Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - topstep07

Pages: 1 ... 5 6 [7] 8
91
พัฒนาฉากหลังของคุณก็เท่ากับพัฒนาการถ่ายภาพของคุณด้วย

โพสโดย Piper Mackay แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/improve-your-backgrounds-improve-your-photography/

ฉากหลังในภาพของคุณสามารถที่จะบ่งบอกถึงระดับความชำนาญในการเป็นช่างภาพได้ การเรียนรู้ในอดีตที่ผ่านมาหรือตัวแบบที่น่าตื่นเต้น การจับรายละเอียดในฉากหลังคือสิ่งที่แยกตัวคุณจาก ช่างภาพเริ่มต้น ช่างภาพอดิเรกกับระดับมืออาชีพที่มีประสบการณ์ ฉากหลังที่อยุ่ในภาพของคุณจะแสดงถึงการฝีกฝนใช้สายตา  การเรียนรู้ในความชำนาญนี้สามารถช่วยยกระดับและพัฒนาการถ่ายภาพของคุณได้
โดยส่วนใหญ่ความแตกต่างระหว่างการถ่ายภาพแบบ snapshot และถ่ายภาพแบบบังคับสามารถทำได้ง่ายเพียงขั้นตอนเล็กๆ การเปลี่ยนมุมถ่ายภาพของคุณ หรือ ฉากหลังเบลอ ถ้าการถ่ายภาพกับตัวแบบที่น่าตื่นเต้นลองกำจัดฉากหลังและให้ตัวแบบเด่นขึ้น ถ้าคุณต้องการภาพถ่ายที่ตัวแบบในสภาพแวดล้อมของเขาต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ฉากหลังมีความน่าประทับใจเท่ากับตัวแบบซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในภาพและเพิ่มคุณค่าของภาพ

ง่ายๆสำหรับภาพที่ทรงพลัง

นี้คือตัวอย่างมากมายเพียงแค่การเคลื่อนย้ายบางสิ่ง หรือปรับแต่งสามารถเปลี่ยนภาพที่ดูไม่น่าจะใช้ได้ให้กลายเป็นภาพที่ทรงพลัง ในภาพถ่ายบุคคลด้านล่าง (ดูภาพตัวอย่างประกอบ จากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) แสงที่แข็งกระด้างทำให้ภาพไม่น่าดู ผมได้ย้ายตัวแบบให้เข้าไปอยู่ในกระท่อม แต่แสงที่ส่องผ่านช่องไม้สร้างฉากหลังที่แย่  ลองดูความส่ว่างมันสร้างจุดกวนสายตาในฉากหลัง ผมมองไปรอบๆ ดึงเอาหนังที่วางอยู่บนพื้น และวางมันไว้ด้านหลังของตัวแบบ นี้คือการเอาสิ่งกวนสายตาออกไปโดยให้ฉากหลังที่เป็นสีพื้นๆและสร้างพลังให้กับภาพถ่ายบุคคลของผม
ภาพตัวอย่างด้านล่างซ้ายดูสวยงาม แต่เมื่อคุณมองที่ตัวแบบ สายตาของคุณจะเลื่อนไปมองท้องฟ้าที่อยู่ด้านบนและออกนอกภาพถ่าย ท้องฟ้าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว ตัวแบบของผมต่างหากที่คือเรื่องราว ดังนั้นท้องฟ้าเป็นสิ่งกวนสายตา ผมได้ตั้งกล้องสูงขึ้นกว่าเดิมและซูมเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อย ให้ตัวแบบอยู่เต็มกรอบของภาพ มันช่วยกำจัดสิ่งกวนสายตาคือท้องฟ้าออกไป ดังนั้นสายตาของผู้ชมจะตรงไปยังตัวแบบและยังคงจับจ้องอยู่ตรงนั้น...

เส้นขอบฟ้าอยู่ที่ไหน

(ดูภาพประกอบคำบรรยาย จากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ลองมองดูว่าเส้นขอบฟ้าตกอยู่ที่ตัวแบบตรงไหน
ถ้าคุณต้องการให้ท้องฟ้าในภาพของคุณ คุณต้องให้แน่ใจว่าเส้นขอบฟ้าไม่ตัดส่วนศีรษะของตัวแบบ เหมือนกับภาพด้านบนนี้  เมื่อมีการปรับแต่งในการถ่ายภาพด้านล่าง ผมลดต่ำลงไปถึงระดับฟุตและซูมเข้าไปทำให้เส้นขอบฟ้าต่ำลงกว่าศีรษะของตัวแบบ ทำให้ภาพดูมีพลังกว่า
ตัวอย่างภาพด้านล่างคือการให้ศีรษะของตัวแบบอยู่เหนือเส้นขอบฟ้า  มันเป็นการถ่ายที่ยาก ถ้าสายตาของผมไม่ได้รับการฝึกฝนมองผ่านอย่างรวดเร็วในฉากหลัง เส้นขอบฟ้ามันคงตัดศีรษะตัวแบบหรือไม่ก็เอียงได้ง่ายๆ นี้คือสิ่งที่สร้างพลังให้กับภาพ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้เกิดความแตกต่างการถ่ายภาพที่เยี่ยมหรือการถ่ายภาพที่รวดเร็ว

สร้างการแบ่งแยกระหว่างตัวแบบและฉากหลัง

การแบ่งแยกระหว่างตัวแบกับฉากหลังเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำสายตาของผู้ชมไปยังตัวแบบ
ในภาพด้านบน (ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ผมจะระวังที่จะไม่ตัดนิ้วหัวโป้งและเงาของตัวแบบที่อยู่ในภาพ แต่ฉากหลังที่อยู่รอบๆ ศีรษะของตัวแบบเป็นสิ่งกวนสายตา ง่ายๆ แค่ผมก้าวไปทางซ้ายและทำรูปทรงตัววีของตันไม้ ดังนั้นภาพนี้จะนำผู้ชมตรงไปยังตัวแบบของผม ใบหน้าของผู้ชายคนนี้ดูธรรมดาโดยปราศจากฉากหลังที่กวนสายตา (ภาพด้านล่าง)

ลองดูจุดสว่าง

(ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ในภาพนี้ ผมต้องการแสดงให้เห็นตัวแบบเชื่อมโยงกับธรรมชาติ แต่ผมก็ท้าทายโดยการไม่สร้างองค์ประกอบภาพโดยปราศจากการดึงดูดของท้องฟ้าที่สว่าง  ตาของคุณมองไปที่ไหนในภาพนี้ ? ไปที่ท้องฟ้าที่สว่าง
ทางแก้คือการย้ายมุมการถ่ายภาพของผมและถ่ายในแนวตั้ง (ดูภาพด้านล่าง)

ทำให้มันเบลอ

(ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ฉากหลังในภาพด้านบนดูไม่เลวแต่เมื่อตัวแบบคือนก มันจะกวนสายตาคุณทันที ทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขสถานการณ์นี้คือการทำให้ฉากหลังเบลอ (ไม่คมชัด) โดยเป็นรูรับแสงที่ f/2.8 และซูมเข้าไปที่ตัวแบบ ใส่ให้เต็มกรอบ ภาพนี้ดูดีมีพลังมาก (ภาพด้านล่าง)

สีสามารถเป็นสิ่งที่กวนใจ

เมื่อคุณกำลังจัดตัวแบบให้เต็มกรอบภาพควรจะตรวจสอบสิ่งที่กวนสายตาในฉากหลังด้วย (ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ในภาพแรก (ด้านบน) มีเส้นสีน้ำตาลที่วิ่งตรงผ่านฉากหลัง แต่สีของมันเป็นสิ่งกวนสายตาเมื่อคุณมองภาพนี้เหมือนคุณเป็นผู้ชมภาพ ในสองภาพถัดไปเป็นภาพที่มีฉากหลังสีที่ต่อเนื่อง ตาของคุณจะตรงไปที่ตัวแบบและอยู่กับมันตรงนั้น

ตัวแบบที่ดีเยี่ยมอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้ภาพเป็นภาพที่ร้อง ว้าว ได้

(ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ภาพด้านล่างมองดูเหมือนภาพถ่ายที่ถูกทำขึ้นเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ช่างภาพได้เห็นสิงโต หรือเพราะว่าช่างภาพไม่มีเลนส์ยาวพอที่จะเก็บภาพสิงโต บางครั้งสถานการณ์นี้เราเรียกว่า “อาหารตา” เพียงแค่มอง และไม่ต้องถ่ายภาพ เพราะว่าตัวแบบมันดูแปลกๆ มันไม่มีความหมายที่จะทำให้ภาพถ่ายดูดีเยี่ยม  ถ้าฉากหลังไม่ได้เพิ่มเข้าไปในภาพหรือเรื่องราวดังนั้นให้เอามันออกซะ เข้าไปใกล้และถ่ายภาพจากตัวแบบนั้น
ลองสัเกตว่าภาพนี้มีพลังมากกว่าภาพด้านบนแค่ไหน?

ทำการฝึกฝน

ทางที่ง่ายที่สุดในการซ้อมสายตาของคุณคือการฝึกฝน ออกไปและก็ถ่ายภาพ แต่ก่อนที่คุณจะออกไป ลองมองไปอย่างรวดเร็วกับภาพที่มีอยู่แล้วในคลังภาพของคุณ คุณเห็นอะไรในฉากหลังเมื่อคุณได้กดปุ่มชัดเตอร์
ท้าทายตัวเองโดยการเข้าไปในเมืองท่องเที่ยวที่วุ่นวาย และลองแยกแยะตัวแบบของคุณ หรือไปที่สวนสัตว์ที่ซึ่งมีฉากหลังที่แยกแยะยาก ดาวน์โหลดภาพและมองพวกมันบนหน้าจอของคุณ มองพวกมันจากด้านหลังกล้องของคุณ แต่มันจะไม่ได้อารมณ์ในขณะนั้นในการมองภาพผ่านหน้าจอ สิ่งที่ไม่ต้องการจะแสดงออกให้คุณได้เห็น ยิ่งคุณมองเห็นความผิดพลาดมากเท่าไรจากคอมพิวเตอร์ของคุณ คุณยิ่งจะจำพวกมันไว้เมื่อคุณมองจากหลังกล้อง ลองทบทวนแบบฝึกหัดบ่อยจนกระทั่งเมื่อคุณมองอะไรก็ตามบนหน้าจอคือสิ่งที่คุณกำลังมองเห็นในกรอบภาพเมื่อคุณกดปุ่มชัดเตอร์
ฝีกฝนโดยการวางตัวแบบไว้บนสภาพแวดล้อมที่สะอาด เหมือนกับภาพตัวอย่างด้านล่างนี้ (ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ในไม่ช้าคุณจะสามารถนำเอาตัวแบบที่สองรวมอยู่ในฉากหลังสำหรับภาพถ่ายที่ดูซับซ้อนขึ้น นี้คือการนำให้ผู้ชมได้เล็งไปที่ตัวแบบหลักและก็ค้นหาสิ่งอะไรก็ตามที่รองลงมาในภาพถ่าย พยายามดึงให้ความสนใจของพวกเขาให้อยู่กับภาพของคุณนานที่สุด 
ขอให้โชคดีและสนุกกับการถ่ายภาพและปรับแต่งภาพ

92
ขอไปร่วมขบวนการ มวลมหาช่างภาพด้วยคนครับ...มาเกือบสายซะแล้ว....55555

93
10 หนทางการถ่ายภาพบุคคลที่ล้ำเลิศ
โพสโดย Darren Rowse
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อใช้ในการดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/10-ways-to-take-stunning-portraits
คุณถ่ายภาพบุคคลอย่างไรที่คนร้อง “ว้าว” ได้?
วันนี้หรือพรุ่ง ผมต้องการคุญเกี่ยวการถ่ายภาพบุคคลที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย  คุณเห็นว่ามันดีมากที่จะถ่ายภาพบุคคลตามกฎต่างๆ แต่มันบอกผมว่าขณะที่ผมกำลังดูภาพใน Flickr วันนี้ บ่อยครั้งการถ่ายภาพบุคคลส่วนใหญ่จะละเมิดกฎกันทั้งนั้น
ผมต้องการมองหาหนทางในการออกจากกฎและถ่ายภาพบุคคลที่น่าสะดุดตาโดยการแหกกฎและเพิ่มความไม่มีแบบแผนลงในภาพถ่ายบุคคลของคุณ ผมจะแบ่งปัน 10 ข้อคำนแนะนำวันนี้และอีก 10 ข้อในวันพรุ่งนี้
1. ปรับเปลี่ยนมุมภาพ
การถ่ายภาพบุคคลจะถูกถ่ายจากกล้องในระดับสายตาของตัวแบบ ซึ่งมันก็เรื่องปกติ แต่ถ้าเปลี่ยนมุมในการถ่ายภาพมันจะทำให้ภาพถ่ายบุคคลเป็นที่ต้องร้อง “ว้าว” ได้แน่นอน
ขึ้นไปที่สูงและถ่ายลงมาที่ตัวแบบ หรือลงต่ำติดพื้นที่คุณจะทำได้และถ่ายเงยขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนคุณจะเห็นตัวแบบจากมุมที่สร้างความน่าสนใจได้
2. เล่นกับการสบตา
มันน่าอัศจรรย์มากแค่ไหนที่เราเล็งไปที่ตาของตัวแบบที่สามารถส่งผลดีกับรูปภาพ ส่วนมากการถ่ายภาพบุคคลจะให้ตัวแบบมองลงมาที่เลนส์ มันสามารถสร้างความรู้สึกถึงการเชื่อมต่อระหว่างตัวแบบและผู้ชมภาพได้ แต่ก็มีบางสิ่งที่ควรลองเช่น
ก. ไม่ต้องมองกล้อง ให้ตัวแบบของคุณโฟกัสความสนใจในบางสิ่ง และไม่ได้อยู่ในมุมของกล้องคุณ นี้เป็นการสร้างความรู้สึกของการแอบถ่ายและยังคงสร้างประหลาดใจ และน่าสนใจขณะเมื่อผู้ชมดูภาพแล้วคิดว่าพวกเขากำลังมองอะไรอยู่ และความน่าประหลาดใจนี้ยังคงแสดงถึงอารมณ์อีกด้วย (เช่น...อะไรทำให้พวกเขาหัวเราะ หรือ อะไรทำให้พวกเขาดูประหลาดใจ?)  ให้ระวังเมื่อตัวแบบของคุณมองไปทางอื่นซึ่งมันสามารถดึงให้ผู้ชมมองไปที่ขอบของภาพ ซึ่งจะทำให้หลุดความน่าสนใจของการถ่ายภาพไป นั่นก็คือตัวแบบ
ข. มองเข้ามาในกรอบภาพ อีกทางเลือกหนึ่งคือคุณสามารถให้ตัวแบบมองบางสิ่ง (หรือบางคน) ที่อยู่ในกรอบภาพ เช่น เด็กกำลังมองที่ลูกบอล ผู้หญิงกำลังมองที่ลูกของเธอ ผู้ชายที่กำลังมองพาสต้าจานใหญ่ อย่างหิวกระหาย เมื่อคุณให้ตัวแบบของคุณมองดูบางสิ่งที่อยู่ภายในเฟรมซึ่งคุณสร้างจุดสนใจที่สองและยังสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งนั้นกับตัวแบบหลัก มันจะช่วยสร้างเรื่องราวภายในภาพได้
3. ละเมิดกฎของการจัดองค์ประกอบ
มีกฎมากมายเกี่ยวกับการจัดองค์ประกอบภาพและบ่อยครั้งผมก็ไม่ชอบพวกมัน ทฤษฎีของของผมคือ ขณะที่รู้ว่ามันมีประโยชน์และใช้พวกมันในสิ่งที่คุณรู้ดังนั้นคุณจะสามารถละเมิดกฎเหล่านั้นได้
กฎสามส่วน คือสิ่งที่สามารถละเมิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวางตัวแบบไว้ตรงกลางสามารถสร้างภาพให้มีพลังได้ หรือ การวางตัวแบบในเชิงสร้างสรรค์ไว้ที่ขอบด้านขวาของภาพ ซึ่งสร้างความน่าสนใจให้กับภาพได้เช่นกัน
อีกกฎหนึ่งที่เราพูดถึงกันบ่อยๆในการถ่ายภาพบุคคล คือการเปิดพื้นที่ว่างให้ตัวแบบได้มองบางอย่าง นี้เป็นสิ่งที่ดีกับการถ่ายภาพแบบนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ กฎก็มีไว้ให้เราได้ละเมิด....
4. ทดลองกับแสง
อีกวิธีหนึ่งของการไม่มีรูปแบบคือคุณสามารถให้ตัวแบบอยู่กับแสงที่คุณจัดไว้ ไม่มีข้อจำกัดของความเป็นไปได้ในการใช้ไฟกับการถ่ายภาพบุคคล
แสงด้านข้างสามารถสร้างอารมณ์ แสงด้านหลังและภาพเงาดำบนตัวแบบเพื่อซ่อนโครงสร้างของพวกเขามันสามารถสร้างพลังให้กับภาพได้
ใช้เทคนิค slow synch flash สามารถสร้างสิ่งที่น่าตื่นตาจนต้องร้อง “ว้าว” (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
5. ย้ายตัวแบบของคุณออกจากเขตสบายๆของพวกเขา
ผมกำลังคุยกับช่างภาพท่านหนึ่งผู้ซึ่งบอกกับผมว่าเขาถ่ายภาพเกี่ยวกับบริษัทซึ่งเขาถ่ายภาพนักธุรกิจท่านหนึ่งที่บ้านของเขา พวกเขาถ่ายส่วนศีรษะและไหล่มากมาย ถ่ายภาพที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะ ถ่ายภาพพวกใบปริญญาและใบต่างของบริษัท พวกเขาทำตามมาตรฐาน แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะแตกต่างจากคนอื่นๆเลย
ช่างภาพและตัวแบบตกลงร่วมกันว่าจะถ่ายภาพจำนวนมากมายที่ใช้ได้ แต่พวกเขาต้องการสร้างบางอย่าง “พิเศษ” ที่แตกต่าง ช่างภาพได้แนะนำให้พวกลอง “กระโดด” ตัวแบบรู้สึกลังเลใจเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อพวกเขาก้าวข้ามเขตสบายๆ ออกมาและใส่ชุดสูทผูกไทและเริ่มที่จะกระโดด
การถ่ายภาพช่างน่าอัศจรรย์ น่าประหลาใจ และน่าขันด้วย การถ่ายขั้นสุดท้ายกับตัวแบบที่กระโดดในสระน้ำของเขาเป็นภาพปิดท้าย....
ขณะนี้ฟังดูแล้วมันช่าง โง่ สิ้นดี แต่เป็นการถ่ายภาพที่จบลงด้วยนิตยสารเผยแพร่ตัวแบบเหล่านั้น มันคือภาพชุดที่ไม่ธรรมดาและทำให้นิตยสารได้เชื่อว่า เขาคือคนที่พวกเขาต้องการในลักษณะแบบนี้
6. การแอบถ่าย...
บางทีการโพสท่าถ่ายก็มองว่ามันแค่การโพสท่า...บางคนดูไม่เหมาะในการโพสท่าถ่ายและเปลี่ยนมาเป็นการถ่ายแบบแอบถ่ายกลับดูดีกว่า
Photograph your subject at work, with family or doing something that they love. This will put them more at ease and you can end up getting some special shots with them reacting naturally to the situation that they are in. You might even want to grab a longer zoom lens to take you out of their immediate zone and get really paparazzi with them.
การถ่ายภาพตัวแบบในที่ทำงาน หรือกับครอบครัวหรือกำลังทำบางสิ่งที่พวกเขารัก นี้คือสิ่งที่ดูง่ายและคุณสามารถจบลงด้วยภาพพิเศษกับสิ่งที่พวกเขาทำในสถานการณ์นั้นๆ  คุณอาจจะต้องใช้เลนส์ซูมยาวๆ เพื่อเก็บภาพของเขาในเวลาที่พวกเขาออกมาจากเขตสบายๆ ของเขาและไม่ก็เก็บภาพแบบแอบถ่ายความเป็นส่วนตัวของพวกเขา
ผมพบว่ามันทำงานได้ผลเมื่อถ่ายภาพเด็กๆ
7. แนะนำการใช้พร็อพ
เพิ่มตัวพร็อพบางอย่างเข้าไปในการถ่ายภาพและคุณสามารถเพิ่มสิ่งที่น่าสนใจอีกหนึ่งจุดสำหรับภาพถ่ายของคุณ
แน่นอน คุณอาจจะเสี่ยงกับการที่จุดโฟกัสตัวแบบหลักจะถูกเบี่ยงเบนไปได้ แต่คุณสามารถจะเพิ่มความรู้สึกของเรื่องราวและวางภาพในทิศทางใหม่และให้คนที่คุณกำลังถ่ายภาพอยู่ในระดับความชัดลึกที่พิเศษแม้จะไม่มีพร็อพก็ตาม
8. โฟกัสไปส่วนหนึ่งของร่างกาย โดยเข้าไปใกล้ๆ
ใช้เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสยาวๆ หรือเข้าไปใกล้ๆ เพื่อคุณจะสามารถถ่ายภาพบางส่วนของตัวแบบ การถ่ายภาพมือ ตา ปาก หรือส่วนต่ำของร่างกาย มันสามารถที่จะให้ผู้ชมภาพสร้างจินตนาการมากมายในภาพนั้น
บางครั้งสิ่งที่มันหลุดออกไปจากภาพ ก็ดีกว่าที่มีมันรวมอยู่ในภาพ
9. ปิดบังบางส่วนในตัวแบบของคุณ
มีความคิดมากมายของการซูมภาพไปที่ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย คือการปิดบังบางส่วนของใบหน้าหรือร่างกายของตัวแบบ คุณสามารถทำมันด้วยผ้า สิ่งของ มือของพวกเขาหรือการจัดให้บางส่วนอยู่ในเฟรมภาพ
การทำแบบนี้จะมีความหมายว่าคุณได้สร้างจินตนาการให้ผู้ชมภาพและยังโฟกัสไปที่ส่วนของตัวแบบอย่างตั้งใจซึ่งคุณต้องการให้พวกเขาโฟกัสไปในจุดนั้นเช่นกัน
10. ถ่ายภาพเป็นชุดที่ต่อเนื่องกัน
เปลี่ยนโหมดบนกล้องของคุณเป็น การยิงภาพรั่ว หรือ ถ่ายแบบต่อเนื่อง และก็เริ่มถ่ายภาพมากกว่าหนึ่งภาพในหนึ่งครั้ง...ในการถ่ายแบบนี้จะได้ภาพชุดที่ต่อเนื่องกันแทนที่จะเป็นภาพเดียว
เทคนิคแบบนี้จะเหมาะมากเมื่อคุณกำลังถ่ายภาพเด็กๆ หรือตัวแบบที่คล่องแคล่วและเปลี่ยนท่าทางหรือการโพสที่รวดเร็ว
อีก 10 คำแนะนำในการถ่ายภาพบุคคลที่ดี...จะมีต่อพรุ่งนี้
พรุ่งนี้ผมจะจบเรื่องการถ่ายภาพบุคคลกับอีก 10 เทคนิคเหมือนกับบทความข้างต้น ให้แน่ใจว่าคุณได้สมัครสมาชิก Digital Photography School เพื่อที่คุณจะได้ในส่วนที่สองนี้

เพิ่มเติม...คุณสามารถอ่านส่วนที่สองของเรื่องนี้ได้ที่ 10 More Tips for Stunning Portrait Photography. หรือไปที่ What the Mona Lisa Can Teach You About Taking Great Portraits   สำหรับการสอนการถ่ายภาพบุคคลในมุมที่แตกต่าง
แน่นอน อย่าลืมไปที่ portrait section of our forum  ซึ่งเป็นที่สนทนาเกี่ยวกับการถ่ายภาพบุคคลและโชว์ผลงานของคุณ   

94
เริ่มต้นมองการถ่ายภาพในหกขั้นตอนง่ายๆ

โพสโดย Valerie Jardin แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/start-see-photographically-5-easy-steps/

เราอาศัยอยู่ในช่วงเวลาที่จำกัดในกดปุ่ม shutter มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับคุณในฐานะช่างภาพ ในทางหนึ่ง วิธีการเรียนรู้ที่เร็วกว่า ง่ายกว่าและถูกกว่า อีกทางหนึ่งช่างภาพหลายคนมีนิสัยถ่ายภาพโดยไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับการวางองค์ประกอบภาพและพึ่งอยู่กับความโชคดีในการถ่ายภาพ
หยุดการถ่ายแบบสุ่มไปเรื่อยๆ และเริ่มถ่ายภาพอย่างตั้งใจ ก่อนที่คุณจะกดปุ่ม shutter ลองถามตัวเองว่า “จะสื่ออะไร” “ต้องการจะเล่าเรื่องอะไร” มีหลายหนทางที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องเหล่านี้ และนี้คือบางขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณก้าวเข้าไปสู่เกมส์ของคุณ ไม่ว่าคุณจะมีกล้องชนิดไหน หรือเลนส์อะไรที่คุณใช้
1. ดูสภาพแสง
ลองดูสภาพแสงและเงา ระวังในเรื่องคุณภาพของแสงรอบๆตัวคุณ (แสงแข็งกับแสงนุ่ม) และมันมีผลกับตัวแบบ อาคาร หรือสิ่งอื่นๆ ยิ่งคุณให้ความระมัดระวังเกี่ยวกับคุณภาพและปริมาณของแสงมากเท่าไร ยิ่งทำให้คุณควบคุมมันและให้มันทำงานให้คุณได้ดีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดของวัน
ลองดูแสง มันมีผลกับตัวอาคารและตัวแบบรอบๆตัวคุณ  (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)

เมื่อคุณเห็นแสง จากตัวแบบธรรมดาไม่มีอะไรมันจะกลายเป็นตัวแบบที่น่าทึ่งทันที (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
2. ใช้ทัศนวิสัยที่ชัดเจนกับกฎการวางองค์ประกอบภาพพื้นฐาน
มีอยู่หลายหนทางที่จะกระตุ้นแนวคิดของคุณและมันก็จะเป็นจุดเริ่มต้นการตัดสินใจก่อนที่คุณจะกดปุ่ม shutter
ใช้จุดโฟกัสและความชัดตื้นชัดลึก
ทางที่ชัดเจนในการนำสายตาผู้ชมก็คือการโฟกัสไปที่ตัวแบบและใช้ค่าชัดตื้นชัดลึกที่ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่มีความผิดพลาดที่สายตาของผู้ชมจะจับจ้อง มันใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการล๊อคโฟกัสและจัดองค์ประกอบใหม่ คุณต้องใส่ความคิดเข้าไปและทันใดนั้นคุณก็ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วเพื่อจะทำให้ภาพของคุณมีพลัง
ใช้จุดโฟกัสและความชัดตื้นชัดลึกเป็นตัวนำสายตาของผู้ชมไปยังตัวแบบ  ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
เส้นนำสายตา
บ่อยครั้งที่ละเลยการใช้เส้นต่างๆเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการนำสายตา
ใช้เส้นนำสายตาในการจัดองค์ประกอบภาพ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
กฎสามส่วน
ตำแหน่งของตัวแบบที่อยู่กรอบภาพของคุณเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องตัดสินใจที่จะวางมันในองค์ประกอบภาพ คุณไม่สามารถที่ใช้กฎสามส่วนมากเกินไป แต่มันก็ไม่แปลกที่จะละเมิดกฎตามที่คุณต้องการ
กฎสามส่วนมันใช้ได้...ดังนั้นใช้ซะ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
การละเมิดกฎสามส่วนทำได้เรื่อยๆตามที่ต้องการ ทำได้นานๆตามที่คุณรู้ว่าคุณละเมิดมันทำไม ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
การใช้สี
ก็เหมือนกับการใช้จุดโฟกัสเป็นตัวนำสายตา การใช้สีก็เป็นเครื่องมือการวางองค์ประกอบภาพที่ทรงพลังเช่นกัน เพราะสีก็ช่วยการนำสายตา มันเป็นอีกเหตุผลหนึ่งในการที่เปลี่ยนภาพสีของคุณไปเป็นภาพขาวดำ เพื่อกำจัดสีที่ไม่ดึงดึงออกไปและทำให้ภาพมีพลัง
เนกาตีฟ สเปซ
การใช้เนกาตีฟ สเปซที่ชาญฉลาดจะทำให้ภาพมีพลังและเป็นการเน้นตัวแบบ (โพสิทีฟ สเปซ)
การใช้เนกาตีฟ สเปซให้อิทธิพลมากับภาพของคุณ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
ลวดลายที่เป็นแบบแผน
ลองดูและใช้แบบแผนที่ซ้ำๆ หรือถ้าให้ดีกว่า มองหาสิ่งที่จะแยกจากแบบแผน
ภาพตัวอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
ดังนั้นคุณจะเห็นภาพที่ทรงพลังในการรวมเอาองค์ประกอบต่างๆ ข้างต้นเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ลวดลายแบบแผนที่ซ้ำๆ เส้นนำสายตา กฎสามส่วนและสี ที่จะนำสายตาของคุณไปยังตัวแบบ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
3. น้อย คือ มาก
เรียนรู้ที่จะปล่อยสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากเฟรมภาพเพื่อให้ได้ภาพที่ทรงพลัง สิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตเหตุเห็นทุกๆครั้งเมื่อฉันมองดูที่ลูกศิษย์ของฉัน คือพวกเขาจะพยายามรวมเอาทุกๆอย่างไว้ในเฟรมภาพ อะไรก็ตามที่ที่คุณตัดสินใจที่ปล่อยมันออกจากเฟรมภาพระหว่างที่คุณวางองค์ประกอบมันจะทำให้ภาพมีพลัง  ทำให้มันง่ายเข้าไว้ เรียนรู้ที่จะมองและตัดมันจากตัวกล้อง
คุณไม่ต้องการตัวแบบที่เห็นเต็มทั้งหมดเพื่อสร้างภาพที่ทรงพลัง ฝึกฝนการ
น้อยคือมาก คิดถึงสิ่งเล็กและให้ผลกระทบที่มากในภาพของคุณ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
4. เข้าใกล้และจัดให้เต็มกรอบภาพ
ตัวแบบ ที่บางครั้งดูเป็นสิ่งธรรมดาทั่วไป มันจะดูน่าสนใจถ้าคุณจัดให้มันอยู่เต็มกรอบภาพ เข้าใกล้...คุณคิดว่าใกล้พอหรือยัง? คุณต้องเข้าไปใกล้อีก
เต็มกรอบภาพ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
เข้าใกล้ และเข้าไปใกล้อีก ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
5. เล่นกับกรอบภาพ
พยายามลองถ่ายภาพจากมุมที่แตกต่าง ถ่ายจากมุมสูง มุมต่ำ เอียงกล้องเพื่อให้ได้ภาพที่มีพลัง
การเล่นกับกรอบภาพ ถ่ายจากมุมสูง ต่ำ บางสิ่งมองดูแล้วไม่น่าสนใจหากถ่ายในระดับสายตา... ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
6. ดูฉากหลัง
มันใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการกวาดสายตาในกรอบภาพและตรวจสอบฉากหลังของคุณเพื่อกำจัดสิ่งรบกวน ยังคงใช้เวลาไม่กี่วินาทีอย่างรวดเร็วที่จะปรับเปลี่ยนทิศทางในการกำจัดสิ่งรบกวน หรือหลีกเลี่ยงกิ่งไม้ที่เข้ามาในหูของบางคน
ภาพนี้จะถูกทำลายหากผมไม่เคลื่อนตัวไปทางขวาเพื่อหลีกเลี่ยงกระถางต้นไม้ที่ตรงกับหัวของผู้ชายคนนี้ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
ครั้งต่อไปเมื่อคุณออกไปข้างนอกพร้อมกับกล้องของคุณ ลองใจเย็นๆ และคิดให้ดีว่าคุณต้องการจะสื่ออะไรในภาพของคุณ ถ้าคุณไม่ได้ไปถ่ายนก ถ่ายเด็กกำลังหัดเดิน หรือถ่ายกีฬา ลองกด shutter แบบนับจำนวน..
ในไม่ช้ากฎการวางองค์ประกอบภาพจะกลายเป็นเรื่องรองโดยธรรมชาติ คุณจะมองพวกมันโดยปราศจากการคิดเกี่ยวกับมัน คุณจะเรียนรู้การมองการถ่ายภาพและงานของคุณจะพัฒนาขึ้น
ขอให้สนุก

95
5 แนวทางสร้างสรรค์ที่จะค้นพบสถานที่ถ่ายภาพใหม่ๆ

โพสโดย John Davenport แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/5-creative-ways-find-new-locations-photograph/

ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ไปเยี่ยมเยือนสถานที่เป็นครั้งแรก ผมรักมันละผมพยายามที่จะหาสถานที่ถ่ายภาพใหม่ๆหนึ่งที่และแต่ละเดือน
เมื่อผมเริ่มต้นเส้นทางการถ่ายภาพมันไม่ได้ท้าทายอะไรมากนักในช่วงที่ผ่านมาเหมือนกับสวนหลังบ้านของผมเองที่มันดูใหม่สำหรับผม แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านี้เริ่มที่จะยากขึ้น สถานที่ใหม่ๆ กลายเป็นว่า “ต้องออกไปหามัน” และมันกลายเป็นจุดที่ซึ่งผมเพียงถ่ายภาพในสถานที่ที่ผมเคยไปมาแล้ว
ในขณะที่ผมรักการเดินทางไปในโลกนี้บนความเพ้อผัน ผมไม่ได้มีเงินทองหรือเวลาที่จะทำซึ่งถูกจำกัดขอบเขตในสถานที่ใหม่ ที่ผมจะขับรถจากบ้านผมไปได้ ผลของมันก็คือผมได้พัฒนาเทคนิคที่เป็นประโยชน์เพื่อจะออกไปจากท้องที่ของผมและผมเชื่อว่าจะช่วยคุณด้วยเช่นกัน
หนทางสร้างสรรค์ที่จะพบกับสถานที่ถ่ายภาพใหม่ๆ
1. ติดอยู่กับโลก
ขณะที่ Google Maps, Google Earth และ Google’s Street เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ได้ข้อมูลของสถานที่ มันเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่ผมเคยใช้ค้นหาสถานที่ถ่ายภาพซึ่งเป็น แอพที่วิเศษสุดที่ถูกสร้างเพื่อให้คนอยู่ติดกับมัน หรือเรียกว่า ติดอยู่กับโลก
มันทำงานโดยนำภาพและข้อมูลของสถานที่กับแผนที่สวยงามที่เป็นแหล่งข้อมูลที่วิเศษไม่เพียงแต่สถานที่ แต่ภาพที่ช่างภาพคนอื่นๆ ได้ถ่ายไว้ในสถานที่นั้น
ในการสุ่มการค้นหาสถานที่สำหรับการถ่ายภาพมันจะแสดงสถานที่มากมายรอบโลก พวกมันจะมีสิบอันดับต้นในรายการที่ถูกเก็บข้อมูลโดยช่างภาพที่แสดงภาพที่ดีที่สุดในแต่ละเมืองรอบโลก และมันยังคงมีลักษณะเฉพาะมากมายอีกด้วยและผมก็แนะนำว่ามันเป็นแหล่งข้อมูลที่ดี (ยิ่งไปกว่านั้นมัน ฟรี)
คุณสามารถค้นหาเพิ่มเติมได้จากที่นี้ www.stuckonearthapp.com
2. เข้าร่วมกลุ่มถ่ายภาพ
ผมอยากจะบอกว่าทางที่ดีที่สุดทางหนึ่งที่จะออกไปข้างนอกแล้วพบกับสถานที่ใหม่ๆ คือ การพบปะพูดคุยกับคนกลุ่มใหม่ในท้องที่ของคุณ แม้ว่าคุณได้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่คุณใช้เวลาทั้งชีวิตมาแล้วก็ตาม แต่บางคนก็พบสถานที่ที่น่าสนใจที่คุณไม่รู้มาก่อน หรืออีกทางหนึ่งคือสามารถที่จะพบมุมมองใหม่กับสถานที่ที่คุณคิดว่าคุณเก็บภาพมาหมดแล้ว
บ่อยครั้งกลุ่มนักถ่ายภาพจะถือกล้องแล้วเดินออกไปซึ่งจะช่วยคุณไปถึงสถานที่ที่แตกต่าง โดยที่หลายครั้งอาจจะกลายเป็นสิ่งใหม่สำหรับคุณที่ ต้องออกไปเมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์ขับขันที่จะไปถึงที่หมายก่อนดวงอาทิตย์ตก มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและผมอยากจะแนะนำว่าให้ลองมันถ้าคุณยังไม่เคยทำ
คุณเคยไป Photowalk ไหม? เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ของคุณบ้างซิ
3. ทำสถานที่เก่าที่เคยไปให้ดูเหมือนสถานที่ใหม่โดยการถ่ายภาพในตอนกลางคืน
เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องออกไปหาสถานที่ใหม่ แต่ถ่ายภาพในสถานที่เดิมในช่วงเที่ยงคืน
ช่วงกลางคืนจะเปลี่ยนวิธีการรับรู้ในโลกนี้ของเรา และมันจะเปลี่ยนวิธีที่คุณมองเห็นกับสถานที่ที่คุ้นเคยด้วย มันเปิดสิ่งใหม่ๆของความท้าทายและทำให้คุณต้องถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย แต่ในความคิดของผมมันเป็นสิ่งที่น่าสนุกแบบหนึ่งในการถ่ายภาพเลยทีเดียว
ลองอ่านวิธีการถ่ายภาพตอนกลางคืนเพิ่มเติมได้จากที่นี้  www.phogropathy.com/how-to-take-better-photos-of-the-stars/
4. ซื้อหนังสือแนะนำสถานที่ในท้องถิ่นของคุณ
หนังสือแนะนำอาจจะดูเหมือนล้าหลังในวันนี้กับการที่เราสามารถหาข้อมูลได้มากมายในโลกออนไลน์ แต่มันก็มีบางอย่างที่บอกว่า หนังสือแนะนำที่ดีจะเป็นเพื่อนนำทางคุณไปสู่จุดหมาย บอกคุณในสิ่งที่คุณคาดหวัง ที่ที่คุณควรจะพัก และช่วงเวลาไหนที่ดีที่เหมาะจะไปเยี่ยมเยือน
ผมไม่เคยพบกับน้ำตก Trap มาก่อน (ภาพด้านบน) (โปรดดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ถ้าผมไม่มีหนังสือแนะนำรายละเอียดของน้ำตกจำนวนนับร้อย และน้ำตกเล็กที่เป็นหน้าผาชันที่ นิวอิงแลนต์ มันน่าประหลาดใจมากสำหรับข้อมูลรายละเอียดที่หนังสือบอกไว้ไม่เพียงแต่น้ำตกที่มีอยู่แต่บอกถึงความยากที่จะปีนมันด้วยและความสวยงามที่มันตกลงมาของน้ำตก
มีหนังสือแนะนำเป็นจำนวนมากใน Amazon และตามร้านหนังสือทั่วๆ ไป และบางเล่มก็สามารถดาวน์โหลดจาก eBook ในโทรศัพท์ของคุณ หรือ eReader และคุณสามารถนำมันไปกับคุณตลอดการเดินทางได้
5. เติมน้ำมันให้เต็มถังแล้วขับมันออกไป
สิ่งสุดท้าย ถ้าทุกอย่างมันล้มเหลว แค่เติมน้ำมันรถคุณให้เต็มถังและขับมันออกไป สิ่งหนึ่งที่ผมชอบทำคือขับไปตามถนนไฮเวย์และมุ่งตรงไป และบอกตัวเองว่า “ฉันจะขับที่ความเร็ว 50 ไมล์และเลี้ยวออกที่ทางออกแรกที่ฉันเจอมัน” ในที่สุดผมก็ได้พบตัวเองอยู่ในเมืองที่ไม่รู้จักมาก่อนกับสิ่งใหม่ที่เพิ่งเคยพบเห็น ผมชอบที่พาเพื่อนไปด้วยเพื่อให้เขาช่วยเป็นหูเป็นตาให้ผมเพื่อผมจะได้มั่นใจว่าผมเห็นโอกาสการถ่ายภาพที่เป็นไปได้
แน่นอนมันไม่ใช้เรื่องฉลาดที่จะพิสูจน์สำหรับแผนนี้ และขับรถไปแบบไร้จุดหมายซึ่งเป็นไปได้ที่คุณจะพบกับสถานที่ที่คุณมองข้ามมันไป มันเหมือนกับว่าคุณใช้เวลาทั้งวันในการขับรถไปรอบๆ ที่ไร้ประโยชน์ เสียเวลาและเผาพลาญน้ำมันไปเปล่าๆ
คุณค้นหาสถานที่ใหม่ๆ ในการถ่ายภาพอย่างไร?
โอเค...นี้เป็นเวลาของคุณแล้วที่จะช่วยเพิ่มเติมคำแนะนำจากด้านบน ผมชอบที่จะได้ยินถึงเทคนิคที่คุณใช้ในการค้นหาสถานที่ใหม่ๆ ทิ้งคำแนะนำไว้ด้านล่างให้เราได้ทราบบ้างนะครับ

96
 ความแตกต่างของขาตั้งกล้องสำหรับตัวแบบที่แตกต่าง..คุณจะเลือกแบบไหน?
โพสโดย Scott Wyden Kivowitz แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/different-tripods-for-different-subjects

บ่อยครั้งเรื่องขาตั้งกล้องเป็นหัวข้อที่สนุกสนานในการสนทนาแต่คุณอาจจะไม่ได้คิดเพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ในสถานการณ์ต่างๆ ขาตั้งกล้องที่คุณใช้ก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างมากนัก เหตุผลเพราะขาตั้งกล้องของคุณมันถูกออกแบบมาเพื่อไว้วางกล้องของคุณก็เท่านั้นเอง แต่ในขณะเดียวกัน ความแตกต่างของขาตั้งกล้องจะมีประโยชน์ในสถานการณ์ที่พิเศษบางอย่าง
ในบทความนี้ ผมจะแยกออกเป็นหกสถานการณ์ที่แตกต่างซึ่งต้องใช้ขาตั้งกล้องที่ต่างกันออกไปและสามารถช่วยพัฒนาการถ่ายภาพของคุณ สถานการณ์เหล่านี้ขาตั้งกล้องจะทำหน้าที่เกินกว่าที่จะใช้เพียงแค่ตั้งกล้องอย่างเดียว การปรับความสูงและมุม เราลองไปดูกัน

ขาตั้งกล้องสำหรับเลนส์ช่วงยาว

เมื่อการถ่ายภาพด้วยเลนส์ช่วงยาวขาตั้งกล้องที่มั่นคงจะเป็นกุญแจสำคัญ อย่างไรก็ตามขาตั้งกล้องทั่วๆไปที่คุณซื้อทุกวันนี้จะทำจากพวกคาร์บอนไฟเบอร์ เหตุผลก็เพื่อความแข็งแรงและมีน้ำหนักที่เบาของตัววัสดุ ซึ่งข้อดีสองข้อนี้ทำให้ขาตั้งกล้องที่เป็น คาร์บอนไฟเบอร์เป็นที่ต้องการสำหรับการถ่ายภาพทุกชนิด อย่างไรก็ตามสำหรับการถ่ายภาพด้วยเลนส์ช่วงยาวคุณต้องการขาตั้งกล้องที่มั่นคง และการที่ขาตั้งกล้องมีน้ำหนักเบาไม่ได้เป็นผลดีนัก
การที่ขาตั้งกล้องมีตัวตะขออยู่ใต้หัวหรือใต้แกนแนวตั้งซึ่งจะทำให้คุณสามารถแขวนสิ่งหนักๆ หรือถุงทรายเพื่อช่วยให้ขาตั้งกล้องมั่นคง ขาตั้งกล้องที่มีคุณภาพสูงจะมีเทคโนโลยีกันสั่นซึ่งจะช่วยไม่ให้เกิดการสั่นไหว สิ่งสุดท้าย ขาตั้งกล้องที่มีความสามารถในการติดตัวปุ่มแหลมใต้ขาตั้งได้จะเป็นประโยชน์เมื่อเราถ่ายภาพในสถานที่เป็นพื้นดิน ทราย หรือในมหาสมุทร
ขาดตั้งกล้องพับได้ แบบ P5CRH (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)

ขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพพาโนราม่า

น้ำหนักของขาตั้งกล้องไม่ได้เป็นประเด็นสำหรับการถ่ายภาพพาโนราม่า ถ้าปราศจากการถ่ายภาพพาโนฯ ด้วยเลนส์ช่วงยาว มีสองส่วนประกอบสำหรับขาตั้งกล้องที่จะช่วยพัฒนาการถ่ายภาพพาโนราม่า สิ่งแรกคือ ตัวเพลทหรือฐาน คุณสามารถที่จะใช้ขาตั้งกล้องในมุมและระดับของขาตั้งที่แยกจากขาตั้งกล้องซึ่งมันจะช่วยให้การเปลี่ยนมุมระหว่างเฟรมภาพไม่สะดุด อีกสิ่งหนึ่งคือตัว nodal สไลด์ ซึ่งจะช่วยให้เลนส์เข้าใกล้จุดแกนหมุนแทนที่จะเป็นตัวกล้อง การที่เลนส์มีการวาง nodal สไลด์ที่ถูกต้องจะช่วยให้มีมุมภาพโค้งน้อยระหว่างภาพ สำหรับช่างภาพพาโนราม่าขั้นสูงหัว gimbal จะเป็นทางเลือกที่ดีในการนำมาใช้งาน

ขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพบุคคลเฉพาะส่วนศีรษะ

การถ่ายภาพเฉพาะส่วนศีรษะจะแตกต่างจาการถ่ายภาพพอร์ตเทรด ฟังดูแปลกๆ แต่มันเป็นความจริง การถ่ายภาพแบบพอร์ตเทรดคุณจะมีการเคลื่อนย้ายขาตั้งกล้องไปรอบๆ อย่างไรก็ตามการถ่ายภาพเฉพาะส่วนศีรษะ ตัวแบบจะยืนหรือนั่งแค่จุดเดียวและมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย คุณในฐานะช่างภาพ จะไม่เคลื่อนที่ไปมามากนัก
ในเวลาเดียวกัน เมื่อคุณกำลังเคลื่อนที่คุณต้องการการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นกับตัวขาตั้งกล้องและสามารถที่ควบคุมไม่ให้กล้องเปลี่ยนตำแหน่ง เมื่อคุณจะต้องถ่ายภาพบุคคลเฉพาะส่วนศีรษะให้แน่ใจว่าคุณใช้หัวบอลบนขาตั้งกล้องมากกว่าหัวชนิดอื่น มันช่วยให้การทำงานที่ดีกว่า ผมอยากจะแนะนำให้คุณดูวีดีโอของ Peter Hurley เกี่ยวกับการถ่ายภาพบุคคลเฉพาะส่วนศีรษะ และดูว่าเขาใช้ขาตั้งกล้องกับกล้อง Hasselblad ซึ่งมีน้ำหนักมาก อย่างไร

ขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพสินค้า

การถ่ายภาพสินค้าคือการถ่ายภาพในสตูดิโอซึ่งตัวแบบจะไม่เคลื่อนไหว เมื่อคุณอยู่ในสตูฯ การถ่ายภาพสินค้ากล้องของคุณจะอยู่ในตำแหน่งเดียวตลอดเวลาซึ่งมีเพียงการปรับแต่งเล็กน้อย บ่อยครั้งคุณจะต้องมีตัววาง laptop และมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆบนขาตั้งกล้อง ที่จะต้องเชื่อมต่อระหว่างกล้องกับ laptop แต่ก็น่าแปลกที่ช่างถ่ายภาพสินค้าใช้ Camera stand ถ่ายมากกว่าใช้ขาตั้งกล้อง มันจะมีหลักการเหมือนกับขาตั้งกล้องยกเว้นว่ามันมีน้ำหนักมาก และทำการปรับแต่งความสูง มุมและระยะ มันจะอยู่บนล้อเลื่อนที่เคลื่อนย้ายไปได้รอบๆสตูดิโอได้ การที่ Camera Stand ถูกออกแบบให้ใช้งานหนักดังนั้นการจะติดที่วาง laptop เป็นเรื่องง่ายและปลอดภัย
ราคาของ Camera Stands จะแพงมากราคามากกว่า 1000 เหรียญสหรัฐ ดังนั้นมันไม่เหมาะสำหรับทุกคน ถ้าคุณไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้เงินมากเพียงเพื่อการถ่ายภาพครั้งเดียว ผมแนะนำว่าหาขาตั้งกล้องที่เป็นพวกขาเหล็กเพราะว่าคุณไม่ได้เคลื่อนย้ายตัวสินค้าและมันก็ตั้งอยู่เพียงตำแหน่งเดียว ขาตั้งกล้องที่ใช้งานหนักพวกนี้มันสามารถถือกล้องที่มีน้ำหนักมากๆได้ และถ้าคุณต้องการจะเพิ่มที่วาง laptop เข้าไปด้วย คุณจะรู้สึกมั่นใจว่ามันจะวางทั้งกล้องและ laptop ได้อย่างปลอดภัย สำหรับการถ่ายภาพสินค้า หัวบอลไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เหมือนกับพวก Induro PHQ-3 หัวปรับได้สามทิศทาง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า

Paul Burwell พูดเกี่ยวกับเรื่องขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเมื่อได้อ่านแล้ว ขาตั้งกล้องที่เป็นพวกคาร์บอนไฟเบอร์จะเหมาะกับการถ่ายภาพชนิดนี้ หัว Gimbal สามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับช่างภาพชีวิตสัตว์ป่าซึ่งรวมถึงวัสดุหุ้มตัวเลนส์ ถ้าคุณไม่สามารถหาหัว Gimbal ได้ก็ให้ใช้หัวบอลซึ่งคุณสามารถยึดและปรับมุมมองได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
สำหรับช่างถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าบ่างท่าน ตัวจับซาฟารี (เหมือนกับอันนี้ จาก Really Right Stuff) สามารถใช้ประโยชน์ได้ดีมาก โดยเฉพาะถ้าคุณต้องเดินทางไปแอฟริกาและต้องถ่ายภาพจากรถบรรทุก

ขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพท่องเที่ยวและเดินถ่ายภาพ

ผมได้รวมเอาสองเรื่องไว้ในเรื่องเดียว เพราะว่ามันคล้ายกันถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้เดินทางถ่ายภาพ แต่หลักการก็เหมือนกัน พื้นฐานไม่ว่าจะเดินทางถ่ายภาพ หรือเดินถ่ายภาพคุณก็ต้องแบกขาตั้งกล้องที่มีน้ำหนักเบาสะดวกสบาย โดยส่วนตัวผมมีขาตั้งกล้องของ Really Right Stuff ซึ่งทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ มันสูงแต่เบา แท้จริงเท่ากับตัวขาตั้งกล้องสามขาขนาดพกพาด้วยซ้ำ
แน่นอน ขาตั้งกล้องสามขาแบบพกพาจะเหมาะกับสถานที่เล็กๆ เหมือนกับกระเป๋ากล้อง ขาตั้งกล้อง Really Right Stuff ไม่ได้เพิ่มน้ำหนักมันมั่นคงมากและยึดได้สูงกว่า

บทสรุป

ในบทความนี้ผมได้แบ่งปันหกเหตุผลการเลือกใช้ขาตั้งกล้องและความแตกต่างในการใช้งาน แม้ว่าบางสิ่งที่เจาะจงอาจจะต้องหาขาตั้งกล้องที่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณจะถ่าย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
ยิ่งคุณรู้จักอุปกรณ์ของคุณ เข้าใจว่ามันใช้งานอย่างไรเพื่อให้ได้ความสามารถที่ดีที่สุด แน่นอนว่าคุณจะรู้สึกดี ใช้สิ่งที่คุณคุ้นเคยและถนัด เพราะว่าการใช้ขาตั้งกล้องกับหลายๆ สถานการณ์ย่อมดีกว่าการไม่มีขาตั้งกล้องเลย
ก่อนที่ผมจะจบในบทความนี้ ผมต้องการแบ่งปันบทความที่มีประโยชน์ใน dPS ให้แน่ใจว่าคุณได้อ่านบทความ ซื้อขาตั้งกล้องอย่างไร ใช้ขาตั้งกล้องอย่างไร และ ตั้งมั่น
ถ้าคุณมีคำแนะนำอะไรเพิ่มเติมโปรดเขียนคำแนะนำไว้ด้วย

97
 เลือกซื้อขาตั้งกล้องอย่างไร?

A Post By: Darren Rowse
โพสโดย Darren Rowse แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-buy-a-tripod

โพสนี้เป็นเรื่องขาตั้งกล้อง ที่มีหัวข้อต่อเนื่อง (คุณควรจะอ่าน การแนะนำเรื่องขาตั้งกล้อง ก่อนที่จะอ่านบทความนี้)
มุ่งหน้าไปร้านขายกล้องใกล้บ้านคุณและคุณจะพบกับขาตั้งกล้องจำนวนมากที่มีความหลากหลาย มันจะมีรูปทราง ขนาด น้ำหนักและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่จะเชื่อมต่อกับกล้องของคุณ แล้วคุณจะเลือกอันไหนดีละ นี้คือหกสิ่งที่ให้เราได้คิดไว้ในใจ......
1. น้ำหนัก
น้ำหนักของขาตั้งกล้องควรจะถูกพิจารณาจากสองมุมมอง ข้อที่หนึ่ง...จำไว้ว่าคุณหรือ(บางท่าน) กำลังจะต้องแบกขาตั้งกล้องไปกับตัวคุณ ถ้าคุณใช้มันในการเดินทาง หรือคุณต้องถือมันตลอด คุณต้องเลือกอันที่มีน้ำหนักเบาเป็นทางเลือกแรก ข้อที่สอง...น้ำหนักมีความสำคัญเมื่อพิจารณาว่าคุณจะวางอะไรไปบนขาตั้งกล้อง ถ้าคุณใช้กล้องเล็กๆไม่มีอุปกรณ์เสริมอะไรคุณก็ไม่จำเป็นต้องมีขาตั้งกล้องที่มีน้ำหนักมาก แต่ถ้าคุณใช้กล้อง DSLR ใช้เลนส์ใหญ่ๆ และมีแฟลชบนหัวกล้อง คุณจะต้องลงทุนกับบางสิ่งที่จะรับน้ำหนักของเหล่านี้
2. ความมั่นคง
น้ำหนักจะไม่เท่ากับความมั่นคง ถ้าเป็นไปได้ให้คุณทดสอบขาตั้งกล้องกับกล้องของคุณ ให้ทดสอบการใช้งานดูว่ามันมั่นคงหรือไม่ มันจะนิ่งและมั่นคงในวันที่มีลมแรงหรือเปล่า? มันจะล้มง่ายไหมเมื่อมีคนเดินเตะ?
3. การล๊อคของขาตั้ง
มีผู้ผลิตหลายรายที่ผลิดกลไกการล็อคขาตั้งที่แตกต่างกัน ส่วนมากมันจะออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล แต่คุณต้องแน่ใจว่าไม่ว่าจะมีใช้วิธีการใดๆคุณควรจะเลือกขากตั้งที่ใช้ง่าย ปรับแต่งง่ายแต่มันจะต้องแข็งแรงและรองรับน้ำหนักตัวกล้องได้ดี ส่วนตัวแล้วผมชอบการล๊อคแบบพับไปมาของขาตั้งกล้องยี่ห้อ Manfrotto
4. จำนวนท่อนของขาตั้งกล้อง
จำนวนท่อนของขาตั้งกล้องก็เป็นปัจจัยสำคัญ เลือกอันที่มีเพียง สองท่อนและคุณสามารถดึงมันออกมาได้เมื่อต้องการจะพับมัน แน่นอนขาตั้งสองท่อนมันดีเพราะว่ามีตัวล๊อคจำนวนน้อยกว่าและไม่ยุ่งยาก ขาตั้งสามท่อนจให้ขนาดที่เล็กกว่าในการพับเก็บ (และบางทีก็เชื่อกันว่ามันมีโครงสร้างที่มั่นคงกว่า)
5. ความสูง
ขึ้นอยู่กับรูปแบบการถ่ายภาพของคุณ ความสูงที่คุณต้องการจะแตกต่างกัน ไม่เพียงแค่คิดถึงความสูงที่มียืดได้สูงสุดที่คุณต้องการ แต่ยังต้องทดสอบว่ามันทำงานอย่างไรที่ระดับต่ำสุดและมันมีขนาดใหญ่แค่ไหนเมื่อพับเก็บ (การพกพาไปกับตัว) ผมจะพยายามหาขาตั้งกล้องที่มีความสูงที่สูงสุดที่ผมสามารถมองช่องมองภาพของกล้องโดยไม่ต้องก้ม (ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าที่จะต้องก้มๆ เงยๆ ทั้งวันเพื่อตรวจสอบภาพในการถ่ายแต่ละครั้ง)
6. หัวของขาตั้งกล้อง
สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงขาตั้งกล้องนั้นคือคุณจะวางกล้องอย่างไรบนขาตั้ง มีทางเลือกมากมาย และผมคิดว่ามันควรจะต้องมองไปข้างหน้าและทดสอบความหลากหลายเหล่านั้น ไม่เพียงแต่ลองวางกล้องบนขาตั้งเท่านั้น แต่ยังต้องดูว่ามันมีความคล่องตัวดีหรือไม่
ข้ออ้างอิงสำหรับการเลือกหัวของขาตั้งกล้องจะต้องมีบางสิ่งที่ดึงออกได้เพื่อว่าผมสามารถที่จะดึงออกมาถือกล้องด้วยมือเปล่าได้อย่างรวดเร็ว และต้องมีบางสิ่งที่สามารถทำให้กล้องมีความคล่องตัวในการปรับกล้องที่อยู่บนหัวเหล่านั้น
มีหัวของขาตั้งกล้องอยู่สองชนิด
• หัวบอลที่มีเบ้า มันจะดีที่สุดในแง่ของความคล่องตัวและการเคลื่อนตัวของกล้องไปรอบๆ แต่โดยส่วนตัว ผมพบว่ามันยังมีความไม่น่าไว้ใจเล็กน้อย พวกมันจะให้ความรู้สึกที่ดีและราบรื่น ตัวอย่างของหัวบอลที่มีเบ้าคือ Bogen, Manfrotto Midi Ball Head กับ RC2 Rapid Connect
• หัวปรับระดับแนวตั้งแนวนอน มันเหมาะกับการล๊อคตำแหน่งและสามารถปรับได้ง่าย มันจะไม่เหมือนการเคลื่อนที่ของของเหลวและใช้เวลาน้อยในการคุ้นเคยกับการใช้งาน แต่ผมก็ชอบพวกมัน ตัวอย่างของหัวชนิดนี้ก็มีของ Bogen-Manfrotto 3039 3-way Pan/Tilt Head
หัวของขาตั้งกล้องสามารถที่จะเลือกซื้อมาพร้อมกับขาตั้งหรือจะซื้อแยกต่างหาก
หวังว่าปัจจัยข้างต้นจะช่วยให้คุณเข้าใจชนิดของขาตั้งที่เหมาะกับคุณ ถ้าคุณมีขาตั้งกล้องแล้ว คุณสามารถเพิ่มเติมคำแนะนำในการเลือกซื้อและข้อแนะนำว่าขาตั้งกล้องแบบไหนที่คุณชอบที่สุด และทำไม
ปล.ผมรู้ว่ามีหลายคนจะถามผมว่า ผมใช้ขาตั้งกล้องแบบไหน ผมใช้ขาตั้งกล้องของ Manfrotto ทั้งแบบสามขา และขาเดียว แต่ก็มียี่ห้ออื่นๆ อยู่มากมาย รุ่นที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ไม่มีการผลิตแล้วแต่คุณสามารถค้นหาขาตั้งกล้องที่ขายดีที่สุดได้ใน Amazon เพื่อเป็นแนวทางว่าคนส่วนใหญ่เขาซื้ออะไรกัน

98
 คุณใช้ขาตั้งกล้องของคุณอย่างไร (มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิด)

A Post By: Darren Rowse
โพสโดย Darren Rowse แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-use-your-tripod-its-not-as-simple-as-you-think
ในบทความนี้ Steve Berardi จาก PhotoNaturalist ได้พูดไว้บางสิ่งในการใช้ขาตั้งกล้อง
เมื่อครั้งแรกที่คุณได้ขาตั้งกล้องมา คุณจะคิดว่ามันง่ายจริงๆ แค่กางขาออก วางกล้องบนขาตั้ง และก็พร้อมใช้งานแล้ว
ผมได้คิดในเรื่องสักครู่ แต่เมื่อผมได้อ่านหนังสือของ Ansel Adam ชื่อ The Camera ซึ่ง อดัมได้เขียนเกี่ยวกับการใช้ขาตั้งกล้องถึงสองหน้า โดยเขาได้เริ่มบรรยายดังนี้ว่า
“ช่างภาพมากมายได้ตั้งขาตั้งกล้องและใช้ในการปรับระดับหรือปรับแต่งโดยไม่มีจุดหมาย อย่างไรก็ดีมันมีกระบวนที่มากกว่าในการตั้งขาตั้งกล้อง ถ้าเวลาแลสถานการณ์เอื้ออำนวย เราควรจะคิดถึงตำแหน่งของกล้องและการตั้งที่มั่นคงของขาตั้ง”
ดังนั้น ขาตั้งกล้องดูเหมือนเป็นเครื่องมืองธรรมดาชิ้นหนึ่ง แต่มันมีหลายสิ่งที่ต้องเตือนใจเมื่อเราติดตั้งมันและให้แน่ใจว่าเราจะได้ภาพที่คมชัดเท่าที่เป็นไปได้
1. หาองค์ประกอบภาพก่อน
ถ้าคุณมีเวลาที่เหมาะในการติดตั้งขาตั้งกล้อง มันเป็นความคิดที่ดีที่ควรจะหาองค์ประกอบภาพก่อนแล้วค่อยมาคำนึงถึงขาตั้งกล้อง ดังนั้นลองเดินไปรอบๆ สำรวจหาตัวแบบจากมุมที่แตกต่าง มันจะช่วยได้มากเมื่อมองผ่านช่องมองภาพและจะช่วยให้คุณเห็นว่าองค์ประกอบภาพแบบไหนที่จะกลายเป็นรูปภาพของคุณ
2. ให้ขาหนึ่งของขาตั้งกล้องชี้ไปข้างหน้าตัวแบบ
การให้ขาตั้งกล้องขาหนึ่งชี้ไปข้างหน้าตัวแบบจะช่วยให้คุณมีช่องว่างในการยืนระหว่างขาอีกสองข้าง (ช่วยป้องกันคุณจากการสะดุดขาตั้งกล้องได้) และมันยังช่วยให้มั่นคงกับตัวกล้องที่อยู่บนขาตั้งเมื่อมันชี้ลงพื้น
3. ให้จุดศูนย์กลางของแกนอยู่ในแนวตั้งและตั้งฉากกับพื้นดิน
ให้แน่ใจว่าน้ำหนักได้ตกลงบนขาตั้งทั้งสามขาเท่ากัน และให้จุดศูนย์กลางของแกนอยู่ในแนวตั้งและตั้งฉากกับพื้นดิน ใช้ตัววัดระดับน้ำติดไว้บนแกนแนวตั้งเพื่อช่วยให้รู้ระดับของขาตั้งกล้องและมั่นใจว่ามันพร้อมใช้งาน สำหรับตัววัดระดับน้ำ มันไม่ได้มีมากับขาตั้งกล้องของคุณ คุณสามารถจัดหาซื้อได้ในราคาที่น้อยกว่า 10 เหรียญสหรัฐ
4. หลีกเลี่ยงการยืดแกนกลาง
ส่วนที่เป็นแกนกลางของขาตั้งกล้องเป็นส่วนที่มีความมั่นคงน้อยกว่าขาตั้งสามขาที่กางอยู่ ดังนั้นขอให้ใช้แกนกลางเป็นสิ่งสุดท้าย บ่อยครั้งที่มันเป็นเหตุให้การปรับแต่งไม่เป็นที่พอใจในการปรับระดับความสูงที่ต้องการ แต่ให้จำไว้ว่ามันจะช่วยให้คุณได้ภาพที่คมชัดมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
5. ใช้แท่นฐานกล้องรูปตัว L สำหรับเล่นช่วงสั้น
ตัวแท่นฐานกล้องรูปตัว L เป็นแท่นชนิดพิเศษที่ติดกับตัวกล้องและวางอยู่บนขาตั้งกล้อง มันมีรูปร่างเหมือนตัวอักษร แอล และมันสามารถทำให้คุณตั้งกล้องได้ในแนวตั้งขณะที่มันยังคงรักษาตำแหน่งกล้องไว้ตรงจุดกึ่งกลางของขาตั้งกล้อง นี้คือภาพแสดงตัวอย่างของ แท่นฐานกล้องรูปตัว L ที่แตกต่างจาก แท่นฐานกล้องมาตรฐานทั่วไป (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
สำหรับแท่นฐานกล้องตัว L มีข้อดีใหญ่ๆ สองข้อ มันรักษาตำแหน่งกึ่งกลางที่เป็นจุดรองรับดีที่สุดของขาตั้งกล้อง (อยู่ตรงกลางระหว่างสามขา) และเพิ่มความสูงเพียงไม่กี่นิ้วเมื่อถ่ายในแนวตั้ง (เพียงค่าที่เพิ่มขึ้นไม่กี่นิ้วสามารถทำให้ได้ภาพหรือไม่ได้ภาพกันเลย)
6. ใช้ตัว collar สำหรับเลนส์ช่วงยาว
สำหรับเลนส์ที่มีขนาดใหญ่และหนักมันจะขยับจุดศูนย์กลางของตัวกล้องออกไป มันจำเป็นมากที่ต้องมีตัว Collar เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างน้ำหนักของตัวกล้องและเลนส์ ถ้าไม่มีตัว collar คุณต้องสังเกตให้ดีว่ากล้องของคุณค่อยขยับทิ้งตัวลงหรือไม่เมื่อได้ทำการล๊อคหัวแล้ว
7. ใช้กระเป๋ากล้องหรือวัสดุหนักๆในการถ่วงน้ำหนักของแกนกลางเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้ขาตั้งกล้อง
ถ้าคุณรู้ว่าคุณจะพบกับสภาพวันที่ลมแรงเป็นพิเศษ คุณควรจะหาอะไรถ่วงน้ำหนักที่ขาตั้งกล้อง (เช่น กระเป๋ากล้อง) จากจุดแกนกลาง ขาตั้งกล้องหลายๆยี่ห้อจะมีตะขอเกี่ยวไว้ใต้แกนกลาง แต่ถ้าไม่มีให้คุณลองตรวจสอบดูว่าคุณสามารถจะหาตะขอที่เป็นเกลียวจากร้านฮาร์ดแวร์มาติดได้ไหม ให้ระมัดระวังในวิธีการนี้ ถ้ากระเป๋ากล้องของคุณการสั่นตอนลมพัดและไปชนกับขาตั้งกล้อง มันก็จะทำให้คุณสูญเสียความมั่นคงของขาตั้งได้
ทำไมมันถึงมีความสำคัญที่ต้องระมัดระวังในการตั้งขาตั้งกล้อง
การตั้งขาตั้งกล้องบางครั้งดูเหมือนมันเชื่องช้าและน่าเบื่อ มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องระมัดระวังเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้ภาพที่คมชัดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ให้แน่ใจว่าขาตั้งกล้องของคุณอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงมันจะช่วยป้องกันจากการล้มและสร้างความเสียหายกับกล้องและเลนส์ของคุณ
สุดท้ายนี้ ยิ่งคุณใช้เวลาและเอาใจใส่ในการตั้งขาตั้งกล้องคุณมากเท่าไร คุณก็จะหันไปสนใจเรื่ององค์ประกอบภาพมากขึ้นเท่านั้น จงรู้ไว้ว่ามันใช้เวลามากในการตั้งขาตั้งกล้อง คุณก็ยิ่งจะใช้ความระมัดระวังมากเกี่ยวกับการเลือกองค์ประกอบภาพ

99
5 เหตุผล ทำไมต้องมีรูปผู้คนอยู่ในภาพของคุณแล้วทำให้ดูดี
โพสโดย Kav Dadfar แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ (เพื่อใช้อ้างอิงและดูภาพประกอบ)
http://digital-photography-school.com/5-reasons-people-photos-good-thing
ลองจินตนาการแบบนี้ครับ คุณได้ตั้งค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์แล้ว การวางองค์ประกอบภาพดูดีแล้ว แสงสวยแล้ว และคุณพร้อมที่จะเก็บภาพในขณะที่มีบางคนที่คุณไม่รู้จักเดินผ่านกล้องเข้ามา ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้ว่าเขาผ่านหน้ากล้องและก็หันมาขอโทษซึ่งคุณก็ได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกว่า “ไม่เป็นไรครับ” แต่ในใจคุณกำลังโกรธ
แต่ไม่ต้องตื่นตระหนกไป การที่มีภาพผู้คนในรูปถ่ายของคุณสามารถกลายเป็นสิ่งที่ดี และในความเป็นจริง บางรูปภาพนักบรรณาธิการต้องการผู้คนให้อยู่ในรูปภาพด้วย ยิ่งไปกว่านั้นทุกๆวันนี้ ผมพยายามที่จะให้ผู้คนรวมอยู่ในภาพถ่ายเท่าที่มันสามารถช่วยให้ภาพถ่ายของผมมีความแตกต่างไปจากคู่แข่ง
และนี้คือที่มาของ 5 เหตุผลทำไมต้องมีผู้คนรวมอยู่ในการถ่ายภาพของคุณซึ่งสามารถช่วยพัฒนาการวางองค์ประกอบภาพ
1. ผู้คนจะช่วยเป็นตัวบอกถึงขนาด
มันเป็นการยากที่จะให้เห็นถึงขนาดของบางสิ่งในภาพโดยปราศจากการเพิ่มเติมบางสิ่งเพื่อให้มันบ่งบอกถึงขนาดในสิ่งที่เราคุ้นเคย ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ถ้าคุณเติมคนเข้าไปใกล้ต้นไม้มันสามารถช่วยให้ผู้ชมได้สังเกตถึงขนาดที่แตกต่างกันได้ เหมือนกับในภาพวิวทิวทัศน์ ถ้าคุณขึ้นที่สูง ลองใส่ภาพคนในฉากหน้ามันสามารถที่ช่วยแยกให้เห็นว่าคุณอยู่สูงแค่ไหน
นักปีนเขาอยู่บนยอดของภูเขาแสดงให้เห็นว่ามันสูงแค่ไหน (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)

ผู้คนที่อยู่ในภาพนี้ช่วยเน้นให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของทิวทัศน์ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)

ในภาพแรกซ้ายมือคุณจะไม่เห็นถึงความคับแคบของอุโมงค์ เมื่อมีภาพที่สองที่มีคนประกอบอยู่ด้วย (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
2. ผู้คนสามารถที่จะเพิ่มคำอธิบายในภาพได้
สิ่งหนึ่งที่เยี่ยมยอดเมื่อมีการเพิ่มผู้คนเข้าไปในภาพของคุณเพื่อช่วยในการสื่อสารเรื่องราวที่คุณกำลังพรรณาให้กับผู้ชม ตัวอย่างเช่น มีภาพผู้คนกำลังเดินในภาพทิวทัศน์สามารถที่จะเล่าเรื่องว่าพวกเขากำลังเดิน หรือกำลังไปปีนเขา เมื่อมันถูกแปลในโลกของความเป็นจริง ภาพเหล่านี้บรรณาธิการสามารถที่จะใช้มันอย่างง่ายมากในการผูกเรื่องราวกับหัวข้อที่เขาจะเขียน ตัวอย่างเช่น ภาพด้านล่างที่มีคนกำลังถ่ายภาพสามารถช่วยในการโปรโมทการถ่ายภาพในช่วงวันหยุด หรือเรื่องราวเกี่ยวกับการถ่ายภาพบุคคล

ภาพนี้สามารถนำไปใช้ในหัวข้อเรื่องการถ่ายภาพท่องเที่ยว (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ ภาพด้านซ้าย)   
คนที่กำลังเดินในภาพนี้ช่วยอธิบายถึงการเดินทางผจญภัย (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์  ภาพด้านขวา)
3. ผู้คนสามารถช่วยบอกเรื่องราว
มีคำพูดหนึ่งที่พูดว่า “รูปภาพมีค่ามากกว่าคำเป็นพันคำ”  ภาพถ่ายสามารถสร้างพลังที่เหลือเชื่อและเป็นส่วนสำคัญของการสื่อความ การเพิ่มผู้คนในภาพถ่ายของคุณสามารถช่วยบอกเรื่องเราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ซึ่งบางทีอาจจะมีความรู้สึกทั่วๆ ไป ตัวอย่างเช่น รูปภาพของนักท่องเที่ยวกำลังมองรูปปั้น ซึ่งมันทำให้ภาพมีน้ำหนักมากและบอกเรื่องราวของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชมในรูปปั้นนั้น
นักท่องเที่ยวในส่วนประกอบภาพนี้ช่วยให้เล่าเรื่องราวในภาพมากกว่าที่จะแสดงให้เห็นถึงทิวทัศน์ (ดูภาพในเว็ปไซต์ประกอบ)
4. ผู้คนจะเป็นจุดดึงดูดความสนใจ
การรวมผู้คนในภาพถ่ายของคุณจะเป็นสิ่งที่ดีในการเพิ่มจุดดึงดูดความสนใจ นี้คือการวางองค์ประกอบภาพเมื่อคุณมีทิวทัศน์ที่ซึ่งสีและรูปแบบมันใกล้เคียงกัน (ตัวอย่างเช่น ทะเลทราย หรือ น้ำ) โดยการเพิ่มผู้คนในภาพมันช่วยตัดกับสิ่งที่เหมือนๆกันของฉากและช่วยทำให้ผลลัพท์สุดท้ายเป็นที่น่าพอใจด้วย
ผู้หญิงในภาพนี้ ช่วยทำภาพมีจุดสนใจ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
การเพิ่มผู้คนในภาพ เป็นสิ่งที่จะเพิ่มจุดน่าสนใจของภาพได้ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
5. ผู้คนช่วยให้ภาพมีชีวิตชีวา
การใช้ความเร็วต่ำของ shutter จะช่วยสร้างการเคลื่อนไหวของผู้คนที่ไม่คมชัดในภาพของคุณซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าภาพมีการเคลื่อนไหว นี้คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากกับบางสถานที่ที่ช่วยเน้นว่าผู้คนเหล่านี้กำลังวุ่นวาย บ่อยครั้งเมื่อใช้ความเร็วต่ำของ shutter คุณต้องมั่นใจว่าคุณใช้ขาตั้งกล้องเพื่อป้องกันการสั่นไหวของตัวกล้อง คุณต้องการให้บางส่วนของภาพคมชัดเพื่อมันจะได้ตัดกับสิ่งที่เคลื่อนไหวที่นุ่มนวล
การใช้ความเร็วต่ำของ shutter จะแสดงถึงการเคลื่อนไหวของผู้คน มันสิ่งที่ยอดมากที่ผลงานของคุณจะมีความหลากหลายไปด้วย (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
การเคลื่อนไหวของผู้คนในภาพนี้ช่วยทำให้ภาพมีชีวิตชีวาและน่าสนใจ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
ถึงเวลาของคุณแล้วละ......ลองเอาภาพของคุณที่มีผู้คนอยู่ในภาพมาให้เราดูกันบ้าง.....

100
 5 ขั้นตอนที่จะช่วยให้คุณถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่ดีกว่า

โพสโดย Rick Berk แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/5-steps-to-help-you-take-better-landscape-photos
การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ บางครั้งมันยากที่จะแสดงให้สิ่งที่ต้องการโฟกัสไปยังเนื้อหาของภาพเพื่อจะนำสายตาของผู้ชมไปในสิ่งที่ช่างภาพต้องการ บางครั้งคุณต้องการแสดงให้เห็นถึงความสวยงาม ภาพอาจจะไม่แสดงให้เห็นแบบนั้นและคุณต้องค้นหามัน นี้คือห้าขั้นตอนพื้นฐานที่จะช่วยให้คุณได้ภาพวิวทิวทัศน์ที่ดีกว่า ฉันทำตามสิ่งเหล่านี้ทุกครั้งที่ฉันกำลังจะถ่ายภาพวิวทิวทัศน์
1. ค้นหาตัวแบบให้พบ
บางครั้งมันก็ง่าย คุณเลือกตัวตึกอาคาร หรือรายละเอียดของก้อนหิน หรือต้นไม้ และมันอาจจะมีทุกอย่างรวมกัน บางทีมันก็กลายเป็นเรื่องยาก บางครั้งก็ไม่มีอะไรให้เห็นเป็นตัวแบบเลย มองไปรอบๆเพื่อหาบางสิ่งที่สะดุดตาคุณ มองผ่านช่องมองภาพของกล้องและดูว่าสิ่งนั้นเมื่ออยู่ในเฟรมของกล้องจะมองเห็นอย่างไร เมื่อคุณค้นพบตัวแบบแล้วคุณก็จะมีแนวทางการตัดสินใจได้มากขึ้น
หินพวก Haystack เป็นตัวแบบที่เห็นได้ชัดเจน แต่มันมีจำนวนมากมายเมื่อมันถูกถ่ายภาพ สำหรับภาพนี้ ผมตัดสินใจที่จะใช้แอ่งน้ำเล็กกับหินบางก้อนเป็นฉากหน้า และยังต้องการรวมเอาภาพท้องฟ้าซึ่งมีก้อนเมฆที่น่าสนใจด้วย ก้อนหินและน้ำทำให้ภาพมีเส้นนำสายตาไปถึงตัว หิน Haystack ผมถ่ายด้วยกล้อง EOS 5D Mark III กับเลนส์ EF 14mm f/2.8L II ที่ค่ารูรับแสง f/16 ISO 100 (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
2. เราจะจัดวางองค์ประกอบภาพกับตัวแบบของเราไว้ที่ไหนดี?
ไม่มีฉากหน้าที่ดูน่าสนใจ มีแต่พื้นทรายและพุ่มไม้ที่ดูไม่น่าสนใจเท่าไร แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ ดวงจันทร์ที่กำลังขึ้นระหว่างลำต้นของตัวกระบองเพชร และมีแสงไล่เฉดสีสมไปหาสีฟ้าซึ่งดวงอาทิตย์กำลังตกอยู่ด้านหลังของผม ผมถ่ายด้วยกล้อง EOS 5D Mark III เลนส์ EF 70-200 f/2.8L IS II ที่ค่าความเร็ว shutter 1/20 และค่ารูรับแสง f/22 ค่า ISO 1000
นี้เป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมซึ่งขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คุณอยู่ และยังรวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในฉากของคุณด้วย มองหาความสัมพันธ์ที่น่าสนใจกับตัวแบบที่คุณเลือกไว้ มันเป็นวัตถุที่น่าสนใจไหม หรือ ลวดลายในฉากหน้าซึ่งเป็นเส้นนำสายตาของผู้ชมไปยังตัวแบบนั้นหรือไม่ มีบางอย่างในฉากหน้าซึ่งที่รวมอยู่กับตัวแบบในกรอบภาพหรือไม่ หรือสิ่งอื่นๆที่เพิ่มเข้าไปในภาพแต่ไม่เป็นการรบกวนตัวแบบหรือเปล่า บ่อยครั้งที่ผมใช้ก้อนหิน หรือน้ำเป็นฉากหน้าถ้าเป็นไปได้ และถ้าเป็นน้ำ มันสามารถสร้างเงาสะท้อนให้ตัวแบบคุณได้ไหม บางครั้งมันก็เป็นใบไม้ บางครั้งก็ต้นไม้ หรือไม่ก็รั้ว
ถ้ามองดูแล้วไม่มีฉากหน้าที่น่าสนใจ พยายามลดขนาดลงโดยการให้ตัวแบบเป็นฉากหน้าและมองหาฉากหลังที่น่าสนใจ เมฆหรือท้องฟ้า ตัวตึก อาคาร หรือต้นไม้ที่น่าสนใจ สามารถสร้างเป็นฉากหลังในภาพวิวทิวทัศน์ได้ บางครั้งถ้าคุณโชคดีคุณจะได้สิ่งที่น่าสนใจทั้งฉากหน้าและฉากหลังพร้อมกัน ได้เวลาที่คุณจะต้องสนใจกับการวางองค์ประกอบภาพและปริมาณของฉากหน้ากับฉากหลังที่คุณมองดูแล้วว่ามันดีที่สุด หรือมันไม่ดีเอาเลย พูดกันตรงๆ ถ้าท้องฟ้าแบนๆหรือขาดสิ่งที่น่าสนใจ เราจะวางมันไว้ในด้านบนในส่วนที่สามของภาพโดยใช้กฎสามส่วน ถ้าฉากหน้ามีสิ่งน่าสนใจ เราก็จะวางมันไว้ด้านล่างในส่วนที่สาม
3. รวมเข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าตัวแบบของคุณจะวางในกรอบภาพ อะไรคือฉากหน้า หรืออะไรคือฉากหลัง มันเป็นเวลาที่จะต้องรวมมันเข้าไว้ด้วยกัน มีเส้นนำสายตาที่จะนำผู้ชมภาพจากฉากหน้าไปฉากหลังหรือไม่? เส้นนำสายตาจะเป็นหนทางที่ง่ายที่จะรวมเอาองค์ประกอบภาพเข้าด้วยกัน กรอบภาพก็เป็นอีกทางหนึ่งซึ่งผมได้รวมไว้ในสิ่งที่ผมกำลังพูดในการเลือกฉากหน้าของคุณ ถ้าปราศจากการรวมองค์ประกอบภาพไว้ด้วยกัน ภาพมันจะดูเหมือนกับมีภาพสองภาพที่แยกจากกันแต่อยู่ในภาพเดียวกัน การสร้างองค์ประกอบภาพที่มีการดึงความสนใจของผู้ชมและนำพวกเขาไปยังสิ่งที่คุณต้องการให้พวกเขาเห็นเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะสร้างภาพวิวทิวทัศน์ที่มีประสิทธิภาพ
ภาพนี้ถ่ายด้วยกล้อง EOS 5D Mark III กับเลนส์ EF 16-35mm f/2.9L II ผมซูมภาพที่ระยะ 35mm ในภาพนี้ ค่าความเร็ว shutter เท่ากับ 1.6” ค่ารูรับแสง f/20 และ ค่า ISO 100
ภาพของ Kasterskill Creek (ด้านบน) ผมรู้ว่าน้ำตกเล็กๆคือตัวแบบหลัก มีก้อนหินที่สร้างความน่าสนใจในฉากหน้า และน้ำสร้างเส้นนำสายตาไปยังด้านหลังของน้ำตกที่อยู่กลางภาพนำไปถึงพวกใบไม้ต่างๆ ที่อยู่ในฉากหลัง
4. อ่านสภาพแสง
คุณอยู่ในสถานที่ที่มีเวลาเหมาะสมไหม? บางสถานที่จะดีกว่าเมื่ออยู่ในช่วงเช้าๆ บางที่ก็ในช่วงบ่าย บางทีก็ดีไม่ว่าจะเป็นเวลาอะไรก็ตาม ความแตกต่างของแสงแต่ละช่วงเวลามันหมายถึงภาพวิวทิวทัศน์ที่มีความแตกต่างเช่นกัน หรือการเก็บภาพในสถานที่สวยๆ การค้นหาตำแหน่งของดวงอาทิตย์ที่จะตกลงมายังสถานที่ในแต่ละช่วงเวลา เราอาจจะใช้ Application เช่น The Photographer’s Ephemerus หรือ Sunseeker Pro ซึ่งจะแสดงตำแหน่งที่แน่นอนของดวงอาทิตย์ในสถานที่นั้น มันสามารถช่วยให้คุณวางแผนเพื่อจะรู้ว่าเวลาไหนที่เหมาะสมของสภาพแสงในสถานที่นั้นๆ
เส้นด้านข้างจะช่วงให้ภาพเกิดเงาและแสดงถึงรายละเอียดของพื้นผิว แสงด้านหลังจะใช่วยสร้างภาพเงาดำซึ่งสามารถสร้างความสะดุดตาที่แยกออกมาจากเส้นขอบฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แสงด้านหน้าจะเผยรายละเอียดทุกๆ ที่ บ่อยครั้งที่ผมจะถ่ายภาพในสถานที่เดิมแต่แตกต่างในช่วงของเวลา และสภาพแสงที่แตกต่างของช่วงเวลาจะสร้างภาพมากมายจากสถานที่เดียวกัน

ภาพนี้ถ่ายด้วย EOS 5D Mark II กับลนส์ EF 17-40mm f/4L ค่าความเร็ว shutter 15 วินาที ค่ารูรับแสง f/11 และค่า ISO 800
Montauk Point (ภาพด้านบน) คือสถานที่ที่ดีเยี่ยมกับการโอกาสที่จะได้ภาพมากมาย แต่สถานที่นี้จะดีในช่วงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น กว่าช่วงเวลาตอนบ่ายหรือตอนดวงอาทิตย์ตก ซึ่งเงาต่างๆ จะถูกสร้างด้วยหน้าผมที่สูงชัน ช่วงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น มันเป็นช่วงเวลาที่วิเศษมาก
5. เลือกความเร็ว Shutter ของคุณ
สิ่งสุดท้าย ให้คิดถึงอะไรคือค่าความเร็ว shutter ที่คุณจะถ่ายภาพ ถ้าคุณเลือกที่จะถ่ายน้ำ มีค่าความเร็ว shutter มากมายที่จะตั้งเพื่อให้ได้ภาพน้ำบนภาพของคุณ ถ้าเป็นต้นไม้ในวันที่มีลมพัดเบาๆ ความเร็ว shutter ที่เร็วกว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะหยุดใบไม้ให้นิ่งและเพื่อหลีกเลี่ยงใบไม้ที่เบลอ สิ่งที่ต้องระวังคือการวางภาพของคุณ เรียนรู้จากสิ่งที่เห็นและมีผลต่อสิ่งที่คุณคิดก่อนที่จะกดปุ่ม shutter ซึ่งจะนำไปถึงการเป็นช่างภาพที่ดีกว่า
ภาพนี้ถ่ายด้วยกล้อง EOS 5D Mark II กับเลนส์ EF 24-105 f/4L IS ค่าความเร็ว shutter 10วินาที ค่ารูรับแสง f/11 และค่า ISO 400
ภาพท้องฟ้าที่เมืองมินิอโปลิส แต่ท้องฟ้าดูแบนสำหรับฉากหลัง ดังนั้นผมได้ใส่เส้นขอบฟ้าไว้ด้านบนของภาพ อยากจะขอบคุณ ผมได้ภาพแม่น้ำ Mississippi ที่ดูสงบและสามารถได้ภาพสะท้อนน้ำเป็นฉากหน้าที่น่าสนใจอีกด้วย ผมใช้ความเร็ว shutterที่ต่ำ (หรือ ค่า exposure ที่นาน) เพื่อจะให้น้ำดูนุ่มนวล
คุณมีคำแนะนำที่ดีเกี่ยวกับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่ต้องการจะเพิ่มไหม โปรดแบ่งปันไว้ด้านล่างนี้

101
เราจะพัฒนาการวางองค์ประกอบภาพอย่างง่ายกับเลนส์ช่วงธรรมดา หรือช่วงยาว อย่างไร
โพสโดย Andrew S. Gibson แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ
http://digital-photography-school.com/simplify-improve-composition-normal-long-lenses
Wide-Angle Lenses
เลนส์มุมกว้าง
ประเด็นสำคัญของเลนส์มุมกว้างคือ คุณพยายามที่จะรวมเอาสิ่งที่เห็นเข้ามาในเฟรมภาพ มันต้องใช้ความชำนาญมากเพื่อที่จะวางองค์ประกอบภาพกับความกว้างของสิ่งที่มองเห็น แต่มันง่ายมากกับเลนส์ธรรมดา และเลนส์เทเลโฟโต้ เพราะว่าคุณสามารถใช้ประโยชน์ในมุมมองที่แคบเพื่อจัดองค์ประกอบภาพกับพื้นหลังที่กวนสายตาผู้ชมได้ดี
ลองดูว่ามันทำงานอย่างไร (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
มุมมองของเลนส์มุมกว้างภาพด้านซ้าย และเลนส์ช่วงยาว (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
ในภาพประกอบแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในการมองเห็นระหว่างเลนส์มุมกว้าง (ด้านซ้าย) และเลนส์เทเลโฟโต้ (ด้านขวา) คุณสามารถคิดได้เลยว่าเลสน์มุมกว้างคือเลนส์ที่รวมทุกอย่าง มันสามารถช่วยให้เก็บภาพได้ครบในสิ่งที่คุณต้องการ คุณสามารถเข้าใกล้ตัวแบบและยังคงที่จะเก็บภาพฉากหลังได้ด้วย
เลนส์เทเลโฟโต้คือเลนส์ที่ไม่รวมทุกอย่าง คุณจะไม่สามารถเข้าใกล้ตัวแบบและมีภาพฉากหลังเพียงเล็กน้อย
ลองดูภาพตัวอย่างสองภาพนี้
ภาพถ่ายบุคคลนี้ผมถ่ายโดยใช้เลนส์มุมกว้าง (24mm กับกล้อง full-frame) ผมสามารถที่จะเข้าใกล้ตัวแบบและยังคงรวมฉากหลังด้วย (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
สำหรับภาพถ่ายบุคคลนี้ ผมใช้เลนส์เทเลโฟโต้ช่วงสั้น (85mm บนกล้อง full-frame) ผมสามารถเข้าใกล้ตัวแบบและตัดเอาส่วนของฉากหลังออกไป โดยการเน้นที่ตัวแบบกับฉากหลังดำ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
ผลของมันเหมือนกับเลนส์ 50mm บนกล้อง full-frame (มีค่าเท่ากับเลนส์ 35mm บนกล้อง APS-C และ 25mm บนกล้อง micro-four third) ลองดูภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ 50mm บนกล้อง full-frame
มันมีความหมายว่า คุณสามารถใช้เทคนิคง่ายในการวางองค์ประกอบภาพแม้ว่าคุณจะมีเลนส์คิทเพียงตัวเดียว แค่คุณตั้งค่าให้ใช้ระยะโฟกัสที่ยาวที่สุดและเคลื่อนเข้าไปใกล้ๆ ตัวแบบของคุณ
มีหนทางง่ายๆในการวางองค์ประกอบภาพ คุณไม่ควรจะยึดติดกับระยะโพกัส
1.   ให้ความสนใจฉากหลัง ดูว่ามันมีแสงสว่างหรือบางสิ่งที่มันดึงความสนใจจากตัวแบบหรือไม่?
2.   ดูว่าสีมันเข้ากันได้ไหม? ถ้าสีมันเข้ากันไม่ได้ซึ่งมันสามารถทำให้การวางองค์ประกอบภาพด้อยลงไป
3.   ทดลองกับเรื่องชัดตื้นชัดลึก ใช้รูรับแสงที่กว้างเพื่อช่วยให้วางองค์ประกอบภาพโดยที่ฉากหลังหลุดจากโฟกัส มันดีที่สุดสำหรับพวก prime เลนส์ซึ่งมีค่ารูรับแสงที่กว้างกว่าพวกเลนส์ซูม
4.   เคลื่อนเข้าไปใกล้ตัวแบบให้มากที่สุดที่คุณจะทำได้ สิ่งที่เป็นเทคนิคที่ชื่นชอบของผมคือการใช้ เลนส์ close-up เพื่อลดค่าระยะทางโฟกัสให้น้อยที่สุดของเลนส์ 85mm  และเข้าใกล้ตัวแบบ ข้อดีอีกอย่างคือ  ชัดตื้นชัดลึกจะกลายเป็นภาพที่เข้าใกล้ในระยะแคบๆ ช่วยสร้างภาพโบเก้ที่สวยงามอีกด้วย
นี้คือตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ 85mm ต่อกับเลนส์ close up ของ Canon 500D (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
คุณคิดว่ายังไง?  คุณจะใช้เลนส์ช่วงธรรมดาหรือเลนส์เทเลโฟโต้ในการวางองค์ประกอบภาพเหมือนในรูปนี้ไหม? แบบไหนคือช่วงระยะโฟกัสที่คุณชอบ? ลองบอกให้รับได้ทราบบ้างในความคิดเห็นของคุณ

102
6 คำแนะนำสำหรับการถ่ายภาพคนเมื่อคุณเดินทางท่องเที่ยว
A Post By: Kav Dadfar
โพสโดย Kav Dadfar แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ (เพื่อไว้ดูภาพประกอบ)
http://digital-photography-school.com/6-tips-photographing-people-travelling
การถ่ายภาพผู้คนซึ่งคุณไม่รู้หรอกว่ามันสามารถทำให้คุณมีประสบการณ์ที่น่าหวาดกลัวได้ หลายๆคนไม่ขอบในการถ่ายภาพพวกเขาและบางทีต้องขออนุญาติก่อน แต่ถ้าคุณสามารถเอาชนะความกลัว คุณจะได้รางวัลกับการได้ภาพที่น่าอัศจรรย์จากการท่องเที่ยวของคุณและนี้คือข้อแนะนำบางส่วนสำหรับการถ่ายภาพบุคคลเมื่อคุณได้เดินทางท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยคุณเริ่มต้นได้อย่างดี
1. ถ้าเป็นไปได้...ควรที่เราจะขออนุญาตก่อนถ่าย
นี้คืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดเมื่อคุณได้พบกับผู้คนแปลกหน้ามันไม่ง่ายที่จะทำ หรือไม่คุณอาจจะพยายามถ่ายภาพอย่างรวดเร็วซึ่งตัวแบบไม่ทันรู้ตัวและทำให้พวกเขาเกิดความรำคาญ ซึ่งไม่อยากแนะนำแบบนี้เพราะคุณอาจจะได้มุมที่ไม่ดีหรือแสงที่ไม่สวย ลองดูคำแนะนำที่ทำให้คุณขออนุญาตพวกเขาก่อนที่ถ่ายภาพ
•   ยิ้มแล้วก็ชี้ไปที่กล้องของคุณ มันเป็นกลเม็ดธรรมดา ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่สามารถพูดภาษาคุณได้ก็ตาม
•   ถ้าคุณซื้อของบางอย่างจากพวกเขา มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพพวกเขา เพราะเขาจะรู้สึกเป็นมิตรกับคุณ
•   ถ้าคุณสามารถเปิดโอกาสคุยกับเขาได้ก่อน ก็ให้ถามว่าเขาทำอะไร ถามเกี่ยวกับเมืองที่เขาอยู่ หรือไม่ก็บอกพวกเขาเกี่ยวกับตัวคุณเอง มันไม่น่าเชื่อว่าผู้คนเหล่านั้นจะตอบรับมากกว่าสิ่งที่คุณได้ทำลงไป
•   ถ้ามีไกด์หรือคนแปลมาช่วยจะเป็นประโยชน์มากในการถามพวกเขา ว่าคุณสามารถถ่ายรูปพวกเขาได้หรือไม่ และให้เขาแนะนำว่าสถานที่ไหนที่ถ่ายไม่ได้
•   ทุกๆ ครั้งที่คุณกำลังจะถ่ายภาพเด็กๆ ขอให้คุณได้ขออนุญาตจากพ่อแม่ของเด็กก่อน
•   ในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีผู้คนที่คุณขอถ่ายรูปเพื่อแลกกับเงิน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ ว่าคุณต้องการจ่ายเงินเพื่อจะได้ภาพ แต่ถ้าคุณสามารถหลีกเลี่ยงได้ให้ใช้วิธีแอบถ่าย ถ้าคุณตั้งใจที่จะจ่ายเงิน ก็ให้คุณต่อรองราคาก่อนจะถ่ายภาพพวกเขาและก็บอกชัดเจนว่าจะถ่ายกี่ภาพ
•   อย่าทำให้โกรธเคืองถ้าพวกเขาปฎิเสธ เรายังมีโอกาสอีกมากมายและมีผู้คนอีกเยอะที่ยอมให้เราถ่ายรูปพวกเขา
ฉันใช้เวลาประมาณ 10 นาทีในการคุยก่อนที่ขอถ่ายภาพเขา (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
2. จงเตรียมพร้อม
ไม่ว่าคุณจะมีความอายหรือไม่ จงเตรียมพร้อมก่อนที่คุณจะเผชิญกับบางคนที่คุณต้องการถ่ายภาพ นึกถึงเรื่องเลนส์ที่คุณกำลังใช้อยู่ คุณต้องการเพิ่ม ISO ด้วยหรือไม่? จะต้องเติมแสงด้วยแฟลชไหม? ให้แน่ใจว่ากล้องของคุณเปิดอยู่และฝาปิดเลนส์เปิดออก มันเป็นสิ่งที่จำเป็นมากถ้าคุณต้องการที่จะถ่ายภาพผู้คนที่เขากำลังยุ่งๆ ตัวอย่างเช่น นักการตลาดจะไม่มีเวลานานมากนักที่จะรอคุณเพื่อถ่ายภาพก่อนที่เขาจะต้องไปพบลูกค้า
3. ภาพบุคคล หรือ สิ่งแวดล้อมภาพบุคคล
ไม่มีคำตอบไหนถูกที่สุดและมันก็ขึ้นอยุ่กับรูปแบบและความพอใจของคุณ การถ่ายภาพบุคคลหน้าตรงควรจะแยกตัวแบบในเฟรมและจับรายละเอียดของใบหน้าพวกเขา บางทีคุณสามารถถ่ายแบบเต็มกรอบภาพถ้าคุณต้องการหรือคุณสามารถยืนถอยหลังมาหน่อยหนึ่งและจับภาพท่าทางและเสื้อผ้าของพวกเขา สิ่งแวดล้อมภาพบุคคลจะเพิ่มรายละเอียดของคนๆนั้นโดยแสดงถึงสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเขาและให้ผู้ชมได้เห็นรายละเอียดมากขึ้น โดยธรรมชาติสำหรับสิ่งแวดล้อมของภาพบุคคลจะใช้เลนส์มุมกว้าง (เช่น 24mm – 35mm) เพื่อที่คุณจะสามารถเข้าใกล้ตัวแบบและยังคงสามารถเก็บสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้ด้วย
4. อย่ากลัวที่จะเข้าไปหาตัวแบบ
เมื่อคุณได้รับอนุญาตในการถ่ายภาพจากบางคน อย่ากลัวที่จะตรงไปยังที่ที่พวกเขาอยู่ และคุณต้องการให้พวกเขายืน หรือมองกล้อง พบว่าบางคนจะรู้สึกอึดอัดในการโพสท่า ในฐานะที่คุณเป็นช่างภาพ คุณต้องเข้าหาพวกเขาและทำให้พวกเขารู้สึกว่าง่าย ภาพจะดูมีส่วนร่วมมากหรือไม่ถ้าตัวแบบของคุณกำลังสูบบุหรี่? พวกเขาจะดูดีมากกับการมีหมวกหรือไม่มีมัน? ฉากหลังดูวุ่นวายไหม?  ถ้าพวกเขารู้สึกกังวลก็ทำให้พวกเขาหัวเราะและให้เขารู้สึกสบายๆ เป็นตัวของตัวเอง
ฉันบอกให้ชาวนาคนนี้สูบบุหรี่เพื่อที่เพิ่มอารมณ์ของภาพ (ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ)

ภาพผู้หญิงคนนี้รู้สึกกังวลดังนั้นภาพถ่ายที่ออกมาจะดูเขินๆ ไม่เป็นธรรมชาติ จนกระทั่งฉันได้แนะนำและพูดบางอย่างที่ทำให้เธอหัวเราะ (ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ)

5. ลองดูวันที่มีเมฆมาก
สภาพของวันที่มีเมฆมากก็ทำให้ได้ภาพบุคคลที่ดีได้
บ่อยครั้งศัตรูตัวร้ายของช่างภาพท่องเที่ยว วันที่มีเมฆมากเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพบุคคล ความเป็นธรรมชาติและแสงที่นุ่มจะทำให้ตัวแบบของคุณไม่มีแสงเงาที่แข็งกระด้างบนใบหน้า ดังนั้นครั้งต่อไปถ้าคุณพบกับเหตุการณ์วันเมฆมากในระหว่างการเดินทาง ลองมองหาคนที่น่าสนใจในการถ่ายภาพ


6. ฝึกฝน
สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับการถ่ายภาพบุคคลคือคุณสามารถฝึกฝนมันอย่างง่ายๆ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนคุณสามารถที่ออกไปพบกับผู้คนเพื่อจะถ่ายภาพได้ ถ้าคุณต้องการฝึกฝนด้านเทคนิค (เช่น ความเร็วชัตเตอร์ แสง หรืออื่นๆ) ให้คุณหาเพื่อน หรือคนในครอบครัวเป็นตัวแบบให้คุณจนกระทั่งมันกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ
ระยะช่วงของเลนส์ถ่ายภาพบุคคลคือ 80mm -100mm (ซึ่งทำไมบ่อยครั้งมันจึงถูกว่าเป็นเลนส์ถ่ายภาพบุคคล) แต่ไม่ได้พูดว่าคุณไม่สามารถถ่ายภาพบุคคลด้วยเลนส์ช่วงอื่นๆได้ (ข้อความ นี้คือความสัมพันธ์ของกล้องฟูลเฟรม บนเซนเซอร์ที่ถูกครอป 50mm-75mm ซึ่งมีช่วงที่เหมือนกัน) และถ้าคุณใช้รูรับแสงที่กว้าง (f/2 – f/5.6) คุณสามารถทำให้ฉากหลังละลาย (หลุดโฟกัส) เพื่อว่าการโฟกัสจะอยู่แค่ตัวแบบเท่านั้น จำไว้ว่า ถ้าต้องถ่ายสิ่งแวดล้อมภาพบุคคล คุณต้องใช้เลนส์มุมกว้าง (24mm – 35mm) (ข้อความ 16mm -24mm สำหรับกล้องที่ครอปเซนเซอร์

103
วันนี้เจอบทความที่อ่านดูแล้วก็เข้าใจง่าย...เพียง 2นาทีก็คิดว่าเรานำไปลองใช้งานได้เลย...ครับ

Simple Tip To Mastering Off-Camera Flash (2-Min Read)
คำแนะนำง่ายๆ ในการใช้ แฟลชนอก (แฟลชที่ไม่ได้เสียบอยู่บนตัวกล้อง)
(ใช้เวลา 2 นาทีในการอ่าน)...

โพสโดย Trevor Dayley แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อใช้ในการดูภาพประกอบ
http://fstoppers.com/simple-tip-to-mastering-off-camera-flash-2-min-read

ในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมามีช่างภาพที่ต้องการเรียนรู้แฟลชนอกเพิ่มขึ้นมากมาย ปกติแล้วผมได้รับ e-mails หรือข้อความจาก facebook ที่มาจากช่างภาพที่ได้ถามเกี่ยวกับคำแนะนำในเรื่องนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปี ผมพยายามนึกว่าอะไรที่ผมได้เคยเรียนรู้เกี่ยวกับแฟลชนอกที่ง่ายๆ และเมื่อมันผ่านกลับมาอีกมันก็ทำให้คิดถึงคำแนะนำง่ายๆ คือ

ข้อแนะนำง่ายคือเมื่อคุณเอาแฟลชออกจากระบบ ETTL (หรือจะเป็น i-TTL ถ้าคุณใช้กล้อง Nikon) และตั้งให้มันเป็นโหมด Manual ETTL (Evaluative Through The Lens) และตั้งค่าให้เหมือนกับมันทำงานแบบ Auto ทุกครั้งที่คุณถ่ายภาพและยิงแฟลชที่เป็น ETTL คุณจะได้ปริมาณของแสงที่ยิงไปยังตัวแบบที่แตกต่างกัน บางครั้งมากไป หรือบางครั้งแสงไม่พอและบ่อยครั้งก็ปรับให้มันเป็น Auto ผมหมายถึง ETTL แต่สิ่งที่คุณจะพลาดคือการที่จะเข้าใจว่าแฟลชมันทำงานอย่างไร หลังจากที่คุณยิงแฟลชออกไปและก็ภาวนาว่ามันจะต้องได้ภาพที่ดี คุณสามารถใช้ตัวชดเชยแฟลชที่จะเพิ่มหรือลดกำลังแฟลชแต่เมื่อใช้ ETTL ในการปรับค่ารูรับแสง หรือ ISO จะยังคงได้ผลลัพท์ที่เหมือนกัน เพียงแต่แฟลชของคุณทำการชดเชยการยิงแฟลชที่ใช้กำลังมากหรือน้อยเท่านั้น

แทนที่คุณจะใช้ ETTL ผมอยากจะแนะนำให้คุณเปลี่ยนมาใช้ Manual แทนและปรับค่าแฟลชด้วยตัวคุณเอง ผมจะปรับค่าแฟลชอยู่ที่ 1/32nd บางครั้งอาจจะน้อยกว่านี้ถ้าตัวแบบของผมอยู่ใกล้ บางครั้งก็เพิ่มขึ้นอีกนิดขึ้นอยู่กับระยะทางของตัวแบบของผมที่ห่างจากแฟลช แต่ไม่บ่อยครั้งที่ผมใช้ค่ากำลังแฟลชมากกว่า 1/8th ยกเว้นผมถ่ายภาพนอกอาคารก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตก (ค่ากำลังของแฟลชมากสุดคือ 1/1st).

เพียงแค่คุณเปลี่ยนจากโหมด ETTL ไปเป็น Manual คุณจะเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างกำลังแฟลชและค่ารูรับแสงและ ISO คุณจะเริ่มเข้าใจกฎของ Inverse Square Law ในขณะที่คุณเพิ่มหรือลดระยะทางระหว่างตัวแบบและแฟลชของคุณ นี้คือสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ต้องเข้าใจในการใช้แฟลชนอก แต่คุณอาจจะไม่สามารถเข้าใจมันได้ถ้าคุณยังใช้การถ่ายภาพกับแฟลชที่ใช้โหมด ETTL เพราะว่าแทนที่คุณจะเห็นความแตกต่างตัวแฟลชที่เปลี่ยนค่ากำลังและทำให้คุณได้ภาพที่คุณต้องการ

และนี้คือการบ้านที่อยากให้คุณได้ลองทำ

ถ้าคุณสนใจในการเรียนเรื่อง OCF (Off-Camera Flash) ให้คุณหยิบแฟลชและเปลี่ยนโหมดจาก ETTL ไปเป็น Manual หมุนกำลังแฟลชไปที่ 1/32nd วางแฟลชให้ห่างจากตัวแบบประมาณ 8 ฟุต เริ่มทดลองหมุนค่ารูรับแสงขึ้นหรือลง และปรับค่า ISO เช่นกัน ทำที่ละครั้งและสังเกตความแตกต่างจากสิ่งที่เราได้ปรับไป เมื่อคุณได้สูตรการปรับค่าแล้ว คราวนี้ลองย้ายตัวแฟลชเข้าใกล้หรือไกลจากตัวแบบ และดูว่า Inverse Square Law กับปริมาณแสงที่ได้มีผลกับตัวแบบอย่างไร
ในการปรับค่าแฟลชเป็น Manual กับกำลังแฟลชที่คงที่ คุณจะเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแฟลช ค่ารูรับแสง และ ISO และระยะทางซึ่งมีผลต่อกัน และในเวลาอันสั้นนี้คุณจะใช้แฟลชนอกได้ดีกว่าแต่ก่อน

104
โพสโดย Desmond Louw แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ (เพื่อดูภาพประกอบ)
http://digital-photography-school.com/7-tips-taking-better-photographs-cars

การถ่ายภาพรถยนต์มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจในตัวของมันเอง มันเหมือนวิทยาศาสตร์ ทุกๆครั้งที่ผมถ่ายภาพรถผมได้เรียบรู้บางสิ่งจากมัน ผมชอบที่จะแบ่งปันคำแนะนำพื้นฐานเพื่อให้คุณเริ่มและช่วยให้คุณเข้าใจในโลกการถ่ายภาพของพวกนี้....
1. ถ่ายภาพในช่วงเวลาที่เหมาะสม
นี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะผิดพลาดเมื่อเขาถ่ายภาพรถยนต์ เวลาที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพคือไม่กี่นาทีหลังจากดวงอาทิตย์ตก หรือไม่กี่นาทีก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ใช้ขาตั้งกล้องและให้แสงที่อ่อนนุ่มสาดส่องไปที่รถ ภาพนี้ได้ถูกถ่ายไม่กี่นาทีก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น
2. มองหาสิ่งสะท้อนแสง
คุณต้องระวังในเรื่องแสงสะท้อนบนตัวรถ มองไปรอบๆ คุณและมองควบคู่กับรถและดูสิ่งที่มีการสะท้อนบนพื้นผิวของรถ รถ (โดยเฉพาะรถใหม่)จะเหมือนกระจกเงา พยายามหาช่องว่างที่คุณจะเก็บภาพพวกมัน พยายามหลีกเลี่ยงการถ่ายภาพที่ด้านหลังของคุณเป็นตัวอาคารหรือต้นไม้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คุณต้องแสดงให้ภาพรถเห็นถึงการออกแบบลวดลายเส้นของรถ หรือผมชอบที่จะเรียกมันว่า เส้นโค้งของเธอ... การสะท้อนสามารถทำให้เส้นโค้งถูกทำลายไปได้...
ต้องระวังเป็นพิเศษที่จะไม่ทำการสะท้อนแสงด้วยตัวเองในรูปภาพ ถ้าคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสะท้อนนั้นได้ให้คุณวางกล้องบนขาตั้งกล้อง ตั้งเวลาถ่ายและถ่ายภาพ ลองดูภาพรถคันนี้....ผมได้ถ่ายภาพที่มันความมืดมันวาวของรถ BMW 428i โดยด้านหลังของผมไม่มีสิ่งใดนอกจากเส้นแนวนอน คุณสามารถที่จะมองเห็นเส้นแนวนอนอย่างชัดเจนในการสะท้อนบนตัวรถนี้
3. ถ่ายภาพขณะรถกำลังวิ่ง
วิธีที่ง่ายในการที่จะได้ภาพสวย คือการถ่ายภาพรถขณะกำลังวิ่ง (โปรดระมัดระวังเป็นอย่างมากเมื่อกำลังทำสิ่งนี้) การถ่ายภาพรถจากหน้าต่างรถขณะกำลังวิ่งด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (40 ไมล์ต่อชั่วโมง) ด้วยความเร็ว shutter 1/100 ต่อวินาที
โดยการทำสิ่งนี้ คุณจะได้การเคลื่อนไหวของถนนหรือบนล้อรถที่สวยงาม คุณสามารถลดความเร็ว shutterได้อีก แต่มันก็จะเพิ่มโอกาสให้คุณได้ภาพที่ไม่คมชัด ภาพรถ Audi S3 ถูกถ่ายก่อนดวงอาทิตย์ตก วิ่งด้วยความเร็ว 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกับความเร็ว shutter 1/80 วินาที
4. สีของรถยนต์
สีที่ถูกทาบนตัวรถก็มีผลกระทบที่แตกต่างในเรื่องการแตกต่างของเวลาในหนึ่งวันกับความแตกต่างของแสง สีส่วนใหญ่จะไม่ชอบแสงตรงจากดวงอาทิตย์ แต่บางสีก็จะดีเมื่อได้แสงตรงๆจากแสงอาทิตย์ ลองดูภาพรถเต่าสีฟ้าที่ถูกถ่ายในช่วงกลางวัน
5. ฉากหลัง
ให้แน่ใจว่าฉากหลังของคุณเหมาะกับตัวรถและหัวข้อที่จะนำเสนอ หลีกเลี่ยงการมีบางสิ่งอยู่ในฉากหลังที่จะดึงดูดสายตาให้ออกไปจากรถ เช่นพวก ถังขยะ สายไฟ หรือรถคันอื่นๆ ที่จะทำลายภาพได้ สำหรับภาพถ่ายรถ Aston Martin ผมใช้ฉากหลังง่ายๆธรรมดา สีเหลืองที่ถูกระบายในฉากหลังมันเข้ากันกับสีของรถ
6. การแพนกล้องเพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ไม่คมชัด
วิธีสุดเจ๋งที่จะทำให้ภาพมีการเคลื่อนไหวคือการยืนอยู่ริมถนนและให้รถวิ่งผ่านคุณไป การจับภาพตามรถไปกับเลนส์เพื่อให้ได้ภาพการเคลื่อนไหวที่เรียบสวย โดยการตั้งค่าความเร็ว shutter ที่ 1/125 ต่อวินาที คุณจะประหลาดใจว่ามันง่ายอะไรเช่นนี้ รถ Ferrari นี้ถูกถ่ายด้วยความเร็ว 1/125 วินาที ที่ 200mm รถกำลังวิ่งด้วยความเร็ว 60กิโลเมตรต่อชั่วโมง (40 ไมล์ต่อชั่วโมง)
7. ปล่อยให้รถอยู่กับธรรมชาติ
อีกทางหนึ่งที่จะให้ภาพสามารถสื่อสารกับคุณได้คือ การให้รถได้อยู่กับสภาพแวดล้อม ตัวอย่างที่เป็นไปได้คือ รถที่มันสะบัดฝุ่นออกมาจากล้อ หรือรถ 4x4 กำลังไต่อยู่บนสิ่งกีดขวาง ลองดูที่รถ Chevrolet Trailblazer กำลังไต่อยู่บนก้อนหิน หรือรถ G-Class AMG กำลังปัดท้ายบนพื้นทราย
8. ถ่ายภาพรถในตอนกลางคืน
ฟังดูแล้วมันน่ากลัว.. แต่คุณจะประหลาดใจว่ามันง่ายและวิเศษมาก ข้อลึกลับที่ยิ่งใหญ่คือการหาสถานที่ที่มืดมากๆ ถ้ามีไฟถนน หรือแสงจันทร์ในยามจันทร์เต็มดวงอาจจะทำให้คุณพลาดได้
เมื่อคุณพบสถานที่นั่นแล้วให้คุณตั้งกล้องบนขาตั้งกล้อง ตั้งค่า ISOไปที่ 100 ความเร็ว shutter 30 วินาที และค่ารูรับแสง f/9 เมื่อ shutter เปิดทำงานแล้วก็ให้ใช้แหล่งกำเนิดแสงส่องไปที่ตัวรถ เดินไปรอบๆ เหมือนการระบายสีบนตัวรถด้วยแสง ใช้ไฟฉายที่ใช้ตามบ้านนี้แหละ
ไม่มีกฎอะไรในที่นี้ การระบายแสงบนตัวรถในทิศทางที่แตกต่างก็จะได้ผลที่แตกต่างกันไป ลองดูบางภาพตัวอย่างในการใช้เทคนิคนี้

105
โพสโดย Valerie Jardin แปลโดย Topstep07
ที่มาของแหล่งข้อมูล (อย่าลืมดูภาพประกอบจากต้นฉบับครับ)
http://digital-photography-school.com/a-quick-and-easy-way-to-make-money-with-your-photography

ช่างภาพหลายๆ คนมีความฝันที่จะขายภาพถ่ายของตัวเองและก็เห็นภาพของพวกเขาที่ถูกพิมพ์แขวนอยู่บนผนังในบ้าน ฉันต้องขอแสดงความเสียใจที่ได้ระเบิดความคิดของคุณแต่มันเป็นสิ่งที่ยากในการที่จะหาเงินจากมัน แม้ว่ามีชื่อที่ยิ่งใหญ่ในภาพก็ไม่ทำให้ชีวิตของเราอยู่กับการพิมพ์ภาพขาย มันอาจจะดูเพียงเงินพิเศษเล็กน้อยกับภาพถ่ายและนี้คือเส้นทางที่ง่ายในการหาเงินกับภาพถ่ายของคุณ
นีกถึงสถานที่ใกล้ตัว
แทนที่จะพยายามไปให้ทั่วโลกและแข่งขันกับช่างภาพนับแสนคนที่พยายามขายภาพของพวกเขา ลองนึกสถานที่ใกล้ตัวคุณดูซิ
คุณสามารถใช้เวลาช่วงวันหยุดทุกปี นั่งอยู่ในบูธงานศิลปะเพียงเพื่อขายของให้ได้เท่าทุนและจ่ายค่าเข้างาน งานแสดงศิลปะเป็นสิ่งที่ดีในการแสดงผลงาน แต่ภาพถ่ายไม่ได้เป็นการขายที่ยิ่งใหญ่และในงานหล่านี้ก็จะมีช่างภาพหลายคนพยายามขายภาพในงานเดียวกัน งานแสดงศิลปะเหล่านี้มีค่าสำหรับช่างภาพ
อีกช่องทางหนึ่งคือการแสดงภาพของคุณตามร้านอาหารหรือร้านกาแฟ ถ้าคุณมีโอกาส ให้แน่ใจว่าเป็นงานเปิดที่จะทำให้คุณสามารถได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของคุณและเชิญทุกๆ คนที่คุณนึกถึงมาดูงานของคุณ อย่าให้ภาพของคุณที่โชว์ นานมากกว่าหนึ่งเดือน ไม่มีใครสังเกตหลังจากหลายอาทิตย์ผ่านไป
ฉันกำลังจะบอกเคล็ดลับเล็กๆ ให้คุณ....
หลายปีที่ผ่านมา เมื่อเฉันมีเวลาว่างไม่มากนัก ฉันจะสร้างทีมงานกับช่างศิลป์สองสามคนที่มีรูปแบบที่แตกต่างกัน และก็จัดงานแสดงศิลปะส่วนตัว เราได้รวบรวมรายชื่อและเชิญเพื่อนๆ และครอบครัวเพื่อเข้าร่วมงาน “Art open house” โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เราทำแบบนี้หลายครั้งในหนึ่งปี เราเวียนกันเป็นเจ้าภาพและแบ่งค่าใช้จ่ายสำหรับค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม เราได้บอกให้ผู้คนเหล่านั้นนำเพื่อนมาด้วย โดยเมื่อเรารวบรวมรายชื่อเรามีรายชื่อจำนวนมากและเราก็สรุปว่าจะให้มีคนเข้าร่วมงานอย่างน้อย 30 ถึง 50 คน
ทำไมการมีคนมาร่วมงานจำนวน 50 คนดีกว่ามีคนร้อยคนที่เดินผ่านบูธระหว่างงานแสดงศิลปะ? คนที่มางานเปิดบ้านศิลปะของคุณจะมีเป้าหมายเดียวคือดูผลงานของคุณ เพื่อการเข้าสังคมและการใช้จ่ายเงิน ฉันเคยขายได้ถึง 100 เหรียญสำหรับงานภาพพิมพ์เล็กๆและการ์ดอวยพรต่างๆครั้งหนึ่งในช่วงตอนเย็น และคุณยังคงมีเวลาที่ดีที่จะได้พูดคุยกับเพื่อนๆ หรือนักศิลปะท่านอื่นๆ อีกด้วย

ขายอะไรดี?

สิ่งเล็กๆ... คุณสามารถที่จะมีสินค้าชิ้นใหญ่ ภาพพิมพ์ในกรอบ หรือบนจอแสดงภาพ หรือเป็นไปได้ทั้งสองแบบ แต่สินค้าชิ้นเล็ก เช่น การ์ดอวยพร จะขายได้ คนส่วนใหญ่ยังคงชื่นชอบการ์ดอวยพร โดยเฉพาะในแทบตอนเหนือของอเมริกา ฉันรู้ว่าความแตกต่างของแต่ละประเทศก็มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน คุณอาจจะคิดว่าในโลกของจดหมายอิเล็คทรอนิกส์ การ์ดกระดาษวันหนึ่งจะหายไปในที่สุด ในอีกแง่หนึ่ง อิเล็คทรอนิกส์การ์ด และการอวยพรผ่านโซเชียลมีเดีย เป็นสิ่งธรรมดาและไม่มีความเป็นส่วนตัว ซึ่งการได้รับการ์ดจริงๆที่เป็นจดหมายจะกลายเป็นเรื่องแปลกในที่สุด
ข้อดีของการขายการ์ด คือ ทุกๆ คนสามารถที่จะหาและใช้มันได้ ให้แน่ใจว่าคุณมีการ์ดหลากหลายชนิดจำนวนมากกับรูปภาพที่ดีที่สุด ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่สามารถตัดสินใจเลือกอันใดอันหนึ่ง พวกเขาก็จะซื้อมันทั้งหมด อีกข้อแนะนำคือให้แสดงสินค้าที่มีการห่อไว้กับโบว์ พวกเขาจะมีความคิดในการให้ของขวัญที่สนุกๆ กับเพื่อน เพื่อนร่วมงาน คุณครู หรือคนอื่นๆ อีกสักข้อแนะนำ นำเสนอสิทธิพิเศษ ส่วนลดของการเลือกสินค้าที่มีข้อจำกัด คนส่วนใหญ่จะซื้อเพียงสิ่งที่เขารู้สึกว่าได้รับข้อเสนอที่ดี หรือจะใช้สำนวนนี้ ซื้อการ์ด 10ใบรับหนึ่งใบ ฟรี... มันใช้ได้เลยแหละ....

คุณจะทำการ์ดอวยพรอย่างไร

มันอาจจะใช้เวลาและแรงงานไม่มากในการทำการ์ดและมีหลายวิธีในการทำพวกมัน คุณสามารถสั่งการ์ดของคุณซึ่งถูกทำจากคนขายส่ง มันเป็นทางที่ง่ายที่สุดในการดำเนินการแต่มันมีค่าใช้จ่ายและอาจจะไม่คุ้มกับกำไรที่ได้มา
คุณสามารถทำเองได้ ถ้าคุณมีเครื่องprinter ที่พิมพ์รูปภาพแบบคุณภาพดีหน่อย คุณสามารถดาวน์โหลดแม่แบบการ์ดอวยพรและพิพม์มันที่บ้านด้วยกระดาษสวยๆ ตรวจสอบดูว่าค่าใช้จ่ายที่สูงของค่าหมึกพิมพ์ การปรับแต่งในการ์ดแต่ละใบว่ามีค่าใช้จ่ายเท่าไรสำหรับค่าหมึก กระดาษและซอง เป้าหมายคือ ทำการ์ดที่สวยงามกับต้นทุนที่น้อยที่สุดที่เป็นไปได้
หนทางการทำการ์ดที่ไม่แพงแต่ต้องแลกกับเวลาที่เสียไป คือติดรูปบนกระดาษ เลือกกระดาษการ์ดที่เข้ากันกับซองซึ่งสามารถหาซื้อได้ในร้านงานฝีมือทั่วไปในราคาที่สมเหตุสมผล ขั้นต่อไปคือการพิมพ์โลโก้ของคุณ ข้อมูลการติดต่อด้านหลังการ์ด ส่วนที่น่าเบื่อที่สุดคือการติดภาพบนด้านหน้าของการ์ดด้วยเทปสองหน้า
คุณสามารถหุ้มการ์ดด้วยซองกระจกเพื่อให้มันดูแบบมืออาชีพหน่อย หรือ “แบบรักษ์โลก” และไม่ห่ออะไรเลย การสั่งพิมพ์ทางออนไลน์ในขนาด 4x6 จะถูกกว่าในราคาต่อแผ่นไม่กี่สตางค์ (ถูกกว่าพิมพ์เอง)
จำไว้ว่า การ์ดอวยพรที่เราซื้อจากร้านจะมีราคาแพง ความเป็นเอกลักษณ์ของคุณและคุณสามารถที่จะขายมันได้ง่ายๆในราคา 5 เหรียญสหรัฐ ต่อการ์ดหนึ่งใบ ซึ่งสามารถที่เพิ่มมูลค่าได้เมื่อผู้ซื้อต้องการซื้อจำนวนหนึ่งโหล หรือเป็นแพ็คที่จะให้เป็นของขวัญ ถ้าคุณทำมันได้ คุณสามารถที่จะได้กำไรจากมัน 300 ถึง 400 เปอร์เซนต์ในการ์ดแต่ละใบเลยทีเดียว อีกเรื่องที่ต้องจำไว้คือ เป้าหมายการทำสิ่งนี้ไม่ได้เพื่อการเลี้ยงชีพ แต่คุณสามารถที่จะได้เงินหลักร้อยเหรียญในช่วงงานสังสรรค์ และมันทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวคุณเอง

สิ่งที่สนุกและเป็นโบนัสสำหรับคุณ นั่นคือ การเป็นช่างภาพ

การถ่ายภาพเพื่อทำการ์ดอวยพรกลายเป็นโครงการการถ่ายภาพที่ยิ่งใหญ่ ลองคิดถึงความแตกต่างของหัวข้อที่คุณจะถ่ายซิ คริสมาส ฮานุกกา วันพ่อ วันแม่ วันเกิด วันวาเลนไทม์ และอีกมากมาย ในที่สุดคุณก็กลายเป็นช่างภาพสต๊อกที่เป็นธุรกิจเล็กๆ ฉันเคยใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์เพื่อถ่ายการ์ดอวยพรเป็นของสะสม ตัวอย่างเช่น ถ้าฉันต้องออกไปถ่ายภาพในหัวข้อ วันพ่อ ฉันจะคิดถึงเรื่อง กอล์ฟ การตกปลา รถยนต์โบราณ และอีกมากมาย ทุกๆ การกำหนดหัวข้อด้วยตัวคุณเอง กลายเป็นเหมือนการล่าสมบัติ มันเหมือนกับการที่คุณถ่ายภาพสำหรับตัวแทนขายสต๊อก ความแตกต่างคือ ฉันทำเงินได้มากและฉันก็รู้สึกสนุกในการขายพวกมันมากว่าฉันขายใน iStock
การทดลองเล็กๆ นี้จะตอบสนองได้ถึงสองจุดประสงค์ ฉันสนุกและเรียนรู้มากมายกับการทำงานการถ่ายภาพซึ่งนำมาถึงเงินพิเศษสำหรับค่าทิปหรืออุปกรณ์กล้อง
ข้อดีอีกอย่างคือ ชื่อของคุณจะแพร่กระจายออกไป หลายครั้งที่ลูกค้าส่งเมล์ หรือโทรหาฉันเพื่อที่จะสั่งการ์ดหลังจากที่เขาได้รับไปแล้วหนึ่งใบเพื่อใช้ในโอกาสพิเศษ สิ่งสำคัญคือข้อมูลการติดต่อที่อยู่ด้านหลังการ์ดนั่นแหละ ทุกวันนี้ฉันไม่ได้ทำการ์ดอีกต่อไปแล้ว แต่ฉันก็ได้รับการร้องขอจากบริษัทผลิตการ์ดเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ภาพของฉัน
ถ้าคุณรักการถ่ายภาพและถ้าคุณมีเวลาบ้าง ทำไมคุณไม่ลองหาเงินพิเศษจากการขายภาพของคุณละ โชคดีนะค่ะ

Pages: 1 ... 5 6 [7] 8