ดีเท่ากับดาวที่อยู่บนท้องฟ้า
•   Civil twilight: ในช่วงเวลานี้ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น (หรือเป็นช่วงก่อนดวงอาทิตย์ตกในตอนเย็น) ดวงอาทิตย์จะอยู่ในตำแหน่ง 0 ถึง 6 องศาใต้เส้นขอบฟ้า จุดนี้สำหรับช่างภาพก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น แต่ทุกๆสิ่งรอบๆตัวคุณจะสว่าง คุณสามารถเห็นทุกสิ่งและคุณอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง (อย่างไรก็ดี ผมแนะนำว่าให้คุณใช้มัน)
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
เวลาและช่วงเวลาของสนธยาจะขึ้นอยู่กับสถานที่ของคุณและเวลาของปี มี Application มากมายที่จะช่วยคุณระบุเวลาที่แน่นอนได้

ชั่วโมงของสีฟ้า

มันคือช่วงเวลาสนธยา (น่าจะอยู่ในช่วงของ nautical twilight) เป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า ชั่วโมงของสีฟ้า ในเวลานี้เองดวงอาทิตยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเส้นขอบฟ้า  รังสีสีแดงของดวงอาทิตย์จะยิงขึ้นไปยังท้องฟ้า แต่มันมีเปอร์เซนต์ของรังสี สีฟ้าที่สูง ที่เข้ามาในชั้นบรรยากาศของโลก แสงที่ไม่มีทิศทางทำให้สีฟ้ามีอิทธิพลมากกว่า นี้เป็นช่วง 30-40 นาทีสุดท้ายและจบลงในช่วง 15 นาทีก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น นี้เป็นเวลาของขุมทรัพย์สำหรับช่างภาพแนววิวทิวทัศน์ ดังนั้นให้แน่ใจว่าคุณอยู่ตำแหน่งที่อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น
(ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย)
ในช่วงเวลาสนธยา ยังมีแสงพอที่เห็นฉากหน้าแต่คุณสามารถเห็นดวงดาวและดวงจันทร์ได้ด้วย

ดวงอาทิตย์ขึ้น

หลังจากช่วงเวลาสนธยาก็จะเป็นช่วงอาทิตย์ขึ้นซึ่งไม่มีคำแนะนำ วิวทิวทัศน์จะสว่างในช่วงเวลานี้ แต่รังสีของแสงอาทิตย์ซึ่งมีอุณหภูมิโดยดวงอาทิตย์ยังคงอยู่ด้านหลังของเส้นขอบฟ้า และรังสียังคงส่องผ่านชั้นบรรยากาศของโลกก่อนที่มันจะมาถึงคุณ ท้องฟ้าจะมีสีที่อุ่น
ทำอะไรได้อีกในช่วงนี้ คุณสามารถใส่ดวงอาทิตย์เข้าไปในภาพของคุณ คุณสามารถทำให้รับสีของแสงอาทิตย์มีความชัดและการเพิ่มแสงแฉกของดวงอาทิตย์โดยการลดรูรับแสงลง ให้แน่ใจว่ารูรับแสงของคุณอย่างน้อยต้อง f/16 และบางทีก็ถึง f/22 (ซึ่งก็เสี่ยงเรื่องของการกระจายลำแสง)

หลังจากดวงอาทิตย์ขึ้น

ชั่วโมงหรือหลังจากอาทิตย์ขึ้นยังคงเป็นเวลาที่ดีในการถ่ายภาพ ในช่วงเวลานี้ ดวงอาทิตย์ยังคงต่ำในระดับเส้นขอบฟ้า ดังนั้น รังสีของแสงอาทิตย์จะวิ่งผ่านชั้นบรรยากาศของโลกมากมายซึ่งกรองรังสีและตัดส่วนแสงที่แข็งกระด้าง ดังนั้นแม้ดวงอาทิตย์จะอยู่ในท้องฟ้าแล้ว มันยังคงเป็นช่วงเวลาดีสำหรับการถ่ายภาพ
(ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย) หลังจากที่ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงในท้องฟ้าและคุณจะพบกับปัญหาของการถ่ายภาพตอนกลางวัน

ช่วงบ่าย

ช่วงสายๆตอนเช้าและช่วงบ่ายได้ถูกพิจารณาว่าเป็นช่วงเวลาที่แย่สำหรับการถ่ายภาพ ช่างภาพหลายคนก็เก็บกล้องของพวกเขาในช่วงเวลานี้ มันเป็นเวลาของแสงที่แข็งกระด้าง และมีเงาดำ แต่คุณไม่จำเป็นต้องเลิกความตั้งใจในช่วงเวลาแบบนี้ มีบางสิ่งที่คุณสามารถพัฒนาการถ่ายภาพของคุณได้
สิ่งแรกคุณสามารถใช้ตัวฟิลเตอร์โพราไลซ์ โพลาไรเวอร์จะทำงานโดยการกรองแสงรังสีที่จะวิ่งเข้ามาในกล้องที่มีมุมแตกต่างกัน  แสงที่วิ่งเข้ามาในกล้องของคุณจะมีการกระจายและมีสีมากมาย การใช้ที่ดีที่สุดสำหรับวัตถุประสงค์ของเราคือการทำให้ท้องฟ้าดูสวย เป็นสีฟ้าเข้ม (แม้ว่าโพราไลซ์จะรับมือในการตัดแสงสะท้อนลงไป) โพลาไลซ์ฟิลเตอร์จะทำได้ดีที่สุดในช่วงตอนกลางวันเมื่อดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะ ให้แน่ใจว่าหมุนตัวฟิลเตอร์เพื่อให้ผลลัพท์ในค่าสูงสุด (หรือตามที่ต้องการ)
(ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย) การถ่ายภาพในช่วงตอนเที่ยงสามารถใช้ประโยชน์จากการใช้ฟิลเตอร์โพราไลซ์
อีกสิ่งหนึ่งที่คุณสามารถสู้กับดวงอาทิตย์ช่วงบ่ายคือ การเปลี่ยนภาพของคุณเป็นขาวดำ ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ปัญหาหลักสำคัญกับการถ่ายภาพช่วงตอนกลางวันคือความเปรียบต่างสูงและมีเงาที่แข็งกระด้าง อย่างไรก็ตาม ความเปรียบต่างที่สูงเป็นผลดีในการถ่ายภาพขาวดำ ดังนั้นแสงที่แข็งกระด้างของช่วงตอนกลางวันสามารถทำให้เป็นข้อดีในการทำงานของคุณได้
(ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย)  ภาพถ่ายที่ถ่ายในช่วงตอนกลางวันมีประโยชน์เมื่อนำมาเปลี่ยนเป็นขาว ดำ
ถ้าคุณต้องถ่ายภาพในช่วงตอนกลางวัน ช่วงวันที่มีเมฆจะทำให้คุณทำงานได้ดีที่สุด เมฆจะตัดเงาที่แข็งลง พวกมันยังสร้างลวดลายบนท้องฟ้าให้ด้วย ลองดูกับการถ่ายภาพของคุณ

ช่วงตอนเย็น

ในช่วงตอนเย็นคุณจะได้พบกับบางสภาพที่ดีเยี่ยมสำหรับการถ่ายภาพ มันมีความสำคัญพอๆกับช่วงเวลาเช้าตอนดวงอาทิตย์ขึ้น แต่มันแค่กลับกัน มันเริ่มจากดวงอาทิตย์ตกลงไปในเส้นขอบฟ้าซึ่งทำให้เกิดความน่าสนใจในการเปลี่ยนคุณภาพของแสง
แสงในช่วงตอนบ่ายคล้อยจะเริ่มให้แสงสีเหลืองหรือแดง

ชั่วโมงทอง

ขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มตก แสงที่คุณได้รับจะมีการเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศมากมายของโลกกว่าจะมาถึงคุณ มันได้ถูกกรองแสงในช่วงเวลาที่แสงมาถึงคุณ แสงจะออกโทนอุ่นๆ มีสภาพแสงสีทอง
จุดสูงสุดคือก่อนดวงอาทิตย์ตกซึ่งถูกเรียกว่า ชั่วโมงทอง แท้ที่จริงมันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นชั่วโมง แต่มันจะเกิดขึ้นเพียง 30 ถึง 40 นาที (ความยาวของเวลาขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คุณอยู่ในเส้นศูนย์สูตร มันเริ่มก่อนที่ดวงอาทิตย์ตกและจบสิ้นเพียงแค่ 20 นาทีหลังจากดวงอาทิตย์ได้ตกไปแล้ว การถ่ายภาพในช่วงนี้จะได้ปรโยชน์จากแสงที่มีมากมาย แต่มันจะถูกกรองและนุ่มมากเพื่อหลีกเลี่ยงเงาที่แข็งกระด้าง เหมือนกับที่แนะนำไว้ แสงจะมีโทนอุ่นสามารถทำให้ภาพดูน่าทึ่งได้

ดวงอาทิตย์ตก

เวลาช่วงดวงอาทิตย์ตก เป็นสัญชาตญาณของช่างภาพที่ต้องการภาพถ่าย สภาพแวดล้อมเป็นที่รู้จักดีสำหรับทุกๆคน ดังนั้นผมต้องการโฟกัสเพียงบางสิ่งที่คุณสามารถถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตกที่ดูดีกว่าได้
สิ่งแรก คุณสามารถทำให้ภาพของคุณ underexpose ลงเล็กน้อย ถ้าคุณไม่ใช้ขาตั้งกล้อง คุณจะสูญเสียแสงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้  Underexpose จะทำให้คุณใช้เวลาที่สั้นลงสำหรับความเร็วชัตเตอร์และหลีกเลี่ยงการสั่นของกล้อง (หวังว่า) และจะทำให้สีในท้องฟ้ามีชีวิตชีวา
ในช่วงดวงอาทิตย์ตก มุมของรังสีดวงอาทิตย์จะไม่ใช่แสงที่ส่องตรงลงบนฉากหน้า  ซึ่งทำให้ทุกๆสิ่งเป็นสีดำ คุณจะต้องพบกับหนึ่งในสองทางซึ่งต้องยอมรับ หรือชดเชยสำหรับมัน
•   คุณสามารถยอมรับสีดำของฉากหน้าโดยสร้างเป็นภาพเงาดำ (silhouettes). สิ่งนี้ถูกทำกับภาพคนโดยทั่วไป แต่มันสามารถทำงานได้กับตัวแบบอื่นๆได้เช่นกัน การทำสิ่งนี้เพียงวันค่าแสงจากท้องฟ้า ท้องฟ้าที่สว่างกว่าจะทำให้ค่าแสงและฉากหน้ากลายเป็นสีดำ
•   คุณสามารถชดเชยสำหรับแสงที่ขาดไป บนฉากหน้าโดยการใช้แผ่นฟิลเตอร์ Graduated Neutral density ฟิลเตอร์แบบนี้จะทำให้ท้องฟ้ามืดโดยปราศจากผลกระทบกับฉากหน้า คุณจะต้องชดเชยโดยการเพิ่มค่าแสงทั้งภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ขณะเมื่อฟิลเตอร์ทำให้ท้องฟ้ามืดและฉากหน้าก็มืดด้วย) ผลสรุปคือฟิลเตอร์จะให้ท้องฟ้ามีโทนที่ลดลงและเป็นเหตุให้ฉากหน้าสว่างขึ้น

หลังจากดวงอาทิตย์ตก

มันคือความผิดพลาดที่ใหญ่มาก ซึ่งผมเห็นช่างภาพหลายๆท่านได้ทำคือการเก็บของและกลับบ้านเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว หลังจากดวงอาทิตย์ตก คุณยังคงจัดกัดกับสภาพแสงที่เป็นที่นิยม และในความจริง บางสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดจะต้องคอยติดตาม สิ่งนี้จะเป็นเหมือนที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ข้างต้นถึงเรื่องช่วงสนธยา  คุณจะทำเหมือนกับในช่วงเวลาชั่วโมงสีฟ้า เมื่อดวงอาทิตย์ยังอยู่เหนือเส้นขอบฟ้าและอิทธิพลของการถูกกรองแสงสีฟ้า
ในช่วงระยะเวลาสุดท้ายของช่วงสนธยา ภาพจะดูเหมือนการถ่ายภาพตอนกลางคืน

ตอนกลางคืน

สุดท้ายนี้ อย่าลืมเกี่ยวกับการถ่ายภาพตอนกลางคืน มันคือครึ่งหนึ่งของวัน ภาพที่ดูน่าทึงส่วนใหญ่สามารถถ่ายได้ในช่วงนี้ ยิ่งกว่านั้นคุณไม่ต้องไปกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนสภาพของแสง ทำให้เวลานี้เป็นช่วงเวลาผ่อนคล้ายในการถ่ายภาพให้มากที่สุด
ถ้าคุณต้องการถ่ายภาพดวงดาว หรือในช่วงเวลากลางคืนที่แท้จริง ให้แน่ใจว่าคุณได้คอยสักสองชั่วโมงหลังจากดวงอาทิตย์ตกแล้ว มันจะใช้เวลาสำหรับรังสีของดวงอาทิตย์ที่จะหายไปอย่างสิ้นเชิงจากสภาพบรรยากาศ

บทสรุป

การถ่ายภาพคือการรอคอยอย่างคาดหวัง มันคือการนำตัวคุณเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ในการได้ถ่ายภาพที่ดีสุด เมื่อมันเป็นการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ การรอคอยอย่างคาดหวังซึ่งต้องทำไปพร้อมกับการเปลี่ยนของแสง การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นรวรดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงอาทิตยึ้นและตก โดยทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนสภาพที่ได้พูดไว้ในที่นี้ คุณจะสามารถมีการรอคอยแสงที่ดีกว่าและนำตัวคุณเข้าไปในตำแหน่งที่ดีที่สุดเพื่อจะได้ภาพที่เยี่ยมที่สุด ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยคุณให้ได้ภาพที่สวยงามนะครับ
89
After the Shot / Re: รูปภาพ
« Last post by Onimushaii on September 17, 2015, 06:12:55 PM »
ชอบภาพแนวใหนครับผม
90
พื้นฐานสำคัยมากครับผมทำให้เราถ่ายได้ดีขึ้นครับ
Pages: 1 ... 7 8 [9] 10