Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - topstep07

Pages: 1 2 3 [4] 5 6 ... 8
46
ไฟล์ RAW กับ JPG ทำไมคุณจำเป็นต้องถ่ายภาพด้วยรูปแบบไฟล์ RAW

โพสโดย Simon Ringmuth แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/raw-versus-jpg-why-you-might-want-to-shoot-in-raw-format/

ถ้าคุณเคยแบ่งปันภาพถ่ายทางอีเมล์ หรือโพสบนออนไลน์ คุณอาจจะสังเกตเห็น สามหรือสี่ตัวอักษรที่อยู่ด้านหลังของไฟล์ภาพที่มีรูปแบบ .jpg หรือ .jpeg  กล้องถ่ายภาพเกือบทุกๆอัน ตั้งแต่กล้องจากมือถือจนถึงเล็งแล้วถ่าย และกล้อง DSLR ราคาแพง ก็สามารถถ่ายภาพในรูปแบบดังกล่าว  สำหรับเหตุผลดีๆ คือ คุณจะได้ภาพเป็นพันๆภาพบนการ์ดความจำ และพวกมันก็มีคุณภาพที่ดี และง่ายในการดูภาพบนคอมพิวเตอร์หรือบนอุปกรณ์มือถือต่างๆ คุณไม่ต้องการซอฟท์แวร์พิเศษอะไรในการเปิดไฟล์ภาพ JPG และถ้าคุณต้องการแก้ไขพวกมัน มีโปรแกรมจาก iPhoto จนถึง Photoshop ที่สามารถทำได้ อย่างไรก็ดี กล้อง DSLR ทั้งหมด และกล้องเล็งแล้วถ่ายบางรุ่นมีความสามารถในการถ่ายภาพในอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า RAW ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับคุณ  บางคนก็ใช้แต่รูปแบบ RAW อย่างเดียว บางคนก็ใช้ JPG และบางคนก็ใช้ทั้งสองแบบ ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องว่าอันไหนดีกว่ากัน แต่มันสำคัญในการพบสิ่งที่มันเหมาะในการใช้งานของคุณ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทำไมคุณต้องการไฟล์ RAW และนี้คือบางเหตุผลที่ผมใช้พวกมันแทนไฟล์ JPG

1. การปรับแต่งค่า White Balance

ความแตกต่างของแสงแต่ละชนิด (เช่น แสงอาทิตย์ แสงจากหลอดฟลูโอเรสเซนต์ หรือ แสงแฟลชของกล้อง) ย่อมมีผลกับสีที่แสดงในความเป็นจริง สมองของเราจะระวังในเรื่องความแตกต่างและปรับความรับรู้ของสีเหล่านั้น  แต่กล้องของเราไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องในสถานการณ์ที่หลากหลาย การแก้ไขสำหรับสิ่งนี้ มันถูกเรียกว่า การปรับแต่งค่าความสมดุลสีขาว ซึ่งจะมีค่าที่เก็บไว้เช่น ค่าออโต้ ค่า Daylight ค่า Cloudy, ค่า Tungsten และ แฟลช ถ้าปราศจากการปรับค่า White Balance ที่เหมาะสม กล้องของคุณจะมีสีเหลืองหรือฟ้าอ่อนๆ ซึ่งไม่ง่ายในการจะแก้ไขมัน นี้คือสิ่งสำคัญในข้อจำกัดของไฟล์ JPG ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่มันเชื่อว่าไม่จำเป็นสำหรับภาพ และสามารถจะแก้ไขค่า White Balance ด้วยวิธีหลอกลวงได้ โชคดี..ในไฟล์ RAW ค่า White Balance มันง่ายในการปรับแต่งให้เหมาะกับภาพถ่ายเพราะว่าค่าข้อมูลสีทั้งหมดถูกจัดเก็บไว้
เมื่อคุณถ่ายภาพด้วยโหมด RAW กล้องใช้ค่าของ White Balance ที่ตั้งไว้ในเมื่อต้อนเริ่มต้น แต่คุณมีอิสระในการปรับค่าเหล่านั้นตามที่คุณต้องการในคอมพิวเตอร์ได้ โปรแกรมปรับแต่งภาพอย่างเช่น Lightroom, Photoshop และ Aperture ก็มีการควบคุมง่ายๆ ในการปรับแต่งค่า White Balance และแม้ว่ากล้องรุ่นใหม่ๆจะมีการทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละยี่ห้อ ผมยังคงพบว่าตัวเองก็ต้องปรับแต่ง white balance บ่อยๆ  ตัวอย่างเช่น (ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) กล้องของผมคำนวณค่า White Balance สำหรับภาพโคมไฟของเด็กที่มีค่าที่ผมคิดว่ามันมีสีเหลืองมากไป การถ่ายภาพด้วย RAW จะทำให้ผมยืดหยุ่นในการแก้ไขภาพนี้และใช้เพียงการปรับแต่งเล็กน้อย ผมสามารถได้ภาพที่พอใจมากกว่าภาพที่กล้องมันถ่ายออกมาจากต้นฉบับ
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....กล้องของผมเลือกใช้ค่า white balance บนไฟล์ RAW แต่ผมไม่ชอบมัน)
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....การใช้ซอฟท์แวร์ในการแก้ไขปรับแต่ง ผมสามารถเปลี่ยนค่า white balance เป็นสีโทนเย็น ที่ดูแล้วสบายตาผม)

2. การแก้ไขค่า exposure

การถ่ายภาพด้วยไฟล์ RAW ไม่เพียงแต่ให้คุณมีอิสระในการปรับแต่งสีที่คุณเห็น แต่ยังปรับแต่งสีที่คุณไม่เห็นด้วย เมื่อ ภาพถ่ายแบบ JPG มันสว่างเกิน หรือมืดเกินไป (ตัวอย่างเช่น overexposed หรือ underexposed) เราไม่สามารถทำอะไรได้มาก เพราะว่าข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในภาพผ่านตัวเซนเซอร์ ไม่มีข้อมูลเหล่านั้นอยู่ กล้องถ่ายภาพมีหลายวิธีการในการช่วยเราให้ได้ค่า exposure ที่ถูกต้องเมื่อเราถ่ายภาพ แต่บางครั้งสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ผล และคุณก็พบว่าความทรงจำที่มีค่าได้ถูกเก็บไว้ในแบบที่มืดไปหรือไม่ก็สว่างเกินจนไม่เห็นรายละเอียด เมื่อไฟล์ RAW เก็บข้อมูลทั้งหมดเมื่อภาพได้ถูกบันทึกไว้ คุณจะมีสิ่งเพิ่มเติมในการปรับแต่งภาพได้มากกว่าหลังจากที่ได้ภาพมาแล้ว
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ภาพต้นฉบับมันดูมืดมากเกินไป)
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ไฟล์ RAW จะยอมให้ผมเร่งค่า exposure เพื่อให้ได้ภาพที่ดีกว่าเดิม)
เมื่อผมถ่ายภาพของดอกไม้บางชนิดบนต้นไม้ ผมสังเกตหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้วพบว่ามันมืดเกินไป และถ้าภาพนี้เป็นไฟล์ JPG ผมคงยังติดอยู่กับผลลัพท์นี้ แต่เพราะว่าผมถ่ายมาด้วยไฟล์ RAW ผมสามารถทำให้ส่วนที่มืดสว่างขึ้นมาได้และทำให้ได้ภาพที่ดีกว่า ในไฟล์ JPG ส่วนข้อมูลในพื้นที่ที่มืดมันจะเป็นค่าที่ยังคงมืด ในแบบเดียวกันสามารถทำได้โดย overexposed ภาพ ถ้าภาพนั้นสว่างเกิน หรือรายละเอียดหายไป มันสามารถจะเก็บรายละเอียดเหล่านั้นไว้ถ้ามันถูกถ่ายด้วยไฟล์ RAW

3. การปรับแต่งค่าสีทั่วๆ ไป

เหตุผลที่สามที่ผมถ่ายภาพด้วยไฟล์ RAW คือบ่อยครั้งที่ผมชอบปรับแต่งสีที่เจาะจงในภาพ ไฟล์ JPG จะเก็บค่า 8 บิตต่อสีของสีแดง สีเขียวและสีฟ้า ซึ่งเป็นค่าหลักของสีของแสงที่ถูกสร้างทุกๆ พิกเซลในภาพถ่าย อย่าไปสนใจในเรื่องคณิตศาสตร์มากนัก สิ่งที่คุณต้องการรู้คือ ค่า 8 บิต ( 2 ยกกำลัง 8 หรือ 2 คูณ 2 แปดครั้ง 2x2x2x2x2x2x2x2) ซึ่งหมายถึงว่าไฟล์ JPG จะเก็บค่าข้อมูลสำหรับค่าสีหลักแต่ละค่าเท่ากับ 256  แต่ถ้าเป็นไฟล์ RAW มันจะเก็บ 4096 หรือ 16384ของข้อมูลสีในแต่ละสี ขึ้นอยู่กับว่ากล้องของคุณรองรับแบบ 12 หรือ 14 บิต ค่าเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก แต่มันง่ายที่จะทำให้เห็นว่าค่าตัวเลขเหล่านี้ใหญ่กว่า 256 หมายถึงว่าไฟล์ RAW ให้ข้อมูลที่มากกว่า ซึ่งทำให้เราคล่องตัวเมื่อทำการปรับแต่งสีต่างๆบนภาพของเรา
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ภาพนี้เป็นภาพของครอบครัวเพื่อนผม (ด้านล่าง)  แต่ผมไม่มีความสุขกับบางสิ่ง ตาของเธอดำเกินไป และสีก็ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนกับที่ผมต้องการ ขอบคุณสำหรับไฟล์ RAW ที่ทำให้ผมมีอิสระในการปรับแต่งภาพเพื่อที่จะสร้างภาพไม่เพียงแต่ให้ความพึ่งพอใจในการมองเห็น แต่ยังสะท้อนถึงสิ่งที่ผมมองเห็นเมื่อตอนที่ผมถ่ายภาพนี้ด้วย นี้คือสิ่งที่ง่ายเหมือนกับใส่ตัวกรองบนภาพที่มีอยู่ ไฟล์ RAW ยังให้เราได้ปรับแต่งค่าข้อมูลสีต้นฉบับซึ่งจะยอมให้เราปรับแต่งได้มากกว่าภาพที่สมบูรณ์แล้ว
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ภาพต้นฉบับนี้ดูไม่เลว แต่ไม่ดีพอที่มันควรจะเป็น)
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....การถ่ายภาพด้วยไฟล์ RAW หมายถึงผมมีค่าข้อมูลสีพอที่ผมสามารถปรับแต่งสีเพื่อสร้างภาพที่พึ่งพอใจในภาพสุดท้าย)
แน่นอนการถ่ายภาพด้วยไฟล์ RAW ก็มีด้านลบเช่นกัน ส่วนใหญ่มันคือขนาดของไฟล์ ไฟล์ RAW จะมีขนาดที่ใหญ่เป็นสิบเท่ากว่าไฟล์ JPG ที่จะกินพื้นที่บนการ์ดข้อมูล ซึ่งหมายถึงว่ามันสูญเสียพื้นที่ว่างๆไปเปล่าๆ ถ้าคุณไม่ได้ต้องการปรับแต่งภาพอะไรมากนัก โดยความสัตย์จริง...ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพธรรมชาติหรือเด็กๆของคุณในสวนสาธารณะ ไฟล์ RAW จะดูมากเกินไป มันไม่ใช่ว่าไฟล์ JPG ไม่สามารถแก้ไขได้เมื่อพวกเขาต้องการ พวกเขาสามารถทำได้ ขณะที่บางคนที่ใช้ฟิลเตอร์ของ Instagram ยืนยันมาแล้ว พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงใน Photoshop และโปรแกรมปรับแต่งภาพอื่นๆได้อีกด้วย และมันยังคงมีข้อมูลสีที่เพียงพอในไฟล์ JPG สำหรับการขยับปรับแต่งได้ แต่ไฟล์ RAW ให้คุณมีอิสระที่มากกว่าในการทำงาน แม้ว่าขนาดของไฟล์ที่ใหญ่กว่าก็ตาม ซึ่งแลกมาด้วยคุณค่าในความคิดของผม
คุณจะตัดสินใจด้วยตัวคุณเอง แต่ไม่ว่าอะไรที่คุณตัดสินใจ ลองใช้เหตุผลข้างต้นที่เปรียบเทียบระหว่างไฟล์ RAW กับ JPG ไม่ว่ารูปแบบมีวัตถุประสงค์ที่ดีกว่า สิ่งที่สำคัญคือ คุณจะพบกับวิธีการทำงานที่เหมาะกับการถ่ายภาพและเป้าหมายของคุณเอง ในช่วงสุดท้ายของวันขณะที่คุณถ่ายภาพที่คุณชอบนานเท่าที่จะนานได้ นั่นก็คือสิ่งที่มันควรจะเป็น
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ผมชนะการประกวดภาพถ่ายด้วยภาพนี้ และผมถ่ายมันด้วยไฟล์ JPG)
คุณอาจจะถ่ายภาพด้วยไฟล์ JPG และถ้ามันเหมาะกับคุณ อย่าปล่อยให้ผมหรือคนอื่นบอกคุณถึงความแตกต่าง แต่ถ้าคุณต้องการทดลองกับเทคนิคการปรับแต่งที่ล้ำหน้า หรือเพียงแค่ชักชวนเพียงเล็กน้อยกับภาพถ่ายมากกว่าสิ่งที่คุณทำอยู่ ไฟล์ RAW อาจจะเป็นตั๋วที่นำคุณไปสู่โลกใหม่ของการถ่ายภาพที่น่าทึ่ง...


47
 ใช้ความสมดุลในการจัดองค์ประกอบภาพถ่ายวิวทิวทัศน์ของคุณ

โพสโดย Gavin Hardcastle แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/using-balance-in-your-landscape-photography-composition/

ถ้าคุณต้องการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่ลำหน้าไปอีกขั้นมันคือช่วงเวลาที่ต้องเริ่มคิดว่าคุณจะวางตัวแบบที่สมดุลอย่างไร เครื่องมือที่ทรงพลังในการจัดวางองค์ประกอบคือการจัดระเบียบตัวเอง คือ หัวเข่าคุณ หรือเท้าของคุณ สิ่งง่ายๆ คือการก้าวไปทางด้านข้างเพียงไม่กี่ฟุตสามารถเปลี่ยนการจัดองค์ประกอบภาพวิวทิวทัศน์ได้อย่างรวดเร็ว เอาขาข้างหนึ่งก้าวไปข้างหน้าและย่อเข่าเพื่อให้อยู่ในจุดที่ต่ำของภาพ เวลานี้แหละสิ่งต่างๆที่มองก็จะเริ่มน่าสนใจ
นี้คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงได้พูดถึงสิ่งนี้เพราะว่าการเคลื่อนย้ายเส้นแนวนอนและแนวตั้งจะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการจัดความสมดุลของตัวแบบในภาพถ่ายวิวทิวทัศน์ ถ้าคุณมีกล้องที่มีจอ LCD แสดงภาพที่ปรับหมุนได้ คุณจะสามารถได้การจัดวางพื้นดินในแนวที่ถูกต้อง หรือการจัดวางบนขาตั้งกล้อง...เยี่ยมจริงๆ

ดังนั้นอะไรคือความหมายของคำว่า “สมดุล”?

ผมกำลังอ้างถึงคุณสมดุลตัวแบบในภาพของคุณอย่างไรบนเส้นแนวนอนและแนวตั้ง ง่ายๆ โดยการวางตัวแบบที่น่าสนใจของคุณไว้กลางภาพ แต่หลายครั้งที่เมื่อคุณจัดองค์ประกอบภาพที่ดีกว่าโดยการวางตัวแบบไว้ข้างหนึ่งของภาพ และพบว่าความสมดุลกับบางสิ่งที่อยู่ในฝั่งตรงกันข้าม (ดูภาพประกอบคำบรรยาย ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) กับภาพด้านบน “บางสิ่งถูกดูด” ผมต้องการให้อารมณ์ของพายุเมฆเป็นตัวแบบหลัก แต่สิ่งสำคัญคือความพยายามจับภาพตัวภูเขาที่มียอดแบนและลาดชัน โดยการลดต่ำลงหนึ่งในสามของกรอบภาพสำหรับภูเขาและสองในสามคือตัวเมฆที่อยู่ด้านบน ผมสร้างความสมดุลของตัวแบบในลักษณะนี้..

ตัวแบบไม่สามารถเคลื่อนย้าย แต่คุณสามารถเคลื่อนย้ายตัวเองได้

บางครั้งเมื่อคุณต้องใช้พื้นที่วางในการดึงดูดความน่าสนใจเพื่อให้สมดุลกับตัวแบบหลัก อย่านึกเอาว่าพื้นที่ว่างของคุณจะเหมาะกับตัวแบบที่มีอยู่ ผมชอบที่เชิญชวนให้ผู้ชมภาพได้คิดว่า มีอะไรอยู่ในพื้นที่ว่างนั้น ดึงเอาสายตาของพวกเขาว่าอะไรที่ปรากฎครั้งแรกคือความว่างเปล่าแต่ถ้าสำรวจตรวจสอบใกล้ๆแล้วจะมีบางอย่างน่าสนใจ
การสมดุลตัวแบบในรูปภาพในลักษรณะการสะท้อนก็เป็นสิ่งที่สำคัญ บางทีคุณต้องการให้เน้นถึงรูปแบบที่สะท้อน การเคลื่อนที่จากซ้ายไปขวา หรือขึ้นและลง สามารถช่วยวางรูปแบบที่แน่นอนที่ซึ่งพวกมันควรเป็น การเคลื่อนที่ไปหนึ่งฟุตทางซ้ายอาจจะกำจัดสันเขาที่เราชอบไปก็ได้ หรือต่ำลงไม่กี่นิ้วอาจจะดึงมันกลับคืนมา
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) (กับภาพของผมที่ทะเลสาปโมโน ภาพด้านบน ผมพบว่าถ้าผมอยู่ต่ำระดับเดียวกับพื้นดิน ผมจะสูญเสียภาพสะท้อนของเมฆ ถ้าผมย้ายเล็กน้อยไปทางด้านขวาผมจะเสียฉากหน้าที่เป็นเนินหินปูนที่คุณเห็นทางด้านมุมซ้ายล่างสุดซึ่งเพิ่มความลึกของภาพ
ผมทำสิ่งนี้หลายครั้งเพื่อว่าผมจะได้ไม่คิดถึงมันอีก บางครั้งแค่คลิ๊กและผมก็รู้ว่าภาพนั้นอยู่ในกระเป๋าผมแล้ว เมื่อคุณเริ่มต้นมันอาจต้องการเพียงความคิดที่มีจิตสำนึกและนี้คือสองคำแนะนำที่ผมใช้สอนกับนักเรียนของผม

การนั่งยองๆ ถ่ายภาพ

หลังจากที่คุณถ่ายภาพกับกล้องของคุณด้วยความสูงที่อยู่บนขาตั้งกล้อง ลองนั่งยองๆสักครู่หนึ่งและสำรวจภาพจากมุมที่ต่ำ ทำให้มันเป็นนิสัยและผมสามารถให้คำรับประกันได้เลยว่า คุณจะได้เห็นการถ่ายภาพที่ดีกว่าประมาณ 50% ของการถ่ายภาพ

ทำเหมือนงูเห่า

แทนที่จะงุ่มง่ามซ้ายทีขวาที ผมเริ่มที่จะเลียนแบบงูเห่าและหมุนศรีษะของผมจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งขณะที่พยายามรักษาความสูงให้คงที่ การทำแบบนี้ผมสามารถมองเห็นตัวแบบฉากหน้าเคลื่อนที่ตัวแบบที่อยู่ในระยะการถ่าย ถ้าคุณเห็นคนกับขาตั้งกล้องบนเชิงเขาที่ดูเหมือนกำลังเต้นรำ นั่นแหละคือตัวผมที่กำลังถ่ายภาพอยู่ นี้คือสิ่งที่ชัดเจนแต่ผมสังเกตช่างภาพหลายท่านไม่เคยยุ่งยากกับการเคลื่อนที่ในสองแบบนี้ นี้มันเป็นการวางองค์ประกอบภาพที่มากกว่าการตั้งขาตั้งกล้องทั่วไป
ภาพถ่ายอขง Los Acros Park ใน Cabo San Lucas (ประเทศแม๊กซิโก) คือตัวอย่างที่ดีที่สุด ของการทำเหมือนงูเห่า มันช่วยให้ผมได้จินตนการมองเห็นถึงการวางองค์ประกอบภาพสำหรับตำแหน่งของ El Capitan (ตรงกลางของการซ้อนกันของกองหิน) เพื่อว่ามันจะลงตัวกับช่องว่างด้านขวา ถ้าผมย้ายไป 12 นิ้วทางซ้ายหรือขวา ผมจะเสียตำแหน่งที่เท่ากัน ถ้าผมก้มต่ำลง (นั่งยองๆ) หินที่อยู่ฉากหน้าจะปิดบังรอยเท้าบนพื้นทรายที่นำสายตาไปสู่ El Capitan

ถือกล้องด้วยมือเปล่ากันเถอะ

ใช่ๆ ผมรู้ว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้ขาตั้งกล้องจนเป็นกฎระเบียบตายตัว แต่ผมเริ่มที่จะถ่ายภาพโดยปราศจากขาตั้งกล้องเพื่อว่าผมจะอิสระในการเคลื่อนที่ที่จะพบกับองค์ประกอบภาพที่ดีที่สุด ครั้งหนึ่งผมค้นพบในการจัดสมดุลตัวแบบกับเส้นแนวตั้งและแนวนอน ผมก็เอาขาตั้งกล้องและถ่ายภาพมัน นี้คือสิ่งที่ช่วยให้คุณอยู่กับขาตั้งกล้อง

ลองดูกันสักตั้ง

ออกไปและลอง นั่งยองๆ และทำเหมือนงูเห่า และโพสคำแนะนำในที่นี้และให้ผมดูผลลัพท์ของคุณ ตั้งสติว่าคุณจะสมดุลตัวแบบของคุณอย่างไรที่จะให้ภาพวิวทิวทัศน์ที่ดีกว่า และฝึกฝนจนกลายเป็นเรื่องอัตโนมัติ

48
การใช้โฟกัสในการสร้างสรรการถ่ายภาพอาหาร

โพสโดย Christina Peters แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย

http://digital-photography-school.com/using-focus-creatively-food-photography/

มีหลายทางที่จะเลือกใช้โฟกัส หรือความชัดตื้นชัดลึก ในการควบคุมภาพที่เราต้องการจะถ่าย การเลือกโฟกัสในการใช้ค่ารูรับแสงที่ใหญ่ เช่น f/4.5 หรือ กว้างกว่าเพื่อจะแสดงเพียงส่วนเล็กๆในภาพให้อยู่ในโฟกัส คุณสามารถควบคุมที่ซึ่งคุณต้องการให้ผู้ชมได้มองไปในภาพของคุณโดยใช้เทคนิคนี้
กำจัดสิ่งที่รบกวนสายตาออกไป
ถ้าสภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง คุณสามารถใช้การเลือกโฟกัสเพื่อให้ทุกสิ่งดูสงบนิ่งและให้ผู้ชมของคุณมองไปในที่ที่คุณต้องการ
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ภาพทางซ้ายถ่ายด้วยรูรับแสงที่ f/16 ส่วนทางขวาจะถ่ายด้วยรูรับแสงที่ f/5.6)
เมื่อคุณเปรียบเทียบสองภาพด้านบนและตั้งใจดูว่าคุณเห็นอะไรในตอนแรก และสายตาของคุณมองไปรอบๆภาพนั้น มีของมากมายที่อยู่ในภาพด้านซ้าย คุณไม่รู้ว่าคุณกำลังมองที่ไหนเป็นที่แรก ในภาพด้านขวาตาของคุณจะตรงไปที่น้ำมันมะกอกที่อยู่ข้างหน้าซึ่งแน่ละมันเป็นที่ที่ฉํนต้องการให้คุณมองเห็น ฉันต้องแน่ใจว่าคุณไม่ได้ถูกดึงออกไปที่ตัวหนังสือบนเหยือกที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ ดังนั้นฉันโฟกัสไปที่ใบไม้ประดับอยู่ในน้ำมันมะกอกและเบลอทุกๆสิ่งที่อยู่ข้างนอก ฉันต้องการให้สิ่งแรกอยู่ที่น้ำมันมะกอก และส่วนอื่นๆ กลายเป็นสิ่งรองลงไป ตาของคุณจะมองไปที่อะไรก็ตามที่อยู่ในโฟกัสของภาพ
สิ่งไหนคือพระเอกของภาพ?
คุณสามารถใช้โฟกัสในบางการถ่ายภาพเพื่อที่ชี้ชัดให้เห็นถึงตัวแบบในภาพ ซึ่งตัวแบบนี้คือพระเอกของคุณ ในการถ่ายภาพอาหารเราเรียกว่ามันคือ อาหารพระเอก
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ในแต่ละโฟกัสซึ่งถูกเลื่อนเปลี่ยนไปที่ขวดโหลของผักดองคือขวดโหลนั้นเป็นพระเอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันต้องการให้คุณเห็น
นี้คือการถ่ายภาพผักดองที่ฉันถ่ายไว้ คุณสามารถใช้การเลือกโฟกัสเพื่อจะบอกให้ผู้ชมรู้ว่าที่ไหนที่พวกเขาควรจะต้องมองดู ถ้าภาพนี้ถูกนำไปใช้สำหรับการใช้ยาดองดังนั้นคุณควรจะใช้ภาพที่อยู่ทางด้านซ้าย ถ้าภาพถูกใช้สำหรับเรื่องผักดอง คุณก็ควรใช้ภาพทางด้านขวา
เลือกจุดโฟกัสของคุณ
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...ในภาพทางด้านซ้ายถ่ายด้วยค่ารูรับแสง f/8 ขณะที่ภาพด้านขวาถ่ายด้วยรูรับแสง f/4.5)
ฉันโฟกัสไปที่เครื่องเทศที่วางอยู่บนเขียงข้างๆ แตงกวา ในภาพด้านซ้ายคุณไม่สามารถบอกได้ว่าจุดโฟกัสของฉันอยู่ที่ไหนดังนั้นสายตาของคุณจะมองไปทั่วทั้งภาพ ในภาพด้านขวามันมีสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัด ตัวที่เป็นอาหารพระเอกคือแตงกวาที่ถูกตัดไว้
ภาพทั้งหมดที่รวมแตงกวานั้นคือรูปแบบการจัดเพื่อนของฉันและนักออกแบบ prop Amy Paliwoda เราทำงานหลายๆงานมาด้วยกัน Amy กำลังคุณเกี่ยวกับการใช้ props เพื่อบอกเรื่องราวของคุณ มันคืองานของฉํนในฐานะช่างภาพที่ต้องแน่ใจว่าฉันใช้ค่ารูรับแสงที่เหมาะสมที่จะช่วยให้ prop เป็นตัวช่วยเล่าเรื่อไม่ใช่เป็นสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ กับทุกๆสิ่งที่อยู่ในโฟกัส prop สามารถเอาออกจากเรื่องราวได้ เมื่อคุณได้เลือกจุดโฟกัสแล้ว ลองถ่ายภาพหลายๆภาพที่มีค่ารูรับแสงที่แตกต่างกันเพื่อดูว่าอันไหนมันใช้งานได้ดีที่สุดในการเล่าเรื่องราวของคุณ
เมื่อค่ารูรับแสงค่าเดียวไม่เพียงพอ
ตอนนี้ ฉันกำลังจะแสดงให้คุณเห็นเทคนิคที่ฉันใช้เยอะ ฉันจะถ่ายภาพสองภาพที่มีค่ารูรับแสงที่ต่างกัน กับระยะชัดลึกชัดตื้นที่แตกต่างกันด้วยหลังจากนั้นฉันก็รวมพวกมันเข้าด้วยกันใน Photoshop โดยการใช้ layer masks ฉันใช้เทคนิคนี้เมื่อฉันต้องการฉากหลังให้อยู่นอกโฟกัสมากที่สุดแต่ยังคงไว้ที่อาหารหรือตัวสินค้าอยู่ในโฟกัส
ฉันต้องการที่จะเน้นว่า ฉันถ่ายภาพกับกล้องที่อยู่บนขาตั้งกล้อง การวางองค์ประกอบในลักษณะแบบนี้จะยากในการที่จะถือกล้องด้วยมือเปล่า
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ.....ภาพด้านซ้ายถ่ายด้วยค่ารูรับแสง f/8 และทางด้านซ้ายด้วยค่ารูรับแสง f/4.5)
สำหรับภาพนี้ฉันต้องการให้ขวดโหลอยู่ที่ f/8 แต่ฉันต้องการให้ฉากหลังถ่ายที่ f/4.5 ดังนั้นฉันกำลังเอาภาพสองภาพนี้เข้าไปใน Photoshop โดยการสร้าง layer masks และใส่ฉากหลังที่ดีที่สุดบนตัวแบบที่อยู่ในฉากหน้าที่ต้องการ


การทำ Layer Mask
มีหลายวิธีในการทำสิ่งเดียวกันนี้ใน Photoshop แต่วิธีที่ฉันชอบใช้ในการวมภาพหลายภาพด้วยกันโดยใช้ Layer Masks
ในการรวมภาพสุดท้ายฉันจะใส่ฉากหลังของภาพหนึ่งจากสองภาพนั้นและทำซ้ำกับหลอดไฟดวงหนึ่งและแปะไปที่ฉากหลัง
เริ่มต้นฉันจะเปิดสองไฟล์พร้อมกันใน Photoshop ขั้นต่อไป ฉันจะ copy ภาพที่ต้องการฉากหลังและปะลงไปที่อีกภาพหนึ่งที่ฉันต้องการเยือกน้ำที่ต้องการ ดังนั้น ฉันมีไฟล์เดียวกับสอง layer (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ตอนนี้ ฉันต้องการทำ layer บนสุดให้เป็น layer mask
1.   ไปที่เมนูบาร์ด้านบน
2.   คลิ๊กเลือก “Layer”
3.   เลื่อนลงมาที่เมนู “Layer Mask”
4.   เลือกไปที่  “Reveal All”
ลองดูที่ layer palette ภาพของคุณควรจะเหมือนกับที่คุณเห็นด้านล่างนี้ สองไฟล์นี้กับไฟล์หนึ่งมีกล่องสีขาวอยู่ข้างๆ รูป นั้นคือ layer mask (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
คุณสามารถเห็น layer mask ใหม่ในวงกลมสีแดง
ในการเริ่มทำงานภายใน layer mask  คุณต้องใช้เครื่องมือ Brush tool ให้แน่ใจว่าในช่องสีถูกเลือกเป็นสีดำอยู่เหนือสีขาว สำหรับการที่ masking ภาพ ถ้าเกิดคุณระบายไกลออกจากพื้นที่ไป คุณสามารถแก้ไขมันโดยการทำตรงกันข้ามคือเลือกจานสีอยู่ด้านบนสีดำและก็ไปแก้ไขส่วนที่เกินออกไปข้างนอก
ในภาพนี้ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ฉันใช้แปรงที่มีปลายขนนุ่ม (โดยการตั้งค่าความแข็งของแปรงเท่ากับ 0) เพื่อที่จะระบายในส่วนฉากหน้าของ layer บนเพื่อที่ให้เหลือเพียงสีแดงของฉากหลังกับโคมไฟไว้ ในภาพด้านล่างนี้จะแสดงให้เห็น layer mask ของฉันที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว
สิ่งเหล่านี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการสร้างใน Photoshop.
ตอนนี้ สำหรับภาพสุดท้ายข้างล่างนี้ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ฉันเพิ่มตัวหนังสือและทำสำเนาและปะภาพหลอดไฟใน Photoshop เพื่อเพิ่มความสมุลกับที่สิ่งที่อยู่ในฉากหลัง  หลอดไฟที่เพิ่มเข้ามาอยู่ใน layer mask เพื่อว่าฉันสามารถดัดขอบของภาพที่ฉันปะลงไปบนไฟล์นั้น
นี้คือสิ่งที่ดูเหมือนใน Layer “2” ที่มีหลอดไฟพิเศษ ถ้ามันเป็นไฟล์ที่มีหลายๆ layer ฉันจะตั้งชื่อแต่ละ layer เพื่อฉันจะได้รู้ว่าพวกมันคืออะไร ในกรณีนี้มันง่ายในการจัดการดังนั้นฉันเลยไม่ได้ทำมัน คุณสามารถเป็น layer mask “1” ซึ่งปุ่มที่อยู่ครึ่งของเฟรมคือสีดำ นี้คือส่วนของภาพที่ฉันบังเอาไว้
ดังนั้นในครั้งต่อไปเมื่อถ่ายภาพบนขาตั้งกล้อง ทดลองกับการถ่ายภาพหลายๆค่ารูรับแสงเพื่อให้ได้ความแตกต่างของความชัดตื้นชัดลึก และคุณอาจจะนำไฟล์เหล่านั้นมารวมเข้าด้วยกัน

49
สามเลนส์ตัวไหนที่คุณต้องการสำหรับการถ่ายภาพ

โพสโดย Andrew S. Gibson แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/which-three-lenses-do-you-need-for-photography/

(ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับ.....ภาพนี้ผมใช้เลนส์ 85mm กับเลนส์ 500D Close-up เพื่อที่ถ่ายภาพเจ้ากิ้งก่าน้ำเมืองจีน)

มีสองสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อได้อ่านบทความของ Phillip VanNostrand ในหัวข้อ “เพียงสามเลนส์ที่คุณต้องการสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวถ่ายภาพ” สิ่งแรกคือ เลนส์ของเขาที่เลือกมาก็ไม่ใช่เลนส์ของผม สิ่งที่สองคือ คุณไม่สามารถแนะนำสามเลนส์สำหรับช่างภาพทุกๆคนที่จะใช้ เนื่องจากแต่ละคนก็มีความต้องการที่แตกต่างกัน
ลองจินตนาการดูครับ ถ้าคุณต้องไปที่โชว์รูมเพื่อซื้อรถยนต์คันใหม่และพนักงานขายได้พูดว่า “คุณครับ รถยนต์ที่ตอบโจทย์ของคุณมีเพียงแค่ Ford Focus” มันดีมาก ถ้ารถคันนี้เป็นรถที่คุณต้องการอยู่พอดี” แต่มันน่ารำคาญแค่ไหนถ้าพนักงานขายยังคงยืนกรานว่าคุณควรจะซื้อ Ford Focus ถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ
พนักงานขายระดับอาชีพอาจจะสร้างความต้องการของคุณก่อนโดยถามคำถามคุณ คุณขับรถกี่ไมล์ในหนึ่งปี? มีกี่คนที่ใช้รถเป็นพาหนะขนส่ง? คุณต้องการที่เก็บของเยอะไหม? การประหยัดน้ำมันเป็นสิ่งสำคัญไหม? ความปลอดภัยละ? งบประมาณของคุณมีเท่าไร? และอื่นๆอีก เมื่อคำตอบได้ทำการตอบแล้ว พนักงานขายสามารถที่จะแนะนำได้ว่าอะไรเป็นรถที่เหมาะกับคุณ
มันก็เหมือนกับเลนส์ ความต้องการของผมจะแตกต่างจากคุณเพราะว่าเรามีความแตกต่างกับความต้องการและลำดับความสำคัญที่แตกต่างกัน
โปรดอย่ามองในแง่ลบกับบทความของ Phillip (ซึ่งเยี่ยมมากในการได้อ่านและการแนะนำที่ดี) ผมได้เรียนรู้จากบทเรียนนี้เมื่อผมได้อ่านบทความของผมเอง “แนะนำผู้ซื้อระหว่าง Prime Lenses กับ Zoom Lenses” ซึ่งผมก็ได้ให้ความเห็นว่าผมชอบ Prime เลนส์ (เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ) ผู้อ่านบางท่านก็ชี้ประเด็นไปว่าความสะดวกของเลนส์ซูมก็ไม่มีค่าในบางสถานการณ์ ผมตระหนักว่าผมกำลังกำหนดข้ออ้างอิงของผมเองให้กับคนอื่น
สามเลนส์ที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าปราศจากพวกมัน
และนี้คือคำถามของผม ถ้าคุณสามารที่จะมีได้เพียงสามเลนส์ สามเลนส์แบบไหนที่คุณควรจะมี? แน่นอนละ สามเลนส์นี้จะครอบคลุมการถ่ายภาพทุกรูปแบบที่คุณต้องการ และยิ่งกว่านั้น ถ้าคุณจะต้องมีแค่เพียงเลนส์ตัวเดียว เลนส์ตัวไหนละที่คุณจะเลือก?
มันเป็นคำถามที่เป็นไปได้สำหรับการที่เรามีอิสระในการเลือกซื้อเลนส์มากมายตามที่เราชอบ แต่มันก็มีความกังวลส่วนหนึ่งอยู่เบื้องหลังมัน งานสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัด และเลนส์ที่คุณมีอยู่อย่างจำกัดเพียงสามตัวนี้ บางทีมันเป็นไปได้ที่จะจับมันเข้าด้วยกันเพื่อเป็นทางเลือกที่ดีของเลนส์สามตัวที่จะครอบคลุมทุกสถานการณ์ในงบประมาณที่จำกัด ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินหลายพันดอลล่าร์สำหรับเลนส์ราคาแพงๆถ้าคุณไม่สามารถใช้มันอย่างเต็มประสิทธิภาพหรือไม่ต้องการมันจริงๆ
ก่อนที่คุณจะตอบคำถามลองคิดเกี่ยวกับความต้องการก่อน เพราะว่าพวกเขาจะพลักดันในการเลือกเลนส์ของคุณ นี้คือสิ่งที่ผมต้องการคือ
•   เลนส์ของผมจะต้องเบาและมีขนาดเล็ก ผมไม่ต้องการแบกเลนส์หนักๆ และกระเป๋าของผมก็เต็มไปด้วยของหนัก
•   เลนส์ของผมจะต้องคุ้มค่าสมกับราคาของมัน ผมไม่มีงบประมาณมากแต่เมื่อไรก็ตามที่ผมซื้อเลนส์หมายความว่าผมมีความต้องการที่จะใช้มันบ่อยๆ มันเป็นช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาที่ผมจะไม่เป็นผู้ซื้อที่พลาดไปแล้วมานั่งเสียใจทีหลัง
•   ตัวออโต้โฟกัสจะต้องมีความเร็วและเงียบ
นี้คือการเริ่มต้นในการเปรียบเทียบและนี้คือเลนส์สามตัวที่ผมเลือก พิจารณาดูนะครับผมเป็นผู้ใช้ Canon ซึ่งการเลือกเลนส์ของผมจะมีอิทธิพลกับผมในแบบธรรมชาติและผมก็ใช้กล้อง full-frame

เลนส์ 85mm f/1.8

นี้คือเลนส์ที่ผมชื่นชอบ ผมใช้เลนส์นี้สำหรับการถ่ายภาพบุคคล การถ่ายภาพระยะใกล้ และภาพวิวทิวทัศน์ ซึ่งประโยชน์จากการเลือกเฟรมและการบีบอัด มันเบา ไม่แพง และได้คุณภาพของภาพถ่ายที่ดีเยี่ยม จุดด้อยเพียงสิ่งเดียวของเลนส์นี้คือ ระยะในการโฟกัสที่ต่ำคือ 85 เซ็นติเมตร (2.8 ฟุต) ดังนั้นมันไม่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพระยะใกล้ๆ ผมจึงได้ทำการต่อมันด้วยเลนส์ 500D close-up (นี้คือเทคนิคของเลนส์ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นฟิลเตอร์และผมไม่ได้นับมันรวมในสามเลนส์ของการเลือกของผม) ซึ่งมันทำให้ผมได้คุณภาพของภาพระยะใกล้ที่เยี่ยมยอดและยังคงรักษา stop ของรูรับแสงที่ f/2.8 หรือน้อยกว่า
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ.....เลนส์ 85mm f/1.8 ที่เหมาะกับภาพถ่ายบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการถ่ายในสภาพแสงที่น้อย เหมือนในภาพนี้)
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)....ตัวเลนส์ 500D Close-up ซึ่งใช้กับตัวเลนส์ 85mm ในการถ่ายภาพระยะใกล้)

เลนส์ 40mm f/2.8 (เพนเค้ก เลนส์)

ในขณะที่ผมหลงรักคุณภาพและความสามารถรอบตัวของเลนส์ช่วงปกติ 50mm พวกมันจะอยู่กึ่งกลางของถนนในความหมายของความยาวโฟกัสสำหรับผมแล้วมันก็ถูกรวมอยู่ในเลนส์ตัวเลือกของผมด้วย ผมได้เลือกเลนส์ Canon  40mm f/2.8 แพนเค้กเลนส์ ผมรักเลนส์ตัวนี้เพราะว่ามันเล็กมากๆและให้คุณภาพของภาพถ่ายที่สูง บนตัวกล้อง full-frame ของผมระยะโฟกัสจะของที่ขอบเส้นระหว่างมุมกว้างและช่วงปกติ  ผมใช้เลนส์นี้เยอะมากและผมก็รักมัน

(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....เลนส์ 40mm คือสิ่งที่เหมาะสำหรับภาพทิวทัศน์ที่สวยงามแบบในรูปนี้)

(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....เลนส์ 40mm คือสิ่งที่เหมาะสำหรับภาพที่มีความต้องการองค์ประกอบภาพในมุมกว้าง ในภาพนี้ การบรรจบกันของเส้นแนวตั้งจะมีผลในการสร้างภาพถ่ายโดยการถ่ายจากมุมต่ำ)

เลนส์ 24mm f/2.8 ที่มีกันสั่น IS (Image Stabilizer)

นี้คือเลนส์ใหม่ล่าสุดที่ถูกเพิ่มเข้ามาในการสะสมเลนส์ของผม และขณะที่ผมกำลังทำความรู้จักมัน เลนส์ 24mm f/2.8 ก็กลายเป็นเลนส์ที่ผมชื่นชอบอีกตัวหนึ่ง มันมีบางสิ่งที่พิเศษเกี่ยวระยะโฟกัสที่ 24mm มันเหมาะกับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ และภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม โดยปราศจากความกว้างเกินไป รูรับแสงสูงสุดที่ f/2.8 คือสิ่งที่เป็นข้อจำกัดเล็กน้อย (ผมชอบที่จะทดลองกับรูรับแสงที่กว้างในการสร้างผลงานสร้างสรรค์) แต่ผมสามารถอยู่กับมันได้ ขณะที่เลนส์มันเบามาก ถูกมากและเล็กกว่าเลนส์ Canon 24mm f/1.4L
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบคือมันมีระบบกันสั่น (IS-Image Stabilizer) ทางทฤษฎีแล้วผมสามารถถือกล้องกับความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/2 วินาทีและยังคงได้ภาพที่คมชัดในขณะที่สิ่งเคลื่อนไหวในเฟหรมจะเบลอ มันทำให้มีการสร้างสรรค์งานได้มากทีเดียว

(ดูภาพต้นฉบับในเว็ปไซต์......เลนส์ 24mm เหมาะกับถ่ายภาพบุคคลกับสภาพแวดล้อมได้อย่างดี ซึ่งคุณต้องการจะแสดงให้เห็นตัวแบบและสิ่งแวดล้อมของตัวแบบที่อยู่ในฉากหลัง)

ถ้าผมต้องเลือกหนึ่งในเลนส์เหล่านี้ อะไรคือสิ่งที่ยากในการตัดสินใจ  ถ้าผมสามารถมีเพียงได้แค่หนึ่งเลนส์เท่านั้น และมันควรจะต้องเป็นหนึ่งในสามตัวด้วย ผมคิดว่าผมจะเลือกเลนส์ 85mm f/1.8 ไม่เช่นนั้นผมจะเลือกบางตัวที่เหมือนกับเลนส์ Canon 24-105mm f/4L มันใหญ่กว่าและหนักกว่าเลนส์ทั่วไปของผมแต่มันครอบคลุมทุกช่วงระยะของโฟกัสที่ผมต้องการ

การเลือกของคุณ....
ถึงเวลาตาคุณแล้วละ....ถ้าคุณสามารถมีเพียงแค่สามเลนส์ พวกมันควรจะเป็นอะไรบ้าง? ถ้าคุณสามารถมีได้เพียงหนึ่งเลนส์ คุณจะเลือกตัวไหน? โปรดบอกให้เรารู้บ้างว่าทำไม อะไรคือความต้องการส่วนตัวของคุณ มันน่าจะเป็นการคุยกันที่น่าสนใจมาก...

50
Photoshop กับ Lightroom อันไหนเหมาะสำหรับคุณ?

โพสโดย Tim Gilbreath แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/photoshop-versus-lightroom-which-is-right-for-you/

ขณะที่คุณเป็นช่างภาพ ไม่ว่าจะเป็นระดับอาชีพ หรือทำเป็นงานอดิเรก คุณมีความสามารถและความชำนาญในหลายด้าน และยังเล่นบทในหลายๆ บทบาท คุณต้องเป็นช่างศิลป์เมื่อการโพสภาพ เป็นช่างเทคนิคกับการตั้งค่ากล้องและในระดับอาชีพ คุณก็เป็นนักธุรกิจผู้ซึ่งดูแลธุรกิจและทำให้ลูกค้ามีความพึ่งพอใจ
บทบาทที่สำคัญสิ่งหนึ่งคือ คุณต้องเล่นเป็นผู้คลั่งไคล้ในการปรับแต่งภาพ การนำภาพจากกล้องโดยตรงที่เราได้ถ่ายไปก่อนที่จะปล่อยภาพออกไปเราต้องการเอาภาพที่ถ่ายมาผ่านกระบวนการปรับแต่ง ที่ซึ่งภาพดิบๆของคุณจะถูกจัดการให้ดีขึ้น ปรับแต่ง ปรับค่าสี และเพิ่มความคมชัดเพื่อให้ได้ภาพสุดท้ายที่เราต้องการจะนำไปใช้
แม้ว่าทุกวันนี้เรามีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยในขั้นตอนการปรับแต่งภาพ อุตสหกรรมขนาดใหญ่ที่ไม่มีข้อสงสัยอย่าง Adobe Photoshop ได้ปล่อยตัว version แรกในปี 1990  ซอฟท์แวร์นี้ได้ถูกใช้โดยมือสมัครเล่นและมืออาชีพ หลายต่อหลายปีและได้ถูกพิจารณาเป็นเครื่องมือสำคัญของช่างภาพในเวลาต่อมา
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ความนิยมของภาพถ่ายดิจิตอลทาง Adobe ก็ได้ตระหนักถึงความต้องการสำหรับเครื่องมือนี้ที่มีเป้าหมายสำหรับช่างภาพ และในปี ค.ศ. 2007 ก็ได้ปล่อยตัว Lightroom ซึ่งเป็นการจัดการส่วนกลางและเป็นซอฟท์แวร์บริหารจัดการซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากและเป็นอุตสหกรรมที่ใหญ่ในทุกวันนี้ 
(ดูภาพผังประกอบคำบรรยาย......และให้ click เพื่อดูผลสำรวจที่มากกว่านี้)
ดังนั้นคำถามคือ ในขณะที่คุณเป็นช่างภาพ ซอฟท์แวร์ตัวไหนละที่คุณต้องการ? ทั้งคู่มีความยอดเยี่ยมและมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ลองลงไปดูในรายละเอียดและทดลองดูรายละเอียดลึกๆ เพื่อที่จะค้นหาว่าอะไรเหมาะสำหรับคุณ
อะไรที่เราต้องสำหรับซอฟท์แวร์ปรับแต่งภาพ
แม้ว่าเราจะได้ผลลัพท์ที่สมบูรณ์จากในกล้องของเราและส่งต่อภาพที่ได้เหล่านั้นไปยังกระบวนการปรับแต่ง การปรับแต่งบางครั้งก็ต้องการการเตรียมภาพถ่ายสำหรับความแตกต่างที่เป็นกลางๆ

โดยทั่วไป ภาพต้องการที่จะปรับขนาด ปรับค่ารูรับแสงและความเปรียบต่าง การปรับแต่งเพื่อลบจุดบกพร่องหรือข้อบกพร่องอื่นๆ  และการเพิ่มโทนสี หรือปรับสีโดยผ่านตัวกรองแสง ค่าตั้งเริ่มต้นหรือค่าอื่นๆ  ไฟล์ที่ต้องการคือไฟล์ที่ถูกส่องออกไปยังรูปแบบไฟล์สุดท้ายที่พร้อมใช้งานสำหรับลูกค้า การพิมพ์ หรือใช้ในเว็ปไซต์ต่างๆ

จุดแข็งของ Photoshop
•   การปรับแต่งค่า Pixel ภาพที่ถูกสร้างหรือถูกเปิดใน Photoshop จะถูกประกอบด้วยพิกเซล ซึ่งเป็นจุดเล็กๆที่อยู่ในภาพ และเล็กที่สุดในส่วนของภาพ ซอฟท์แวร์จะยอมให้ทำการปรับแต่งในระดับที่เล็ก หมายถึงการจัดการที่มีข้อจำกัดน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ภาพที่เป็น raster หรือ vector สามารถถูกสร้างจากการขูดหรือเกา
•   Layers....ตัว Photoshop จะยอมให้มีหลายๆ layer ที่ถูกจัดเก็บภายในไฟล์ต้นทาง หมายความว่า คุณสามารถเก็บภาพที่มีความแตกต่าง หรือการปรับแต่งใน layer ที่แยกจากกัน และบางครั้งก็ถูกซ้อนไว้ในการปรับแต่ง หรือเพิ่มในแต่ละ layer ที่ไม่ขึ้นตรงต่อกัน
•   Actions  เป็นตัวที่มีประโยชน์มาก Actions จะจัดการขั้นตอนต่างๆรวมไว้ด้วยกันและบันทึกเก็บไว้ และยอมให้คุณนำกลับมาใช้อีกในการปรับแต่งภาพโดยแค่ใช้เมาส์คลิ๊กเท่านั้น
•   Compositing and blending  เนื่องจากความสามารถขององค์ประกอบ layer ที่อยู่ในภาพ มันเป็นไปได้ที่จะผสมผสาน layer ต่างๆ เหล่านั้นเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ตัว Masking จะยอมให้คุณป้องกันในส่วนที่คุณกำหนดไว้ชัดเจนจากการปรับแต่งภาพโดยสามารถทำในส่วนที่เรากำหนดไว้เท่านั้น
•   กล้องเครื่องมือที่มากมาย....แต่ละ version ของ Photoshop ที่ปล่อยออกมาจะนำมาซึ่งเครื่องมือที่มีประโยชน์มากมาย จากตัว Content-aware การลดการสั่นของกล้อง ตัวฟิลเตอร์ของภาพถ่าย การตัดปะภาพพาโนราม่า  นี้คือเครื่องมือที่ส่วนใหญ่เป็นงานของช่างภาพที่ต้องการมัน

จุดอ่อนของ Photoshop
•   การเรียนรู้ที่ต้องใช้เวลา กับสิ่งที่เยี่ยมยอดแบบนี้ ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ แม้ว่าคุณมีการจัดวางรูปแบบเครื่องมือ แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาและการฝึกฝน
•   ไม่มีตัวปรับแต่งภาพ RAW มาให้แต่แรก  ไม่เหมือน Lightroom ซึ่งจะมีความสามารถในการปรับแต่งไฟล์ RAW จากกล้องของคุณมาให้แต่แรก สำหรับ Photoshop จะพึ่งพากับตัวซอฟท์แวร์เสริม อย่างเช่น ACR (Adobe Camera RAW) หรือบางสิ่งที่คล้ายๆ กันเพื่อที่จะนำภาพ RAW เข้ามาปรับแต่งได้
•   ไม่มีการจัดการไฟล์ภาพ  Photoshop จะถูกสร้างจากเริ่มต้นจนเป็นภาพที่ทรงพลังและเครื่องมือการปรับแต่ง แม้ว่าการนำภาพเข้าและออกจะมีเครื่องมือที่รองรับอยู่แล้วที่ทำให้งานต่างๆง่ายขึ้น แต่พวกมันก็ไม่ได้มีการสร้างระบบบการจัดการภาพต่างๆ สำหรับช่างภาพ

จุดแข็งของ Lightroom
•   มีตัวปรับแต่งไฟล์ภาพ RAW มาให้แต่แรก.....ไม่ต้องมีตัวเสริมอื่นๆอีก โดยเริ่มต้นของ Lightroom จะยอมรับไฟล์ภาพ RAW โดยตรงจากล้องถ่ายภาพ และยอมให้คุณทำการปรับแต่งภาพได้จากสิ่งที่มันมีมาให้
•   มีการบริหารจัดการภาพที่เป็นศูนย์กลาง....Lightroom กำเนิดจากความต้องการที่ตอบสนองช่างภาพในการบริหารจัดการภาพถ่ายของพวกเขา ตัวโปรแกรมทั้งหมดจะมีพื้นฐานที่ถูกสร้างอย่างสมบูรณ์ในการบริหารจัดการซึ่งจะช่วยคุณทำการปรับแต่งภาพ
•   ใช้งานง่าย...โดยที่ Lightroom ไม่มีกล่องเครื่องมือที่มากมายเหมือน Photoshop ทำให้การเรียนรู้น้อยกว่า ทุกๆ สิ่งในเครื่องมือพร้อมใช้งาน เข้าใจง่ายและง่ายต่อการจัดการ
•   Presets – เป็นความฝันของช่างภาพ  ลองจินตนาการในความสามารถที่จะลำดับการทำงานร่วมกันของการปรับค่ารับแสง ความเปรียบต่าง และโทนสี และ save ลงในไฟล์  ดังนั้นจินตนาการของคุณจะไม่ถูกจำกัดด้วยสิ่งใดๆ และสามารถนำไปใช้กับภาพอื่นๆ เพียงแค่คลิ๊กเมาส์เท่านั้น  ยินดีต้อนร้บสู่ Lightroom ช่างภาพทั่วโลกได้แบ่งปันสิ่งนี้ในโลกออนไลน์ ทำให้คุณไม่มีข้อจำกัดสำหรับทางเลือกในการแต่งภาพของคุณ

จุดอ่อนของ Lightroom
•   ไม่มีเครื่องมือแก้ไขที่ล้ำหน้า เพราะว่า Lightroom ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นตัวแก้ไขที่เต็มรูปแบบ ฟังก์ชั่นการแก้ไขต่างๆของ Photoshop ที่ต้องใช้จะไม่ได้ปรากฎใน Lightroom ยกเว้นพวกเครื่องมือพื้นฐาน คุณยังคงต้องการใช้ Photoshop ในสถานการณ์ที่การปรับภาพอย่างหนักถ้าจำเป็นต้องทำ
•   ไม่มีการจัดการเรื่อง layer  ระบบ layer อันทรงพลังใน Photoshop คือสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง ผลและการปรับแต่งสามารถซ้อนบนภาพ แต่ไม่ใช่สิ่งที่แยกออกจริงๆของภาพ หรือความสามารถในการใช้การผสม
•   ภาพอย่างเดียว...อีกครั้งหนึ่ง Lightroom ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการทำงานอย่างเป็นระบบสำหรับช่างภาพ หมายถึงว่า คุณจะสามารถเพียงแต่นำไฟล์ภาพที่มีอยู่เข้ามาและทำการแก้ไขปรับแต่ง มันไม่ได้มีเครื่องมือ raster หรือ Vector ใน Lightroom มันอยู่ใน Photoshop ตัว Lightroom จะมุ่งไปเพียงจุดเดียวเท่านั้น
 
Creative Cloud  และ รูปแบบของราคา
ราคาที่สูงจนกระทั่งมันเหมาะสมในปัจจุบันนี้.....Photoshop จะมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อเสียเพิ่มเติมเมื่อเปรียบเทียบกับ Lightroom และมันก็คือราคา ในอดีตการซื้อ Photoshop จะมีค่าใช้จ่ายตกอยู่ที่ประมาณ 400 ถึง 900 เหรียญสหรัฐ ขึ้นอยู่กับ version และส่วนลดต่างๆ ถ้าคุณมี เปรียบเทียบกับ Lightroom ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่า 100 เหรียญสหรัฐ  การที่มันมีค่าใช้จ่ายที่สูงในการซื้อ Photoshop กับเงินที่จำกัด สำหรับช่างภาพที่เกิดขึ้นมากมายที่มีงบประมาณน้อย
วันเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ขอบคุณสำหรับ Adobe ที่ทำเรื่อง cloud และโปรแกรมการสมัครเป็นสมาชิก ขณะที่ตัวโปรแกรมล่าสุดได้ออกมา กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักๆของ Adobe ก็ได้เปลี่ยนไปเป็น cloud และเปลี่ยนรากฐานใหม่เป็นรูปแบบการสมัครสมาชิกเป็น Creative Cloud  เพียงแค่ 20 เหรียญสหรัฐต่อเดือนที่ให้คุณใช้อย่างไม่จำกัด เช่น Photoshop หรือ Lightroom และเนื้อที่จัดเก็บข้อมูลบน cloud ซึ่งทำให้คุณสามารถเข้าสู่ไฟล์ของคุณจะที่ไหนก็ได้ เพียง 50 เหรียญสหรัฐต่อเดือน จะทำให้คุณเข้าถึงโปรแกรมต่างๆของ Adobe ได้ทั้งชุด ซึ่งมันเป็นเงื่อนไขที่ดีมาก
ในปีนี้ Adobe ได้ประกาศให้ทราบถึงโปรแกรมเกี่ยวกับการถ่ายภาพ ถ้าคุณยังไม่ได้สมัคร คุณควรจะพิจารณาดู น้อยกว่า 10 เหรียญสหรัฐต่อเดือน Adobe จะให้โปรแกรม Photoshop CC และ Lightroom CC ไปพร้อมกับที่จัดเก็บข้อมูลบน cloud มันข้อตกลงที่ไม่น่าเชื่อ และจำกัดในการเลือกและให้ใช้โปรแกรมสำหรับการแต่งภาพเท่านั้น
อันไหนละเป็นสิ่งที่เหมาะกับคุณ ?
ในเมื่อราคาไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว ตัวเลือกของโปรแกรมที่จะใช้กับภาพถ่ายของคุณจะมาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือก

ใช้ Lightroom ถ้า....
ถ้าคุณมีระบบการทำงานที่ชัดเจน เรียบง่าย มากกว่าต้องควบคุมการปรับแต่งภาพของคุณ พูดอีกนัยหนึ่งว่า Lightroom ไม่ใช่สิ่งที่อุ้ยอ้ายเมื่อมันทำการปรับแต่งภาพ และคุณสามารถสร้างใหม่ได้อีกในการควบคุมของคุณในตัวซอฟท์แวร์นี้
ตัว Presets จะมีรูปแบบที่ไม่มีสิ้นสุด และมีหลายพันตัวที่พร้อมใช้งานอยู่ใน Internet หน้าตาของ Lightroom ก็เรียบง่ายซึ่งจะช่วยคุณในการทำงานกับงานถ่ายภาพแต่งงานหรือการถ่ายภาพบุคคล อย่างรวดเร็วและแน่นอน และมันสามารถบริหารจัดการภาพถ่ายเหล่านั้นง่ายกว่าที่คุณคิดเสียอีก

ใช้ Photoshop ถ้า…
คุณต้องการที่จะควบคุมภาพของคุณ Photoshop สามารถทำได้ทั้งหมด แต่แน่นอนสิ่งที่แลกมาคือราคาของการเรียนรู้ที่สูงขึ้น ตัว Presets ต่างๆ ไม่ใช่สิ่งที่โปรแกรมทำได้ดีที่สุด แต่มันแทนที่ด้วยการปรับแต่งภาพกับ masks, layers และเครื่องมือต่างๆ ซึ่งให้ทางเลือกกับคุณเท่าที่คุณต้องการ
ในท้ายที่สุด
ทั้งสองสิ่งข้างต้นสามารถรวมกับเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรับแต่งภาพได้ เหมือนกับสิ่งอื่นนั่นแหละพวกมันทั้งคู่ก็มีทั้งจุดแข็งจุดอ่อน

แต่โชคดีที่ Adobe ได้มีรูปแบบการสมัครที่เป็นแบบ Creative Cloud คุณสามรถสนุกกับโปรแกรมทั้งสองได้ และใช้ข้อดีของแต่ละโปรแกรมในการทำงานของคุณโดยปราศจากการเสียเงินทองที่มากมาย

51
แปดขั้นตอนง่ายๆในการถ่ายภาพเงาดำ
โพสโดย Darren Rowse แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-photograph-silhouettes/
โดยปกติผมจะพูดถึงความสำคัญของการใช้แฟลชเมื่อถ่ายภาพในช่วงดวงอาทิตย์ให้แสงเพียงพอที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวแบบ แต่บางทีก็ถึงเวลาที่จะทำให้แบบไม่น่าสนใจกลายเป็นการร่างภาพของพวกเขาจากความสว่างของพื้นหลัง หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ภาพเงาดำ
ภาพเงาดำคือสิ่งที่อัศจรรย์ที่ถ่ายทอดความมีชีวิตชีวา ความลึกลับ อารมณ์กับผู้ชมภาพของคุณแลบ่อยครั้งที่มันอยู่ในอัลบั้มเนื่องจากการผสมผสานในความเรียบง่าย แต่ยังคงมีเรื่องราวที่ถ่ายทอดไว้ ผมรักพวกมันเพราะพวกมันจะไม่ได้ความกระจ่างทุกๆ สิ่งกับผู้ชมภาพ แต่ได้ทิ้งบางส่วนของภาพเพื่อให้พวกเขาได้จินตนาการความน่าอัศจรรย์
กลยุทธ์พื้นฐานในการถ่ายภาพเงาดำ คือการให้เอาตัวแบบไปวาง (รูปร่างอะไรก็ได้ที่คุณต้องการให้มันดำ) อยู่ด้านหน้าของแหล่งกำเนิดแสง และให้กล้องถ่ายภาพของคุณตั้งค่าแสงที่เป็นค่าสว่างในภาพ (พื้นหลัง) และไม่ใช่ตัวแบบในภาพ ในการทำแบบนี้ตัวแบบของคุณจะมีค่าแสงที่ต่ำ (และมืดมาก ถ้าไม่ดำ)
มีหลายเทคนิควิธีที่ได้พรรณาไว้ว่าจะถ่ายภาพเงาดำที่เยี่ยมยอดได้อย่างไรซึ่งคุณควรจะลองหาดู แต่ลองให้ผมแนะนำขั้นตอนพื้นฐานที่จะทำให้คุณได้ผลลัพท์หลังจากนี้  สิ่งที่สำคัญคืออะไรก็ตามที่เรากำลังพยายามทำให้กล้องของคุณคิดว่าส่วนที่สว่างของภาพคุณน่าสนใจ  และนี้คือสิ่งที่เราจะทำมัน
ถ่ายภาพเงาดำอย่างไร
1. เลือกหาตัวแบบที่ทรงพลัง
โดยทั่วไปแล้วตัวแบบอะไรก็ได้สามารถทำเป็นภาพเงาดำได้ อย่างไรก็ดีบางตัวแบบก็ดีกว่าตัวแบบอื่นๆ เลือกบางสิ่งที่ทรงพลังและมีรูปทรงที่น่าสนใจในลักษณะรูปทรงสองมิติเพื่อจะดึงดูดความสนใจของผู้ชมภาพของคุณ ภาพเงาดำไม่สามารถทำเป็นสี ลวดลาย และโทนของตัวแบบที่จะปรากฎ ดังนั้น รูปทรงที่ชัดเจนเป็นสิ่งที่ต้องการ
2. ปิดการใช้แฟลช
ถ้ากล้องของคุณมีระบบ Auto มันจะใช้แฟลชในการถ่ายภาพซึ่งจะทำลายภาพเงาดำ ในขั้นเริ่มต้นคุณต้องการแสงที่น้อยบนด้านหน้าของตัวแบบของคุณเท่าที่จะเป็นไปได้ (ขั้นพื้นฐาน  แต่ผมเคยเห็นการพยายามถ่ายภาพเงาดำโดยการยิงแฟลช)
3. หาแสงที่ถูกต้อง
เมื่อแสงมันส่องมาที่ตัวแบบคุณต้องโยนมันทิ้งออกไปจากสิ่งที่คุณเคยเรียนรู้มาในการถ่ายภาพและคิดในทางกลับกันแทนที่จะมีแสงด้านหน้าของตัวแบบ ในภาพเงาดำ คุณต้องแน่ใจว่ามีแสงส่องมาเพียงพอจากด้านหลังมากกว่าด้านหน้าในการถ่ายภาพ หรืออีกทางหนึ่ง คุณต้องการแสงยิงมาที่ด้านหลังของตัวแบบมากกว่าด้านหน้า แสงที่สมบูรณ์แบบสำหรับที่จะใช้กับตัวแบบของคุณที่อยู่ด้านหน้าแสงดวงอาทิตย์ขึ้น และตก แต่จริงๆ แล้วแสงสว่างอะไรก็ได้ที่สามารถทำสิ่งนี้ได้
4. การจัดกรอบภาพ
จัดกรอบภาพในการถ่ายเพราะคุณกำลังถ่ายภาพกับตัวแบบเรียบๆ ที่อยู่ด้านหน้ากับแสงสว่างที่อยู่ในฉากหลัง แต่ฉากหลังที่ดีที่สุดจะเป็นความสว่างของวันที่ไม่มีเมฆบนท้องฟ้ากับดวงอาทิตย์ที่ส่องมา คุณต้องวางตำแหน่งแหล่งกำเนิดแสงที่สว่างมากอยู่ด้านหลังตัวแบบ (หรือไม่ก็ซ่อนพวกมันเพื่อให้มันอยู่ในฉากหลังที่ใดที่หนึ่ง)
5. ให้รูปทรงของภาพเงาดำแยกออกอย่างชัดเจน และไม่ยุ่งเหยิง
ถ้ามีรูปทรงหรือวัตถุมากกว่าหนึ่งสิ่งในภาพที่คุณพยายามจะถ่ายภาพเงาดำ  ลองให้พวกมันอยู่แยกต่างหาก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจะถ่ายภาพเงาดำต้นไม้และคน อย่าให้คนอยู่ด้านหน้าต้นไม้หรือยืนพิงต้นไม้ซึ่งมันจะรวมเข้าเป็นรูปทรงเดียวและมีผลทำให้ผู้ชมภาพของคุณสับสนเกี่ยวกับรูปทรงว่ามันคืออะไร เมื่อเราจัดโครงสร้างร่างกายในการถ่ายภาพเงาดำผู้คนจะต้องถ่ายรูปหน้าด้านข้างมากกว่าการถ่ายภาพหน้าตรง ความหมายคือเห็นรูปทรงของพวกเขาที่เด่นชัด (จมูก ปาก หรือตา) จะเป็นเส้นรอบนอกหรือภาพร่างและพวกเขาสามารถจำได้
6. ในโหมดออโต้
ในกล้องถ่ายภาพที่ทันสมัยจะมีการวัดค่าแสงแบบออโต้ซึ่งดีมากในการวัดค่าแสงบนภาพเพื่อว่าทุกๆ สิ่งจะออกมาดี ปัญหาคือกล้องมันจะฉลาดที่จะให้ตัวแบบสว่างแทนที่จะมีค่าแสงที่ต่ำเพื่อจะได้ภาพเงาดำ ดังนั้นเราต้องหลอกพวกมัน กล้องทั่วไปจะวัดค่าระดับค่าแสงในโหมดออโต้เมื่อคุณกดปุ่มชัตเตอร์ลงไปครึ่งหนึ่ง (ในเวลาเดียวกับการโฟกัส) ดังนั้นคุณต้องให้กล้องของคุณเล็งไปที่ส่วนสว่างของภาพและกดชัตเตอร์ลงไปครึ่งหนึ่ง (อย่าปล่อยมัน) ดังนั้นให้คุณหันกลับมาที่เฟรมภาพที่คุณต้องการถ่ายตัวแบบที่คุณต้องการและก็ถ่ายภาพนั้น ถ้าเป็นกล้องดิจิตอลส่วนใหญ่จะให้ผลลัพท์ภาพเงาดำกับตัวแบบ ในการหลอกแบบนี้เพื่อให้กล้องคิดว่าส่วนที่สว่างของภาพคือค่าเท่ากลางดังนั้นทุกๆสิ่งจะมืดกว่า มันจะถ่ายภาพที่มีเงาสีดำอย่างส่วยงาม
กล้องดิจิตอลบางตัวจะมีการวัดค่าแสงแบบ “จุดเดียว” หรือ “ตรงกลาง”ซึ่งคุณสามารถใช้มันซึ่งช่วยกับเทคนิคที่อยู่ข้างต้นได้ดี ซึ่งพวกมันจะตั้งค่าวัดแสงอยู่ตรงกลางของภาพมากกว่าวัดค่าแสงจากหลายๆส่วนในภาพ  มันหมายถึงว่าคุณจะบอกกล้องอย่างแน่นอนว่า ส่วนที่สว่างด้านหลังเล็กๆที่คุณต้องการคือค่าแสงที่ต้องวัด
7. โหมด Manual
ถ้าเทคนิคนี้ไม่ได้ผลและกล้องของุณมีการควบคุมที่อนุญาตให้ตั้งค่าวัดแสงแบบ manual หรือ การชดเชยแสง คุณอาจจะชอบที่จะตั้งค้ด้วยตัวเอง สิ่งสวยงามของกล้องดิจิตลคือคุณสามารถทดลองในใจจนกระทั่งคุณได้ภาพ
ทางที่ง่ายในการเริ่มใช้โหมด Manual คือมองหาความเร็วชัตเตอร์และรูรับแสงซึ่งมันจะแนะนำในโหมด Auto และเริ่มจากที่นั่นถ้าโหมด Auto วัดค่าแสงบนตัวแบบของคุณสว่างมากไป (ตัวอย่าง คุณต้องทำให้มืดกว่า) ลดค่า stop ของความเร็วชัตเตอร์ หนึ่งหรือ สอง stop และดูว่ามันมีผลกระทบอย่างไร การใช้เทคนิค “การถ่ายภาพคร่อม” ซึ่งผมได้อธิบายคำแนะนำไว้ก่อนหน้านี้กับดวงอาทิตย์ขึ้นและตก เพื่อให้ได้ภาพถ่ายหลายๆภาพที่มีค่าแสงที่แตกต่างกัน
8. การโฟกัส
ในบางสถานการณ์คุณต้องการให้ตัวแบบถูกถ่ายเป็นเงาดำซึ่งเป็นสิ่งที่โฟกัสหลุดง่าย นี้คือสิ่งที่ได้อธิบายไว้ในหัวข้อที่ 4 ที่มันสามารถหลอกคุณในขณะที่คุณกดชัตเตอร์ลงไปครึ่งหนึ่งเพื่อจะได้ค่าที่ถูกต้องซึ่งคุณจะโฟกัสไปยังจุดในฉากหลัง เพื่อให้ได้ในสิ่งนี้ คุณต้องใช้กลวิธีอยู่ 2 อย่าง หนึ่งถ้ากล้องคุณโฟกัสแบบ manual คุณต้องเตรียมโฟกัสไว้ก่อนล่วงหน้าก่อนที่คุณจะวัดค่าและถ่าย สองใช้ค่ารูรับแสงที่มากสำหรับค่าชัดตื้นชัดลึก (สิ่งที่คุณต้องการให้ภาพอยู่ในโฟกัส) ตั้งค่ารูรับแสงที่เล็ก (เช่น จำนวนที่มาก) เพื่อเพิ่มค่าชัดตื้นชัดลึก ซึ่งมันหมายถึงคุณจะมีความคมชัดในฉากหน้าและฉากหลังในการถ่ายภาพ
ข้อแนะนำสุดท้ายสำหรับการถ่ายภาพเงาดำ ขณะที่ภาพเงาดำที่มีความสะอาดเรียบร้อยและตัวแบบมีสีดำเป็นการถ่ายที่ทรงพลัง ต้องพิจารณาบางส่วนของภาพเงาดำที่ซึ่งรายละเอียดของตัวแบบจะหายไป บางครั้งแสงที่ตกกระทบบนตัวแบบก็ทำให้เกิดภาพสามมิติ และดูสมจริง นี้คือการถ่ายภาพคร่อมที่สวยงามขณะที่มันทิ้งให้คุณได้เลือกว่าจะเก็บทั้งหมดหรือบางส่วนของภาพเงาดำ

52
แฟลชนอก (แฟลชที่ไม่อยู่บนตัวกล้อง) สำหรับการถ่ายภาพท่องเที่ยว....
โพสโดย Brook Mitchell  แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/off-camera-flash-for-your-travel-photography/
การใช้แฟลชอย่างสร้างสรรค์ในการถ่ายภาพท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่ทำให้คุณได้ภาพที่ก้าวไปอีกระดับหนึ่งได้ ขณะที่มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเรื่องการเริ่มต้นใช้แฟลชนอกซึ่งการแนะนำนี้จะเหมาะสำหรับคุณ มันจะให้คุณได้เริ่มต้นใช้เทคนิคกับอุปกรณ์ที่พกง่ายราคาไม่แพงขณะที่คุณเดินทางไปในที่ต่างๆ คำแนะนำนี้จะครอบคลุมถึงอุปกรณ์พื้นฐานที่คุณต้องการ และตัวอย่างในโลกของความเป็นจริงของเทคนิคที่แตกต่างที่คุณสามารถใช้ในการถ่ายภาพได้
ผมสมมุติว่าคุณมีความเข้าใจอย่างดีเกี่ยวกับการใช้กล้องในโหมด manual และมีประสบการณ์บ้างสำหรับพื้นฐานการใช้แฟลช เทคนิคที่จะพูดถึงนี้จะไม่ยากเกินไป และสามารถนำไปทดลองได้ที่บ้าน และทำให้คุณสามารถเตรียมตัวไว้สำหรับการเดินทางถัดไปกับทางเลือกใหม่ในการถ่ายภาพของคุณ
คุณรู้ว่า การถ่ายภาพที่มีแฟลชอยู่บนหัวกล้องจะทำให้ได้ภาพแบนๆกับตัวแบบ เมื่อเอาแฟลชแยกออกมาข้างนอกนั้นหมายถึงการลงทุนกับอุปกรณ์มากมาย มันจะไม่แพงมากหรือเพิ่มอุปกรณ์ที่มากเกินไปในกระเป๋าเดินทาง ผลลัพท์ของภาพที่ได้จากการลงทุนมันจะคุ้มค่ามาก...
สำหรับคำแนะนำนี้ ผมจะครอบคลุมทางเลือกที่แตกต่างจากการใช้เพียงแฟลชตัวเดียวที่สามารถควบคุมด้วยรีโมทและใช้ตัว softbox ขนาดเล็ก หรือ ร่มทะลุ การติดตั้งจะใช้ได้จริงในระหว่างเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเดินทางกับเวลาที่ไม่เร่งรีบ และไม่มีคนช่วยในการติดตั้งอุปกรณ์เหมือนในห้องสตูดิโอ
มีองค์ประกอบมากมายในการติดตั้งที่เป็นไปด้ซึ่งมีทางเลือกมากสำหรับราคา ปริมาณและผลลัพท์ เพียงอุปกรณ์ไม่กี่ชิ้นสามารถเพิ่มเข้าไปกับกล้องที่ใช้ฟังก์ชั่น manual และใช้เลนส์ที่เหมาะสมกับชนิดของภาพที่คุณต้องถ่ายมันออกมา
อุปกรณ์แฟลชนอกสำหรับการถ่ายภาพท่องเที่ยว


1. ตัวแฟลช
มันไม่เคยมีจำนวนทางเลือกที่กว้างมากเมื่อมันมีตัว speedlite หรือ flash gun ออกมาในตลาด จากตัวแฟลชอันดับต้นๆเช่น Canon และ Nikon speedlights ซึ่งมีราคาถึง 500 เหรียญสหรัฐ จนถึงยี่ห้ออื่นๆที่ยอดเยี่ยม มันทำให้ยากต่อการเลือกมาใช้งาน
การใช้แฟลชนอกเป็นการฝึกฝนที่ดีที่สุดโดยผ่านการควบคุมแบบ manual บนตัวแฟลชและตัวกล้อง สำหรับทางเลือกระดับขั้นเทพ คือ TTL (Through the Lens) ที่เป็นการวัดค่าของแฟลชซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญอีกแล้ว เพราะว่าในแฟลชยี่ห้ออื่นๆที่ถูกกว่าก็สามารถทำได้
เมื่อนานมาแล้ว ผมใช้แฟลช Canon 430 EX II ซึ่งมีขนาดกลางในตระกูลแฟลชของ Canon เมื่อเริ่มต้นแฟลชส่วนใหญ่ยังคงทำงานได้ แม้ว่าจะเป็นยี่ห้อที่ราคาถูกที่สุดก็สามารถยิงแสงแฟลชได้ และก็ให้คุณภาพแสงที่ดีเยี่ยม      
2. ตัวสั่งแฟลช
เมื่อคุณได้เลือกตัวแฟลช หรือ speedlight ที่เหมาะกับงบประมาณคุณแล้ว ตอนนี้ก็มาถึงขั้นตอนในการเลือกว่าจะยิงแฟลชด้วยการรีโมทอย่างไรซึ่งมีให้เลือกมากมาย
ตัวสั่งการด้วยคลื่นวิทยุ สามารถสั่งการยิงแฟลชจากอุปกรณ์เล็กที่ติดอยู่บนหัวกล้องที่ hot shoe และอีกตัวหนึ่งติดอยู่ที่ตัวแฟลช มันง่ายมากและถูกมากสำหรับการเริ่มต้นแบบนี้
คุณอาจจะเคยได้ยินระดับมืออาชีพที่เป็นเจ้าของอุปกรณ์ราคาแพง “Pocket Wizards” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สุดยอดในโลกของการใช้งานแฟลชนอก มันเป็นสินค้าที่ดีเยี่ยม แต่ตลาดก็เปลี่ยนไป ทางเลือกอย่างสินค้าราคาถูกเช่น Yongnuo หรือ Photix ที่มีราคาที่แตกต่างและให้คุณภาพของการใช้งานที่ดีด้วย
ตอนนี้ผมใช้ตัวสั่งแฟลชนอกของ Yongnua YN-622C ซึ่งทำงานได้อย่างสมบูรณ์กับการเดินทางที่ยากลำบากในบางครั้ง นี้คือทางเลือกสำหรับกล้อง Canon 5D 3 ของผม ซึ่งผมสามารถปรับค่ากำลังแฟลชโดยผ่านตัวเมนูของกล้องซึ่งมีประโยชน์มาก แม้ว่ามันไม่สำคัญ
3. ตัวขยาย
ขณะที่แฟลชทั่วไปสามารถให้ผลลัพท์ที่น่าพอใจ  แต่ “แสงที่แข็ง” ก็ไม่ได้เป็นที่พึ่งพอใจกับการถ่ายภาพบุคคลซึ่งมีผู้คนจะมองดูผลงานในภาพถ่ายท่องเที่ยว
แสงนุ่ม ถูกทำโดยใช้ตัวขยายแฟลช มันคือหนทางธรรมดาทั่วไปที่จะทำให้ตัวแบบของคุณดูแบนๆ แต่ก็อีกนั่นแหละมันไม่ใช่จุดจบของเรื่องนี้ ตัวกรองแสงขนาดเล็ก หรือ ร่ม เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดและยังคงเป็นสิ่งอเนกประสงค์ในการถ่ายภาพ
ร่มทะลุที่มีสีขาวมีราคาที่ถูกและเก็บง่าย และยังให้แสงนุ่มๆที่กว้างซึ่งสามารถใช้ในการถ่ายภาพบุคคล ข้อจำกัดของร่มแบบนี้คือ ถ้าคุณเป็นช่างภาพท่องเที่ยว คุณจะไม่ออกไปถ่ายนอกสถานที่ ลมที่พัดมาไม่ว่าจะแบบไหนในขณะที่คุณถ่ายภาพ มันจะทำให้คุณต้องร้องอุทานออกมาเมื่อคุณเห็นอุปกรณ์มันคว่ำลง หรือ ร่มมันพับกลับด้านด้วยตัวมันเอง
การจัดการที่ง่ายคือตัวกรองแสงขนาดเล็ก แม้ว่ามันจะกระทัดรัดในการขนย้ายหรือง่ายในการติดตั้ง แต่มันก็มีความแข็งแรงและให้แสงที่นุ่มที่เป็นประโยชน์ในการถ่ายภาพบุคคล ปัจจุบันนี้ผมใช้ตัว Photoflex Light Dome XS ขนาดเล็ก เมื่อหลายปีที่ผ่านมาจนถึงเดี๋ยวนี้โดยไม่มีความเสียหายใดๆ มีทางเลือกมากมายในการจัดหา หรือแม้แต่จะทำขึ้นมาด้วยตัวเอง (DIY) ที่คุณสามารถหาได้ในโลกออนไลน์
4. ขาตั้งไฟ
นี้คืออุปกรณ์ทางเลือกที่จะช่วยคุณ หรือเป็นแค่ตัวแท่งเหล็กยาวที่หนักในกระเป๋าคุณ ในบางสถานการณ์คุณสามารถขอให้ใครบางคนช่วยถือแฟลชหรือตัวกรองแสง และชักชวนเพื่อนและคนในครอบครัวที่เป็นตัวแบบของคุณให้ช่วยถือซึ่งสามารถช่วยให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลาย ถ้าคุณตัดสินใจว่าจะเอาขาตั้งไฟไปด้วย มันเป็นสิ่งที่มีค่าที่จะเลือกหาของราคาถูกในอีเบย์ จากประสบการณ์เราจะไม่ยอมจ่ายจนกว่าจะได้เปิดเห็นของก่อน ชุดขาตั้งไฟที่มาเป็นชุดจะสะดวกกระทัดรัดและแข็งแรง
5. แฟลชเจล
CTO (Colour Temperature Orange) เจลสี คือตัวแผ่นพลาสติกที่คุณนำไปติดไว้ที่หน้าแฟลชซึ่งจะมีหลากหลายอุณหภูมิสีของแสงที่ตกกระทบบนตัวแบบ การใช้หรือไม่ใช้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล แผ่นพลาสติกเหล่านี้มีราคาถูกและหาซื้อได้ง่ายในออนไลน์ ซึ่งชุดตัวอย่างจะมีการนำเสนอจากหลายๆบริษัทเป็นสิ่งที่ดีในการนำมาทดลองใช้ โดยการติดตัวสายรัดตีนตุ๊กแกเข้าไปที่ด้านข้างตัวแฟลชและก็ติดตัวเจลบนหน้าแฟลชโดยให้สายรัดยึดเอาไว้
6. ตัวกรองแสง ND
อีกตัวเลือกหนึ่งของอุปกรณ์กรองแสง การใช้ตัวกรองแสง ND (Neutral Density) กับแฟลชนอก เป็นการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ในคลังแสงของคุณ การใช้ตัว ND ทำให้เพิ่มเรื่องราวในภาพของคุณได้กับฉากหลังที่มีค่าแสงที่ต่ำและหรือให้ความชัดตื้นมากกว่า
ผมใช้ตัวกรองแสง ND ของ Lee แบบ 3 stop ซึ่งติดอยู่กับตัวจับแผ่นกรองแสงของ Cokin Z Pro อีกครั้งหนึ่งนี้ไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในการติดตั้งแฟลช และบางสิ่งที่เพิ่มเข้าไปเพื่อให้คุณรู้สึกสะดวกสบายขึ้น

การถ่ายภาพด้วยแฟลชนอกสำหรับการถ่ายภาพท่องเที่ยว
เมื่อคุณได้ทำการติดตั้งและทำการฝึกฝนใช้งานเพื่อให้การทำงานใช้เวลาที่เร็วกว่าเท่าที่เป็นไปได้โดยปราศจากความกังวล มันสะดวก คล่องแคล้วที่สามารถทให้ทุกสิ่งเร็วเท่าที่เราสามารถทำได้ เมื่ออยู่บนถนนคุณไม่ต้องการใช้เวลาส่วนตัวของใครบางคนที่มีค่ามากเกินความจำเป็น เชื่อมั่นในอุปกรณ์ของคุณและถ่ายในรูปแบบของคุณเองมันจะช่วยวางตัวแบบของคุณให้ง่ายขึ้น
สำหรับตัวอย่างต่อไปนี้จะถูกแตกออกไปเป็นสองแบบหยาบๆในการถ่ายภาพด้วยแฟลชนอก สิ่งแรกคือเทคนิคของการสร้างสมดุลระหว่างแฟลชกับแสงที่อยู่ล้อมรอบ (available light) ภาพที่ถ่ายออกมาจะเป็นส่วนของแสงจากแฟลชเบาบางและผสมกับฉากหลังของตัวแบบ สิ่งที่สอง คือ เทคนิคของการทำให้ค่าแสงล้อมรอบ หรือ แสงฉากหลังต่ำลง และใช้ความขัดตื้นชัดลึกเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับภาพ
หลักปฎิบัติที่ต้องจำกับการใช้แฟลช คือ การตั้งค่ารูรับแสง บวกกับ ค่ากำลังของแฟลช เพื่อควบคุมแสงแฟลชบนภาพถ่าย ความเร็ว shutter จะควบคุมแสงล้อมรอบ และแสงของฉากหลัง
เทคนิคที่ 1 การสร้างสมดุลระหว่างแฟลชกับแสงล้อมรอบ
ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ Natarajan, Little Andaman Island, India

ผมได้พบกับชายสูงวัยก่อนหน้านี้ไม่กี่วันในการถ่ายภาพครั้งนี้ เมื่อเวลาที่เราพบกันเขาเป็นคนที่อายุแก่ที่สุดที่อาศัยอยู่ในส่วนของหมู่เกาะอันดามันตั้งแต่เกิดสึนามิในปีค.ศ. 2004 ผมต้องการถ่ายภาพเขาสำหรับหนังสือนิตยสาร โดยเวลานั้นผมได้ถ่ายภาพเขาในช่วงเย็นวันหนึ่ง มันค่อนข้างจะมืดและมีแสงล้อมรอบที่สลัวทางด้านซ้าย นี้คือเวลาที่ดีมากในการที่จะแยกแฟลชออกมาสำหรับการถ่ายภาพบุคคล

หลังจากที่ติดตั้งตัว softbox ขนาดเล็กและติดตั้งรับสัญญาณสำหรับยิงแฟลช ผมได้ลองดูแสงล้อมรอบและตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์และค่า ISO ที่ให้แน่ใจว่าภาพคมชัด ดังนั้นผมเลือกค่ารูรับแสงที่ f/4 กับเลนส์เทเลโฟโต้ ที่จะช่วยให้ฉากหลังหลุดโฟกัส กับการตั้งค่าแบบนี้โดยปราศจากการใช้แฟลช คุณ Natarajan จะมืดและดูแบนๆ เมื่อเพิ่มแฟลชเข้าไปทำให้ภาพถ่ายบุคคลดูดีกว่าโดยเน้นความมีพลังบนใบหน้าและสร้างแสงบนแววตาด้วย (แสงสะท้อนของแฟลชบนดวงตาของตัวแบบ)
 
ผมได้ขอให้เพื่อนของผม คุณ Stephan ช่วยถือแฟลชในตำแหน่งทำมุม 45 อางศาทางด้านซ้ายของกล้องและไม่ได้อยู่ในเฟรมของกล้อง เล็งไปยังใบหน้าด้านซ้ายของคุณ Natarajan (ดูภาพประกอบ ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ผมเริ่มใช้แฟลชที่ตั้งค่าโหมด Manual และตั้งค่ากำลังแฟลช ที่ 1/16 ในการถ่ายภาพ ถ้าแสงแฟลแรงมากคุณสามารถลดกำลังลงได้เรื่อยๆ  ในการถ่ายภาพบุคคลลแบบง่ายนี้ แสงแฟลชจะเหมาะสมกับรูปทรงของใบหน้าตัวแบบอย่างชัดเจน
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) Laura Dance Festival, Cape York, Queensland, Australia

ในภาพข้างบนนี้ผมถ่ายภาพเด็กผู้ชายหนุ่มจากชนพื้นเมืองเผ่า Injanoo จากทางเหนือของหมู่เกาะควีสแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ในระหว่างการฉลองการเต้นรำ Laura Dance สองครั้งต่อปี ชนเผ่ากลุ่มนี้จะมารวมกลุ่มกันเพื่อเต้นรำและฉลองประเพณีวัฒนธรรมโบราณกับคนภายนอก  หลังจากที่ผมถ่ายท่าทางการเต้นอยู่สักพัก ผมก็พยายามมองหาเด็กๆกำลังฝึกท่าเต้น กับแสงดวงอาทิตย์ที่ถูกกรองผ่านต้นยูคาลิปตัสรอบๆแคมป์ไฟที่พวกเขาอยู่

กับผู้ช่วยกองทับเล็กๆ ผมแยกตัว softbox และตัวสั่งแฟลช ทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้เก็บแสงอาทิตย์ที่เป็นองค์ประกอบในการถ่ายภาพ สำหรับภาพนี้ภาพใช้เจลสีที่เข้มบนตัวแฟลชเพื่อให้แสงคล้ายแสงอาทิตย์ มันไม่แน่นอนแต่มันก็ให้แสงที่อุ่น ซึ่งมันจะให้ดูเหมือนว่าเป็นช่วงเวลาเย็น
ผมได้ขอให้เด็กคนนี้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ดวงอาทิตย์อยู่ด้านหลังตรงศีรษะของเขา และก็วัดแสงสำหรับฉากหลัง แสงล้อมรอบ ผมเลือกที่จะถ่ายในมุมที่ต่ำซึ่งมันจะช่วยเน้นพลังของตัวแบบ
ผมตั้งค่าแฟลชในโหมด manual และตั้งค่ากำลังแฟลชที่ 1/16 ซึ่งตั้งอยู่ด้านขวาของตัวแบบ เวลานี้เองแฟลชของผมก็ถูกถือด้วยนักเต้นรำหนุ่มที่ยืนอยู่เหนือไหล่ของผมมาทางด้านขวาของกล้อง (ดูภาพประกอบ ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ
 
ในภาพสุดท้าย ไฮไลท์จะถูกแก้ไขในขั้นตอนการแก้ไขภาพ และเพิ่มขอบมืดเข้าไป  แสงหลังของตัวแบบ (แสงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลังตัวแบบ) จะช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวา กับแสงแฟลชที่ส่องลงตัวแบบ ถ้าไม่เช่นนั้นมันจะมืดมากถ้าไม่มีแฟลช
เทคนิคที่ 2 Underexposing กับตัวกรองแสง ND เพื่อความน่าตื่นเต้นเร้าใจ
(ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ)  Adrian, The Marrinyama Mob
ภาพข้างบนนี้จากการถ่ายในส่วนหนึ่งของควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ในบางปีผู้ชายจะใช้ชีวิตในแบบดั้งเดิม การล่าสัตรว์ การเต้นรำ และฝึกความทนทานเริ่มต้นกับเด็กรุ่นเยาว์ มันเป็นช่วงฤดูร้อนและผมก็ทำงานเพียงลำพังกับอุณภูมิของทะเลทราบที่แห้งแล้งและมีลมแรงพัดเอาฝุ่นสีแดงที่อยู่รอบๆแคมป์ซึ่งพวกเขาเรียกว่า บ้าน
ในสถานการณ์นี้ที่ทำให้เราต้องคุณต้องดูอุปกรณ์ของคุณ และเชื่อมันว่าอะไรก็ตามที่กำลังทำจะประสบความเร็จและนี้คือสิ่งที่สำคัญ ร่มที่บางและขาดง่าย หรือตัวกระจายแสงขนาดใหญ่สำหรับใช้กับแฟลชจะเป็นสิ่งที่ยากในการบริหารจัดการด้วยตัวคุณเอง ผมเลือกที่จะใช้ softbox ขนาดเล็ก ติดอยู่บนขาตั้งไฟ และก็ทำงานในการถ่ายภาพด้วยจินตนาการก่อนที่จะถ่ายภาพ
สำหรับการถ่ายคุณ Adrian มีการติดตั้งที่พิเศษนิดหน่อย ผมต้องการชัดตื้นชัดลึกสำหรับภาพบุคคลที่ดูเร้าใจตื่นเต้น  นี้คือสิ่งที่ทำให้มันสำเร็จคือใช้ตัวกรองแสง ND 3 stop เพื่อกรองให้แสงฉากหลังลดลงขณะที่ได้ควาชัดตื้นที่ค่ารูรับแสง f/2.8
 
แฟลชจะถูกตั้งไว้ที่เต็มกำลังทางด้านซ้ายของกล้องที่ไม่เข้ามากรอบภาพของกล้อง (ดูภาพประกอบด้านบน) ผลก็คือ แฟลชจะทำให้โดดเด่นกว่าปกติกับฉากหลังที่มีค่าแสงที่ต่ำและเบลอแบบสวยงาม
วีดีโอด้านล่างนี้ (ดูวีดีโอประกอบ ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) คือสิ่งที่ถ่ายใน Arnhem Land ทางเหนือของประเทศออสเตรเลีย ตัว softbox แฟลช ตัวสั่งแฟลชจะติดตั้งจะแสดงให้เห็นในช่วงท้ายของวีดีโอ อีกครั้งหนึ่ง แฟลชจะช่วยระหว่างที่ไม่มีความคิดเรื่องสถานการณ์ของแสงในการเดินทางครั้งนี้ ดวงอาทิตย์ถูกกรองแสงผ่านควันที่เผาพุ่มไม้ด้านหลังของคุณ Tom ซึ่งช่วยสร้างความมีชีวิตชีวาในภาพ กับแฟลชที่ตั้งค่าแสงที่ถูกต้องบนใบหน้าของเขา แฟลชถูกถือให้ใกล้กับคุณ Tom กล้องของผมอยู่ด้านขวา และยิงแฟลชที่ค่ากำลัง 1/16
ผมหวังว่าการแนะนำนี้จะให้คุณเริ่มต้นทำงานกับแฟลชนอกในการเดินทางท่องเที่ยวของคุณ มีคำแนะนำมากมายที่หลากหลายมุมมองที่พูดถึงในที่นี้ ขอให้มีความสุขในการถ่ายภาพ

53
ห้าคำแนะนำที่ช่วยให้คุณช้าลงและถ่ายภาพได้ดีกว่า
โพสโดย Simon Ringsmuth แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/5-tips-help-slow-take-better-photos/
เมื่อคุณออกไปถ่ายภาพมันสามารถยั่วยวนใจให้เริ่มถ่ายในทางที่ถูกต้องกับเป้าหมายที่คิดไว้ว่าอยากจะได้ภาพอะไรและจับภาพที่สมบูรณ์แบบ แต่ก่อนที่คุณจะเอากล้องออกมามันอาจจะดีที่จะทำในทางตรงข้ามกันและช้าลง  การช้าลง ลองใช้เวลาสักครู่ในการพิจารณาถึงบทเรียนในนิยายในสมัยเด็กคือเรื่องเต่ากับกระต่ายป่า การเหน็บแนม สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งซึ่งคุณสามารถทำเมื่อแรงบันดาลใจเข้ามาคือการเคลื่อนที่ช้าๆเหมือนอย่างเต่าดีกว่าไปอย่างรวดเร็วเหมือนกระต่ายป่า แม้ว่าเต่าอาจจะไม่ใช่สัตว์ที่เคลื่อนตัวเร็วในทุ่งนา แต่มันก็เดินไปและถึงเส้นชัยขณะที่กระต่ายป่ารู้สึกเหนื่อยอ่อนในการแข่งขันและยอมแพ้โดยสิ้นเชิง เหมือนกับช่างภาพมันมีความยั่วยวนเหมือนกระต่ายป่าและพยายามแข่งขันในการถ่ายภาพให้สมบูรณ์ที่สุด แต่ถ้าคุณดูเต่าคุณจะเห็นว่ามันเป็นตัวอย่างที่ดีในการติดตาม
และนี้คือห้าคำแนะนำที่ช่วยให้คุณช้าลงและถ่ายภาพได้ดีกว่า
1. ศึกษาสิ่งที่อยู่ล้อมรอบตัวคุณ
สิ่งที่เป็นตัวสำคัญสิ่งหนึ่งในการถ่ายภาพคือ กรอบภาพ ตัวแบบของคุณได้ถูกวางองค์ประกอบที่เข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างไร? คุณอาจจะพิจารณาถึงตัวแบบในภาพของคุณ (เด็กๆ, ยานพาหนะ, รูปปั้น, ดอกไม้ และอื่นๆ) แต่ก่อนที่คุณจะได้ภาพลงบน SD การ์ด ลองใช้เวลาไม่กี่นาที หรือมากกว่าในการพิจารณาถึงตัวแบบที่มีความสัมพันธ์กับทุกๆสิ่งในบริเวณนั้น ตัวอาคาร บ้าน หรือสิ่งที่ถูกสร้างด้วยมือมนุษย์สามารถทำให้ตัวแบบเด่นตระหง่านได้ไหม? สิ่งแวดล้อมธรรมชาติเช่น ต้นไม้ พุ่มไม้หรือโครงสร้างหิน สามารถที่จะเน้นหรือสร้างสีสันให้กับตัวแบบคุณได้ไหม? โดยการหยุดพิจารณาทุกๆสิ่งที่อยู่ล้อมรอบตัวแบบ คุณจะสามารถตัดสินใจได้ดีกว่าว่าคุณจะเก็บภาพในขณะนั้นอย่างไร
เมื่อผมมองรูปปั้น Saint Francis ในวันที่ฟ้าหม่นตอนเช้า ผมได้พิจารณาไม่เพียงแต่รูปปั้นครึ่งตัวแต่อย่างอื่นที่ช่วยในการจัดกรอบภาพด้วย  ทางเลือกที่เร็วที่สุดและสะดวกคือการเล็งกล้องของผมต่ำลงและจับภาพ แต่โดยการทำให้ช้าลงและใช้เวลาในการพิจารณาทุกๆสิ่งที่อยู่ล้อมรอบรูปปั้นนั้น มันคือผลลัพท์ที่ได้ภาพที่น่าประทับใจ ผมจบลงด้วยการย่อตัวลงให้ต่ำถึงพื้นและใช้ฉากหลังเพื่อให้ผู้ชมได้รู้สึกถึงช่องว่างและสิ่งแวดล้อม โดยการพิจาณาถึงสิ่งแวดล้อมและใช้เป็นตัวเลือกของผมในการถ่ายภาพ ผมสามารถได้ภาพที่ดีกว่าวิธีอื่นที่ผมมี


2. คอยแสง
คุณอาจจะไม่ต้องมีแฟลชตัวใหญ่ๆ หรือ ไฟสตูฯและsoftbox แต่คุณสามารถได้ภาพที่น่าอัศจรรย์โดยการใช้แหล่งกำเนิดแสงที่ดีที่สุดจากทุกๆที่ นั่นคือ แสงอาทิตย์ ในอีกแง่หนึ่งคุณต้องมีความอดทนถ้าคุณต้องการใช้มันในการเติมเต็ม มันอาจจะไม่ง่าย แต่มีเทคนิคที่ดีที่สุดที่คุณสามารถใช้ข้อดีของแสงธรรมชาติได้คือการอดทนและการรอคอยจนกระทั่งมันเหมาะสมกับความต้องการในภาพถ่ายของคุณ วันที่ฟ้าสว่างแจ่มใสไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการออกไปถ่ายภาพ ขณะที่ดวงอาทิตย์ตั้งตรงมันทำให้เกิดแสงแข็งกระด้างและทำให้มีความเปรียบต่างสูงโดยเฉพาะถ้ามีต้นไม้ ตึกอาคารหรือสิ่งอื่นที่ทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่
แทนที่จะใช้วิธีการเดียวกับเต่าและคอยจนกระทั่งดวงอาทิตย์อยู่ต่ำลงบนเส้นขอบฟ้า ชั่วโมงหรือก่อนดวงอาทิตย์ตกคือเวลาที่ดีที่สุดที่จะออกไปเก็บภาพ ขณะที่ดวงอาทิตย์ทำมุมต่ำมันก็สร้างแหล่งกำเนิดแสงที่น่าพึงพอใจอย่างมากกว่าเมื่อดวงอาทิตย์อยู่กลางศีรษะ อีกช่วงเวลาที่ดีในการถ่ายภาพที่เป็นธรรมชาติคือหลังดวงอาทิตย์ตก ขณะที่คุณยังคงอยู่มุมต่ำและมีสีอุ่น ผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อถ่ายภาพนี้ที่เป็นรูปปั้นสีทองแดงผู้ซึ่งบางคนตกแต่งด้วยพวงมาลัย แต่โดยการคอยเพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องมาตามที่ผมต้องการ ดีกว่าปล่อยให้มันเกิดขึ้น ผมสามารถได้ภาพที่ดีกว่า มันอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่เร็วที่สุดแต่มันก็ทำให้ได้ภาพที่ดีกว่า
3. เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
การถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าไม่จำเป็นจะต้องมีเลนส์เทเลฯ แต่มันต้องการความอดทน ถ้าคุณต้องการถ่ายภาพสัตว์ที่อยู่รอบตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นสนามหญ้าหลังบ้าน หรือการปีนขึ้นไปบนภูเขา สิ่งที่ดีที่สุดคือการอดทนและปล่อยให้ธรรมชาติเข้ามาหาเรา สัตว์ต่างๆจะได้ยินคุณกำลังเข้ามาและมันก็จะหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าคุณปักหลักในจุดที่ดีและคอยพวกมัน คุณจะได้การตอบแทนกับโอกาสการถ่ายภาพที่มีอิทธิพลกับพวกมัน ในช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมต้องการถ่ายภาพกะรอก ผมเริ่มจากการติดตามมันที่อยู่รอบๆขณะที่มันมองหาเม็ดถั่วและผลของต้นโอ๊ก ผมตระหนักว่านี้คือแบบฝึกหัดที่ไร้ประโยชน์ขณะที่มันวิ่งหนีไปจากผม ดังนั้นผมจึงเลือกหนึ่งที่ที่จะอยู่และคอยมัน หลังจากนั้นไม่นานมันก็คลานจากด้านหลังและเริ่มคุ้ยหารอบๆใกล้ตัวผม และผมก็สามารถที่จะได้ภาพมัน (ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ธรรมาชาติเป็นสิ่งที่เอาแน่นอนไม่ได้และบ่อยครั้งที่จะปฎิเสธกับการเชื่อฟังอะไรก็ตามที่ดูเหมือนจะมีเหตุผล (“อยู่ตรงนั้นนะเจ้านกน้อย...ไม่ ไม่นะอย่าบินหนี) แต่ถ้าคุณใช้เวลาในการเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ และปล่อยให้พวกมันเข้ามาหาคุณ คุณจะได้รับสิ่งตอบแทนกับภาพที่ดีกว่าที่คุณจะเร่งรีบมัน

4. ปล่อยให้เด็กๆ เป็นตัวของเขาเอง
การพยายามถ่ายภาพเด็กๆให้ดีนั้นสามารถทำได้ในช่วงเวลาที่ไม่ใช่วันเกิด หรือการไปสวนสาธารณะตอนบ่าย สำหรับหลายคนโดยสัญชาตญาณทุกอย่างจะอยู่ในการควบคุม “ทุกๆ คนมองทางนี้” พูดว่า ชีสสส” สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ เด็กคนหนึ่งจะยิ้ม คนหนึ่งจะกระพริมตา คนหนึ่งจะเริ่มออกไปข้างๆ และเด็กบางคนก็ร้องไห้ มันดูเหมือนว่าการถ่ายภาพเด็กๆให้ดีนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่ขอบคุณ มันยังมีความหวัง แทนที่เราจะเร่งรีบเหมือนกระต่ายป่าในการสร้างบัตรเชิญในการถ่ายภาพ ลองทำในวิธีตรงกันข้ามและปล่อยให้เด็กๆ ได้เล่น ตั้งกล้องของคุณให้พร้อม และใช้มันในการจับภาพเด็กๆ ขณะที่เขาป็นตัวของเขาเอง คุณสามารถที่จะคอยเป็นบางช่วง แต่คุณ (และเด็ก) จะรู้สึกสนุกกับมันในวิธีการแบบนี้   (ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ผมถ่ายภาพลูกสาวเพื่อนขณะที่เขาและลูกชายผมกำลังเล่นในสนามที่สกปรก แม้ว่าจะใช้เวลาสักพักและผมต้องมายุ่งกับการปรับแต่งภาพ ผมจบด้วยภาพที่มีความน่าสนใจมากกว่าการถ่ายก่อนหน้านี้ ข้อดีของวิธีการนี้มันเกิดขึ้นหลังหนึ่งเดือนผ่านไปเมื่อคุณกำลังมองที่ภาพของคุณ การโพสท่าถ่ายรูปเด็กๆกำลังยิ้มมาที่กล้องอาจจะดูเป็นความคิดที่ดี แต่หลังจากนั้นคุณพบว่ามันไม่น่าสนใจเหมือนกับการที่ปล่อยให้เด็กๆ กำลังเล่นและแสดงท่าทางตามธรรมชาติของเขา แต่ถ้าคุณไม่มีความตั้งใจในการอดทนและคอยสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น พวกเขาก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็วและจะหายไปตลอดกาลโดยปราศจากการสังเกต
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)  ไม่มีห้องสตูดิโอ ไม่มีกล้องพิเศษอะไร เพียงแต่แสงอาทิตย์และความอดทน
5. เรียนรู้ฟังก์ชั่นกล้องใหม่และเรียนมันอย่างดี
กล้องถ่ายภาพในปัจจุบันนี้มีหลายทางเลือก ปุ่มกด และหมุน ไม่แปลกใจเลยที่หลายๆ คนถ่ายในโหมดออโต้ และผมก็จะไม่กล่าวโทษพวกเขาที่ทำแบบนั้น การเรียนรุ้ในการใช้งานกล้องของคุณสามารถกลายเป็นงานที่น่ากลัวและถ้าการถ่ายภาพด้วยโหมดออโต้แล้วได้ภาพที่ดีเพียงพอ ทำไมต้องไปดูเมนูหรือปุ่มบิดละ? ผมเห็นหลายๆคนพยายามที่จะเรียนรู้วิธีการปรับกล้องเพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่ดีกว่า แต่ก็ล้มเลิกในความสับสนเพราะมันมากมาย ข้อแนะนำคือเลือกมาหนึ่งอย่างและเรียนรู้มันและในการปรับค่าที่แตกต่างมากมายและภาพถ่ายจะค่อยๆเริ่มตามมา
ตัวอย่าง ถ้าคุณถ่ายในโหมดออโต้ พยายามเปลี่ยนมาใช้ โหมดค่ารูรับแสง (AV หรือ A บนกล้องของคุณ) และเรียนรู้ในการควบคุมค่ารูรับแสงในกล้องของคุณเพื่อให้ได้ภาพที่ดี อย่าไปกังวลกับความเร็วชัตเตอร์, ISO, หรือไวท์บาลานซ์, AE-L หรืออะไรก็ตาม ทุกสิ่งมันสำคัญแต่มันคอยได้ เมื่อคุณใช้เวลากับมันสักระยะหนึ่ง อาจจะหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือนานกว่านั้นในการลองปรับค่ารูรับแสง ดังนั้นให้เราเปลี่ยนไปโหมดอื่น เช่น โหมดชัตเตอร์ (S หรือ TV บนกล้องของคุณ) ขณะที่คุณควบคุมความเร็วชัตเตอร์และปล่อยให้กล้องควบคุมในส่วนที่เหลือ คุณจะเริ่มเห็นว่าแต่ละรูปแบบทำงานอย่างไร (รูรับแสง ชัตเตอร์ และ ISO) ที่มีผลกับอีกอันหนึ่ง และจะควบคุมพวกมันอย่างไรเพื่อให้ได้ผลลัพท์การถ่ายที่อัศจรรย์ซึ่งมันช่วยในการหลบหลีกความเข้าใจของคุณ
โดยการที่ติดอยู่กับเลือกใช้ฟังก์ชั่นหนึ่งในกล้องใหม่ของคุณ คุณอาจจะไม่ได้เรียนรู้ทุกๆสิ่งที่เกี่ยวกับกล้องของคุณเร็วเท่ากับคุณต้องการ แต่คุณจะต้องหลีกเลี่ยงความสับสนและความเหนื่อยล้าซึ่งเกิดจากความพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆมากมายในครั้งเดียว  หลังจากที่กระต่ายป่าอาจจะออกตัวเร็ว แต่เราก็รู้ว่าจะหยุดอย่างไร ในการถ่ายภาพมันใช้เวลาเหมือนกับเต่า การเริ่มต้นช้าอาจจะดูเหมือนเป็นความคิดที่ไม่ดีนัก แต่มันช่วยคุณให้ได้ผลลัพท์ที่วิเศษสุดในตอนท้าย

54
คำแนะนำแต่ละขั้นตอนในการเปิดค่ารับแสงที่นานในการถ่ายภาพ

โพสโดย Francesco Gola แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/step-by-step-guide-to-long-exposure-photography/

ในหลายปีที่ผ่านมา ต้องขอบคุณอุปกรณ์ตัวกรองแสงที่เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์ในการกรองแสงเพื่อการถ่ายภาพที่ได้คุณภาพที่ดีและราคาถูก เทคนิคการตั้งค่ารับแสงที่นานกลายเป็นสิ่งที่นิยมมากขึ้นในการถ่ายภาพ แม้ว่าเทคนิคนี้สามารถใช้ได้ทั้งในสตูดิโอ และสภาพแวดล้อมในเมือง แต่สิ่งที่เหมาะสมที่สุดในการเปิดค่าการรับแสงที่นานคือการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์
โชคไม่ดีเท่าไรบ่อยครั้งเมื่อมันได้ผลลัพท์ที่ไกลเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ และเราจบมันด้วยว่าการเปิดค่ารับแสงที่นานกลายเป็นเทคนิคเหมือนคนถูกผีสิง อย่างไรก็ดีลองดูคำแนะนำแต่ละขั้นตอนในการถ่ายภาพด้วยการเปิดค่ารับแสงที่นาน คุณจะเห็นว่ามันง่ายแค่ไหนที่จะได้ผลลัพท์ที่ดีในการพยายามครั้งแรก (หรือเกือบจะทุกครั้ง)

ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพดินฟ้าอากาศ

วันที่ปราศจากเมฆบนท้องฟ้าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะนั่งดื่มเบียร์กับเพื่อนๆ ไม่เหมาะกับการถ่ายภาพแบบเปิดค่ารับแสงนานๆ ยิ่งกว่านั้นมันไม่มีฝนอีกด้วย ดังนั้นอย่างเพิ่งยกเลิก คุณควรจะศึกษาภาพถ่ายจากดาวเทียมมากกว่าในเว็ปไซต์กรมอุตุนิยมฯ ลองดูว่ามันจะมีพายุเข้ามา หรือถ้ามันเป็นฝนห่าใหญ่ในที่สุด

ขั้นตอนที่ 2 ควรไปยังสถานที่ที่ต้องการถ่ายภาพก่อนล่วงหน้า

การสังเกตการณ์ในสถานที่ก่อนเวลามันทำให้คุณต้องการเวลาที่จะค้นหาองค์ประกอบภาพที่เหมาะ หรืออย่างน้อยก็ใช้เวลาที่มากกว่าในการถ่ายภาพแบบเปิดค่ารับแสงสั้นๆ  ในความเป็นจริงในการเปิดค่ารับแสงที่นานคือสิ่งที่แตกต่างจากที่คุณมองเห็นด้วยตาเปล่าของคุณ คุณต้องพยายามมองเห็นมันด้วยความคิด ค้นหาองค์ประกอบภาพที่เข้ากันได้ดีที่รวมถึงตัวแบบที่เคลื่อนไหว พยายามคาดเดาทิศทางของเมฆ หรือกระแสคลื่นของทะเล พยายามอย่าเอาดวงอาทิตย์เข้ามาในองค์ประกอบภาพเพราะว่าการเคลื่อนไหวของมันจะทำให้ภาพได้รับค่าแสงที่มากเกินไปที่เราไม่สามารถดึงมันกลับมาได้ ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ให้รอจนดวงอาทิตย์ถูกซ้อนอยู่หลังก้อนเมฆ

ขั้นตอนที่ 3 ใช้ขาตั้งกล้อง

ติดตั้งกล้องบนขาตั้งกล้องและติดตั้งอุปกรณ์อื่นๆ เช่นตัวรีโมทชัตเตอร์และตัวจับฟิวเตอร์ (ถ้าคุณใช้ฟิวเตอร์แบบแผ่นที่ต้องเสียบ) อย่างไรก็ตาม คอยจนกว่าจะได้มีการติดตั้งฟิวเตอร์ที่แน่นอนแล้ว สำคัญมาก

ขั้นตอนที่ 4 ปรับตำแหน่งการวางองค์ประกอบภาพและล๊อคการโฟกัส

ปรับแต่งองค์ประกอบภาพของคุณ โฟกัสไปที่ตัวแบบและล๊อคการโฟกัส ถ้าคุณใช้โหมด แมนนวลในการโฟกัส ต้องทำมันทันที ถ้าคุณกำลังใช้โหมด ออโต้โฟกัส คุณควรจะโฟกัสโดยการกดปุ่มชัตเตอร์ไปครึ่งทาง จนกระทั่งโฟกัสได้ล๊อคไว้แล้ว ขณะที่กดปุ่มค้างไว้ครึ่งทาง ก็ให้ปรับค่าจาก ออโต้โฟกัส มาเป็นแมนนวล ในเวลานี้กล้องของคุณจะรักษาการโฟกัสไว้ (หรืออีกทางเลือกคือคุณสามารถใช้ปุ่มด้านหลังกล้องในการโฟกัสได้)

ขั้นตอนที่ 5 ตั้งค่ารับแสง

ในเวลานี้เองการตั้งค่ากล้องของคุณเป็นโหมด M (แมนนวล) หรือโหมด A/Av ให้ตั้งค่ารูรับแสงในค่าที่เหมาะสมกับวิวที่เห็น (สำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ผมแนะนำว่าใช้ค่า f/8 และ f/11) และทดลองถ่ายภาพ การทดสอบจะสมบูรณ์เมื่อคุณตั้งค่ารับแสงที่ถูกต้อง การที่จะดูว่าการตั้งค่ารับแสงที่ถูกต้องนั้นก็ให้ตรวจสอบในค่าฮิสโตแกรม (อย่าเชื่อในจอภาพบนกล้อง มันจะสว่างเกินไป) มันเป็นความจริงที่ว่าไม่มีค่าฮิสโตแกรมที่ถูกต้องแน่นอน แต่ค่าฮิสโตแกรมก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกต้องไปซะทั้งหมด ไม่ว่าค่าจะเอนไปข้างขวาหรือข้างซ้าย (หมาความว่าภาพที่ได้รับค่าแสงมากไป หรือ ได้รับแสงน้อยไป ตามลำดับ) เมื่อการทดสอบประสบความสำเร็จ ให้เขียนเอาไว้ว่าค่าความเร็วชัตเตอร์เป็นเท่าไรในการถ่าย

ขั้นตอนที่ 6 ใส่ตัวกรองแสง

เวลานี้ให้คุณใส่ตัวกรองแสง ND (Neutral Density) ถ้าตัวกรองแสงเข้มมาก ตัวอย่างเช่น 10 สต๊อป คุณจะมองไม่เห็นภาพอะไรผ่านช่องมองภาพของกล้อง หรือผ่านตัวจอ live view ไม่ต้องกังวล ถ้าคุณทำตามขั้นตอนจากด้านบนจนถึงตอนนี้คุณจะสังเกตว่าเราได้จัดองค์ประกอบภาพและการโฟกัสไว้แล้ว คุณตาบอดตอนนี้แต่กล้องของคุณจะเห็นทุกๆ สิ่งอย่างสมบูรณ์แบบ

ขั้นตอนที่ 7 ให้คุณเปลี่ยนเป็นโหมด B (Bulb)

ตั้งค่าการถ่ายภาพเป็นโหมด B (Bulb) เพื่อที่จะถ่ายภาพที่เกินกว่า 30 วินาทีที่เป็นข้อจำกัดของกล้อง อย่าไปปรับเปลี่ยนอะไรอย่างอื่น (ค่า ISO และค่ารูรับแสง) เพื่อใช้ในการทดสอบการถ่ายภาพ

ขั้นตอนที่ 8 ลองถ่ายภาพที่เปิดค่ารับแสงที่นาน

มันเป็นสิ่งสุดท้ายในการถ่ายภาพในการเปิดค่ารับแสงที่นาน แต่จะปล่อยให้มันยาวนานแค่ไหนละ? มันยากที่จะคาดการณ์ สิ่งแรกคือ ลองเก็บค่าความเร็วชัตเตอร์ที่คุณจดไว้จากการทดสอบที่คุณทำไว้ในขั้นตอนที่ 5 ดังนั้นเวลานี้คุณต้องชดเชยค่า สต๊อปที่ถูกแนะนำไว้ของตัวฟิวเตอร์ ตัวอย่างเช่น ถ้าค่าการทดสอบของคุณเป็น 1/15 วินาที เพิ่มเข้าไปอีก 10 สต๊อป คุณจะได้ค่าความเร็วชัตเตอร์โดยประมาณคือ 60 วินาที (1นาที) นั้นคือค่าความเร็วชัตเตอร์ของคุณ ไม่ต้องไปติดอยู่การคำนวณทางคณิตศาสตร์ ในอินเตอร์เน็ทคุณจะพบค่าเหล่านี้ได้ง่ายๆ เช่น ตารางการเปลี่ยนแปลงค่า (http://capturingthelandscape.files.wordpress.com/2012/05/neutraldensityfilterchartbystephendickey.jpg)  และโปรแกรมการปรับค่ารับแสงในมือถือ ซึ่งมันจะช่วยแปลงค่าต่างๆ ให้คุณเอง

ขั้นตอนที่ 9 ให้ตรวจสอบค่าฮิสโตแกรมอีกครั้ง

ครั้นเมื่อคุณได้ถ่ายภาพจากสิ่งที่คำนวณค่าความเร็วชัตเตอร์แล้ว ลองตรวจสอบค่าฮิสโตแกรม ถ้าค่าอิสโตแกรมอันใหม่มีค่าประมาณที่เท่ากับค่าการทดสอบ แสดงว่าภาระกิจสำเร็จ แต่ถ้าค่าที่ได้มันเคลื่อนไปทางขวาหรือทางซ้ายของกราฟ ลองถ่ายใหม่อีกครั้งเพื่อที่จะได้ค่าชัตเตอร์ที่ถูกต้อง
มันง่ายใช่ไหมละ เวลานี้ก็เป็นเวลาที่คุณสามารถเก็บของพร้อมกับกล้องและฟิวเตอร์และออกไปทดสอบกัน สำหรับข้อสงสัยหรือต้องการความช่วยเหลือ อย่าลังเลที่จะถามคำถามด้านล่างนี้ ลองเอาภาพการถ่ายที่เปิดค่ารับแสงนานๆ มาให้ชมกันด้วยนะครับ

55
สามวิธีการใช้ค่า ISO ที่สูงที่คุณอาจจะไม่รู้

โพสโดย John Davenport แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย

http://digital-photography-school.com/three-uses-for-high-iso-you-might-not-know/

คุณอาจจะรู้ว่าการตั้งค่า ISO เพื่อใช้ในการควบคุมความไวของการับแสง เมื่อเราใช้ค่า ISO ที่สูงสิ่งสำคัญคือคุณกำลังบอกให้กล้องเปิดรับแสงที่มีอยู่ให้มากขึ้น สิ่งนี้จะถูกใช้เมื่อคุณกำลังถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยเพื่อจะได้ตั้งค่ารับแสงได้อย่างเหมาะสม แต่ก็มีอีกสามเหตุผลที่คุณควรพิจารณาในการตั้งค่า ISO ที่สูงเมื่อคุณมีทั้งแสงที่ดีหรือกล้องตั้งอยู่บนขาตั้งกล้อง

การหยุดนิ่งสิ่งเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว

การใช้ค่า ISO ที่สูงในการหยุดนิ่งสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็ว 1/8000 วินาที ที่ค่า ISO 1,000
เพียงหนทางเดียวที่จะหยุดนิ่งสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เหมือนกับปีกของนกฮัมมิ่งเบิร์ด โดยการถ่ายภาพที่ความเร็วชัตเตอร์สูงๆ ภาพด้านบน(ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ถูกถ่ายด้วยความเร็วชัตเตอร์ 1/8000 วินาทีเพื่อที่จะหยุดนิ่งปีกของแมลงนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อความสว่างของดวงอาทิตย์อยู่ในช่วงบ่ายกว่าๆ ความเร็วของชัตเตอร์ที่ต้องการค่า ISO บนกล้องเท่ากับ 1,000 เพื่อให้การค่ารับแสงที่ถูกต้อง
ภาพด้านล่าง (ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) คืออีกตัวอย่างว่าทำไมการถ่ายด้วยความเร็วชัตเตอร์ 1/8000 วินาทีมีความจำเป็น แม้ว่าการถ่ายที่ความเร็ว 1/800 วินาที ปีกของแมลงแทบจะมองไม่เห็น เพื่อให้แน่ใจว่าการเคลื่อนไหวได้ถูกหยุดนิ่งมันหมายความว่า แสงมากที่ต้องเข้ามาในกล้องในช่วงเวลาที่สั้นและเพียงทางเดียว (ถ้าปราศจากเลนส์ที่เร็ว) นั้นก็คือการเพิ่ม ISO ให้สูงขึ้นในกล้อง
ค่า ISO 500 ที่ความเร็ว 1/800 วินาที ความเร็วของปีกจะเบลอ

การถ่ายภาพท้องฟ้าตอนกลางคืน

การใช้ค่า ISO ที่สูงเพื่อจับภาพดวงดาว
มีหลายเทคนิคที่แตกต่างเมื่อคุณต้องการเก็บภาพดวงดาว แต่สิ่งที่สำคัญมากสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องจำนั้นคือการเพิ่มค่า ISO เหตุผลของการที่คุณต้องการถ่ายภาพกับค่า ISO ที่สูงกว่า แม้ว่าคุณจะถ่ายภาพอยู่บนขาตั้งกล้องซึ่งขณะที่โลกได้หมุน ดวงดาวก็เคลื่อนที่ข้ามท้องฟ้าและคุณไม่ต้องการเก็บภาพการเคลื่อนไหวของดวงดาว (ถ้าปราศจากคุณต้องการภาพเส้นแสงของดวงดาว) โดยการใช้ค่า ISO ประมาณ 800 ถึง 1,000 กับเลนส์มุมกว้าง คุณจะสามารถเก็บภาพดวงดาวที่อยู่เต็มท้องฟ้า สำหรับข้อมูลการถ่ายภาพดวงดาวเพิ่มเติมโปรดดูที่ How to Photograph the Stars. (http://digital-photography-school.com/how-to-photograph-the-stars/)

การถือเลนส์ช่วงยาวๆด้วยมือเปล่า

การใช้ค่า ISO ที่สูงเมื่อถ่ายภาพด้วยมือเปล่ากับเลนส์ช่วงยาว
ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพด้วยมือเปล่ากับเลนส์ช่วงยาวๆ คุณต้องจำไว้เสมอกับกฎของความเร็วชัตเตอร์ 1/focal length (มีค่าท่ากับ 35mm) กฎพื้นฐานนี้หมายความว่า ถ้าคุณใช้เลนส์ที่มีความยาว 300mm บนกล้องตัวคูณ 1.5x ดังนั้นค่าต่ำสุดหรือความเร็วชัตเตอร์ช้าสุดคุณสามารถใช้คือ 1/450 (1/300 สำหรับกล้อง Full Frame)
ภาพนกอินทรีย์หัวขาวด้านบน (ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ถูกถ่ายด้วยความยาวโฟกัสที่เท่ากับ 450mm โดยการใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/500 วินาที และค่า ISO 1,000 ถ้าค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำกว่าค่าอื่นๆคุณจะเริ่มพบกับความเสี่ยงที่กล้องจะสั่น
มีอะไรอีกบ้างที่คุณคิดว่าการใช้ค่า ISO ที่สูงในการถ่ายภาพ?
คุณเคยถ่ายภาพที่ค่า ISO 800 หรือสูงกว่าไหม? แล้วค่าที่สูงที่สุดที่คุณเคยถ่ายคือค่าอะไร? ลองแบ่งปันประสบการณ์กับตัวอย่างกับเรา และถ้าคุณมีการใช้ค่า ISO ที่สูงในสิ่งที่คุณคิดที่ผมลืมไป โปรดช่วยแบ่งปันไว้ด้านล่างให้ด้วยนะครับ

56
เก้าข้อแนะนำสำหรับการถ่ายภาพน้ำตก ลำธาร และกระแสน้ำ

โพสโดย Gavin Hardcastle แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/9-top-tips-for-shooting-waterfalls-creeks-and-streams/

น้ำตก ลำธาร หรือกระแสน้ำเป็นสิ่งที่พิเศษในการถ่ายภาพของผม  ในความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง มีสถานที่เป็นพันแห่งที่อยู่บนเกาะ Vancouver พวกมันง่ายต่อการถ่ายภาพและผลลัพท์ที่ได้ของภาพที่น่าอัศจรรย์ที่ปรากฎขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ไม่ว่าพืชตะไคร้น้ำที่ด่างๆ เป็นหยดๆ หรือ เสียงของฝนที่ตกหนัก การเคลื่อนไหวของน้ำดูเหมือนเป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้ของช่างภาพ และเมื่อมันออกมาดี สามารถที่จะกล่าวได้อย่างสง่างาม ลองให้ผมแบ่งปันคำแนะนำดีๆ ในการถ่ายภาพน้ำตก ลำธารและสายน้ำ

1. ถ่ายภาพในทุกสภาพอากาศ
ผมจะถ่ายภาพในหลายสภาพอากาศยกเว้นช่วงฝนตก กับน้ำตก ลำธาร หรือกระแสน้ำผมมีคติพจน์ที่งี่เง่าว่า “ยิ่งเปียกยิ่งดี” เมื่อทุกๆสิ่งแช่อยู่ในน้ำ คุณจะพบเงาตัวคุณเองที่สวยงามเน้นถึงความดำที่มีพลัง ผมชอบมองหาใบไม้เปียกที่อยู่เหนือใบที่แห้งๆ เพราะว่าพวกมันจะดูมีชีวิตชีวาและอุดมสมบูรณ์
ช่วงหน้าฝนหรือวันที่มีเมฆ จะให้แสงที่อ่อนนุ่มกับคุณกับความเปรียบต่างที่ต่ำมาก คุณไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพหลายระดับเพื่อที่จะทำภาพ dynamic range ถ้าคุณโชคดีพอในเสน่ห์ของความเย็นและสิ่งที่เป็นน้ำแข็ง คุณจะพบว่าน้ำตกได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่อันน่าอัศจรรย์ในช่วงฤดูหนาวเพียงข้ามคืน ระวังการก้าวเดินของคุณให้ดี...

2. อย่าเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำอย่างเดียว
แน่นอนละ...มันจะสวยมากถ้าได้ภาพภ่ายน้ำที่นุ่มเหมือนปุ้ยฝ้ายและจับภาพการเคลื่อนไหวของน้ำที่เบลอ แต่ในช่วงเวลาหนึ่งมันก็มีความสวยที่จะหยุดความเคลื่อนไหวให้อยู่นิ่ง ผมจะใช้ค่าอยู่สองค่ากับความเร็วชัตเตอร์ที่แตกต่างและทำการรวมกันในโปรแกรม Photoshop เพื่อสร้างภาพผสมผสานของการหยุดนิ่งและการเบลอ เวลาสี่วินาทีของความเร็วชัตเตอร์ก็เพียงพอที่จะทำให้น้ำอ่อนนุ่มเหมือนปุ้ยฝ้ายและคุณจะทำมันได้ด้วยการใช้ โพลาไรซ์ และใช้รูรับแสงแคบๆ เช่น f/16 โดยปราศจากภาพที่แข็งกระด้างกับแสงที่ส่องตรงลงมา..
สำหรับการตั้งค่าที่รวดเร็วในการให้มีความเบลอของการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ผมจะพยายามใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำกว่า 1 วินาทีโดยใช้การเปิดรูรับแสงที่ f/11 และหมุนตัวโพลาไรซ์เพื่อยอมให้แสงเข้ามามากขึ้น มันดีมากเมื่อผมใช้ตัว ND ฟิวเตอร์ ภาพถ่ายของผมจะมีค่าต่ำในการถ่ายภาพเพียงค่าเดียวกับครึ่งวินาทีในช่วงหน้าฝน ผมลองที่ใช้ค่าที่นานกว่าแต่ก็ชอบกับค่านี้มากกว่าเพราะว่าผมสามารถเห็นน้ำที่หยดเป็นหยดๆในการเคลื่อนไหว แทนที่มันจะเบลอในแอ่งน้ำ

3. สำรวจความมืดของหุบเขาลึก
อย่าสำรวจช่วงดวงอาทิตย์ที่ส่องเป็นจุดด่างๆ บนกระแสน้ำซึ่งทำให้แสงสวยงาม มันง่ายเกินไป  ในช่วงที่มันมืด ดวงอาทิตย์จะส่องแสงในส่วนที่เป็นช่องแคบยาวของหุบเขาซึ่งทำให้ได้ภาพที่สวยงาม  คุณสามารถถ่ายในสิ่งที่คุณต้องการโดยปราศจากการกังวลที่จะพบกับการเจอแสงอาทิตย์โดยตรงที่ส่องเข้ามา นี้คือการเปิดโลกทัศน์ใหม่ของภาพถ่าย ถ้าคุณเพียงใช้การถ่ายด้วยมือเปล่า

4. จากฟองอากาศเปลี่ยนเป็นการหมุนที่เป็นก้นหอย
เมื่อไรก็ตามที่คุณเห็นแม่น้ำที่มีกระแสน้ำไหลเป็นฟองบนผิวหน้าของน้ำ คุณจะต้องรักษามันไว้กับความเร็วชัตเตอร์ประมาณ 4-6 วินาที (ขึ้นอยู่กับความเร็วของน้ำ) พวกฟองอากาสเหล่านั้นจะสร้างการหมุนที่เป็นก้นหอยอย่างสวยงามในการเปิดหน้ากล้องที่นาน ระมัดระวัลอย่างให้บางสิ่งมันช้าลงมากเกินไปถ้าเราใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ 10 วินาที เพราะมันจะทำให้ความเคลื่อนไหวเบลอมากจนไม่ได้รายละเอียด นี้คือตัวอย่างที่ผมถ่ายคราวที่แล้วในช่วงฤดูใบไม้ล่วงที่ Nanaimo เกาะ Vancouver (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)

5. ใส่ตัวโพลาไรซ์
ผมรู้ผมพูดซ้ำซากเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ต้องทำให้คุณได้อ่านในบทความของผม “ทำไมคุณต้องใช้โพลาไรซ์” แต่มันทำให้เกิดความแตกต่างที่มากมายเมื่อคุณพบกับก้อนหินที่เปียกน้ำและเกิดการสะท้อนแสงจากน้ำ ตัวโพลาไรซ์จะช่วยให้ขึ้นใช้ความเร็วชัตเตอร์ได้นานขึ้น ลดการสะท้อนแสง และทำให้สีสันดูเด่นขึ้นทันตา

6. หลีกเลี่ยงท้องฟ้า
คุณต้องการสามเหลี่ยมสีขาวด้านบนภาพของคุณไหม? ผมคิดว่าไม่นะ ในการสัมนาอบรมกับนักเรียนของผมส่วนใหญ่จะต้องทนกับการถูกบังคับว่าทุกภาพต้องมีท้องฟ้า ผมคิดว่าผมทำเหมือนกันเมื่อตอนผมเริ่มต้น โดยการละเลยท้องฟ้า คุณจะสร้างภาพที่มีความลึกซึ้งที่แยกออกจากภาพรวมทั้งหมด และก็กำจัดจุดสามเหลี่ยมที่ไร้ความหมายนั้นไป

7. ไปสู่ภาพนามธรรม
นี้คือสิ่งที่คุณจะได้ข้อดีถ้าคุณไม่มีกล้องฟูลเฟรมดีกว่าที่จะพยายามให้ภาพทั้งหมดอยู่เฟรมภาพ มันเป็นการขยายในส่วนที่เล็กของน้ำตก หรือ ลำธารซึ่งจะกำจัดความรู้สึกของผู้ชมถึงขนาดและทิศทาง
แทนที่คุณจะมีภาพของน้ำที่ไหลอยู่เหนือก้อนหินและตอของต้นไม้ คุณจะสร้างภาพนามธณรมของธรรมชาติที่สวยงามที่สะกดให้ผู้ชมได้เข้าถึงสภาพแวดล้อมในการเคลื่อนไหวและสีสัน เหมือนกับการเอาท้องฟ้าออกไป ละส่วนบนและส่วนล่างของน้ำตกจากเฟรมภาพของเราและปล่อยพื้นที่สำหรับการจินตนาการ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)

8. การใช้เทคนิค “ถ่ายและหลบ” อย่างสมบูรณ์แบบ
ผมไม่ได้โกหกคุณ การถ่ายน้ำตก ลำธาร และกระแสน้ำ ผลคือเลนส์จะเปียก เมื่อคุณเจอกับละอองน้ำตก คุณต้องฝึกและใช้เทคนิค ถ่ายและหลบอย่างสมบูรณ์แบบซึ่งต้องใช้ความอดทน การที่จะทำแบบนี้ได้ดีคุณต้องมีหัวบอลกับตัวหนีบทิศทางเดียว ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ถือขาตั้งกล้องที่ดูเหมือนเคลนยกของตามตึกสูงๆ ลืมมันซะ ลองดูนี้ว่ามันทำงานยังไง
1.   จัดองค์ประกอบภาพและปรับหมุนการตั้งค่าในการถ่ายให้เรียบร้อย เวลานี้แหละที่เลนส์ของคุณจะถูกเคลือบไปด้วยละอองจากน้ำที่มาจากน้ำตก
2.   เมื่อทุกสิ่งสมบูรณ์ทั้งสถานที่และการตั้งค่าตัวหัวบอลที่มีตัวหนีบ และให้คุณหันกล้องลงพื้น ระมัดระวังให้เพียงการเคลื่อนหัวไปในทิศทางแนวตั้งเท่านั้น
3.   ใช้ผ้าเช็ดเลนส์ที่มีคุณภาพดี เช็ดเลนส์เพื่อขจัดละอองน้ำ ถ้าคุณมีตัวฟิลเตอร์อยู่ก็ให้เช็ดไปในทิศทางตรงข้ามกับที่คุณตั้งไว้
4.   เมื่อมันแห้งแล้วก็ให้ตั้งกล้องขึ้นในตำแหน่งที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ จับตัวหนีบให้แน่นและทำการถ่ายภาพ คุณมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ก่อนที่ละอองน้ำจะเริ่มจับที่หน้าเลนส์อีกครั้ง
ลองทำตามขั้นตอนด้านบน จนคุณได้ภาพที่ไม่มีละอองน้ำบนหน้าเลนส์ คุณจะได้เทคนิคการถ่ายและหลบอย่างสมบูรณ์แบบ

9. การปรับแต่งภาพ.....ทำภาพขาวดำกัน...
บางครั้งมันดูดีมากถ้าจะแปลงภาพที่มีน้ำเคลื่อนไหวให้เป็นภาพขาวดำ เพราะว่าพวกมันมีส่วนที่เป็นสีขาวมาก ถ้าคุณพบว่าน้ำตก แม่น้ำ หรือกระแสน้ำ ที่ขาดความน่าสนใจเนื่องจากแสงที่ไม่สวยและขาดสีสันในภาพ ลองเปลี่ยนมาทำเป็นขาวดำ โดยการปรับแต่งค่าบนตัวสไลด์ของ curves ในตัว Adobe Camera Raw เพื่อภาพมีความเปรียบต่าง และดูสวยงาม
ในที่สุดคุณก็มีทุกอย่างพร้อมที่คุณจะออกไปข้างนอกและเก็บภาพน้ำตกที่สวย ลำธาร แม่น้ำ และกระแสน้ำได้แล้ว  สร้างสรรค์ผลงานและไม่ต้องกลับกับสภาพอากาศที่เปียก แต่ระวังการลื่นบนก้อนหินก็แล้วกันครับ

57
 เจ็ดแบบฝึกหัดประจำวันที่จะช่วยให้คุณเป็นช่างภาพที่ดีกว่า

โพสโดย Jeff Meyer แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับบ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://petapixel.com/2014/04/22/7-daily-exercises-will-help-make-better-photographer/?utm_source=Lightroom+Photography+Newsletter&utm_campaign=3ad02d301d-Lightroom_Newsletter_1_9_20141_16_2014&utm_medium=email&utm_term=0_a76e40aaeb-3ad02d301d-332389065

คำพูดที่ว่า “การฝึกฝนทำให้มีความสมบูรณ์แบบ” คือสิ่งที่มีเหตุผลสำหรับการถ่ายภาพเท่ากับการกระทำอื่นๆ ดังนั้นเราได้รวบรวมแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้คุณกลายเป็นช่างภาพที่ดีขึ้นกว่าเก่า

1. การวัดค่าที่เป็นจุด

ระบบวัดค่าแสงในสมัยใหม่จะมีโหมดที่หลากหลายวัตถุประสงค์ บางครั้งก็เรียกว่า Evaluating, Matirx หรือ Multi-area ซึ่งมันทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมในการประมวลผลภาพและการตั้งค่าเฉลี่ยของการวัดแสงในหลายๆ สถานการณ์ อย่างไรก็ดีมันก็ไม่ร้อยเปอร์เซนต์ในการวัดค่าเหล่านั้น และถ้ามันมืดมาก หรือ แสงมาก หรือแสงจากด้านหลังก็จะหลอกระบบเหล่านั้นให้ตั้งเป็นค่าที่ over หรือ under ได้ มันไม่ใช่ฟิสิกข์ และไม่รู้ว่าคุณกำลังมองเห็นอะไรในหัวเมื่อคุณถ่ายภาพนั้น
เปลี่ยนมาใช้ระบบวัดแสงแบบเฉาพะจุด เพื่อจะควบคุมให้กล้องวัดค่าแสงเฉาะจุดและช่วยให้คุณพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับช่วงของโทนแสงได้ดียิ่งขึ้น ระบบการวัดแสงเฉพาะจุดที่เป็นมาตรฐานจะให้คุณสามารถวัดแสงได้ในส่วนเล็กๆบนภาพและมันจะแนะนำว่าค่าที่ได้เพื่อให้ได้ค่าเท่ากลางคืออะไร ในเวลาเดียวกันคุณต้องรักษาตำแหน่งของจุดที่มันตั้งไว้ ลองดูในภาพให้ดีๆ และตัดสินใจว่าจะใช้พื้นที่ไหนในภาพในการวัดแสงเฉพาะจุดได้ดีที่สุด มันจะช่วยได้มากถ้าหากคุณใช้การวัดแสงเฉพาะจุดร่วมกับการล๊อคค่า AE ซึ่งมันจะจับค่านั้นไว้ (หลังจากวัดแล้ว) ขณะที่คุณจัดองค์ประกอบภาพ

2. ตรวจสอบฮิสโตแกรม

เหมือนกับกราฟที่แสดงระดับสูงต่ำในการแก้ไขภาพบนตัวซอฟท์แวร์ เช่น Adobe Photoshop ตัวฮิสโตแกรมในกล้องที่แสดงผลก็คือกราฟที่อ้างอิงถึงความสว่างของพิกเซลที่เกิดขึ้นบนภาพ ค่าสเกลจะวิ่งจากด้านสีดำสุดคือค่า 0 ทางด้านซ้ายมือไปถึงสีขาวที่มีความสว่างคือค่า 255 ทางด้านขวา
จุดสูงสุดของฮิสโตแกรมจะบ่งชี้ถึงจำนวนของพิกเซลที่สว่างและความสูงที่มากหมายถึงค่าพิเซลที่มีความสว่าง อีกความหมายคือ ถ้าภาพมีความมืด ยอดแหลมของกราฟจะเอียงไปทางด้านซ้าย ขณะที่ภาพมีความสว่างกราฟจะเอียงไปทางขวา ในการจะมีค่าที่ถูกต้องในภาพ มันจะต้องมีฮิสโตแกรมที่ยอดแหลมอยู่กึ่งกลาง ซึ่งมีความสว่างและมืดของพิกเซลที่ไม่มากนัก

การตรวจสอบค่าฮิสโตแกรมทุกๆ การถ่ายภาพจะเพิ่มเข้าใจให้กับคุณถึงความสว่างที่กระจายอยู่ทั่วภาพ มันจะช่วยให้คุณคำนึงถึงภาพที่ under หรือ over ของแสงซึ่งแสดงเป็นกลุ่มของพิกเซลที่อยู่ด้านซ้าย หรือ ขวาของกราฟในฮิสโตแกรมตามลำดับ

3. ใช้เลนส์ฟิกซ์

การใช้เลนส์พื้นฐาน หรือเลนส์ฟิกซ์ระยะโฟกัส สามารถทำให้คุณลืมเกี่ยวกับสิ่งรบกวนในการซูมเข้าและออก แทนที่คุณจะเดินตรงไปที่ตัวแบบ มองผ่านช่องมองภาพและถ่ายภาพ หรือเคลื่อนที่อีกครั้งเพื่อหาจุดใหม่ หรือจุดที่ดีกว่า มันทำให้คุณต้องสำรวจตัวแบบอย่างดีซึ่งคุณจะเข้าใจมุมของเลนส์ ถ้าคุณใช้เลนส์ตัวเดียวกับการถ่ายภาพ หรือออกไปถ่ายภาพกับกล้องของคุณ คุณจะรู้จักระยะโฟกัสและในอนาคตคุณจะสามารถตัดสินใจได้ว่าเลนส์ไหนที่ใส่กับกล้องแล้วทำให้คุณมองเห็นภาพและเฟรมภาพที่อยู่ในใจของคุณ

4. การตั้งค่าไวท์บาลานซ์ที่เจาะจง

ระบบไวท์บาลานซ์สมัยใหม่จะมีความสามารถสูง แต่มันก็ไม่ได้ดีเสมอไปเพราะว่ามันสามารถให้ความหมายเหมือนกับคุณถ่ายภาพด้วยความคิดของคุณ นี้อาจจะดีเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้ากล้องให้ผลลัพท์ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ คุณอาจจะพบว่าคุณติดอยู่กับคำตอบที่ไม่ตรงใจ คำตอบคือให้เราข้ามผ่านของการตั้งค่าไวท์บาลานซ์แบบ auto และการตั้งค่าไวท์บาลานซ์แบบล่วงหน้าสำหรับสภาพแสงที่เหมาะสมในสภาพแวดล้อมนั้นๆ
คุณอาจพบว่า ค่าไวท์บาลานซ์แบบ Daylight หรือ Sunny จะให้ผลลัพท์ที่ดีที่สุดเป็นส่วนใหญ่ แต่สิ่งที่มีค่าคือมันต้องทดสอบกับสิ่งอื่นๆ ในสภาพแวดล้อมต่างๆ กับผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อว่าคุณจะรู้ว่าเมื่อไรต้องใช้พวกมัน

5. ตั้งค่าไวท์บาลานซ์ด้วยตัวเอง

มันง่ายมากในการตั้งค่าไวท์บาลานซ์ในกล้องด้วยตัวเอง เพียงแต่คุณตั้งค่าให้ถูกต้อง (การตั้งแบบ manual จะช่วยอธิบายว่าคุณจะพบมันได้อย่างไร) และถ่ายภาพ สีขาวหรือค่าบนกระดาษสีเทากลางในสภาพแสงที่เหมือนกับตัวแบบ นั่นเป็นเพียงทฤษฎี ในการฝึกฝนมันมีเคล็ดลับนิดหน่อย เพราะว่าองศาของการถือแผ่นสีเทากลางจะมีผลกระทบมากกับผลลัพท์ที่ได้มา
ตัวอย่างเช่น ถ้าแสงหลักมาจากด้านบนที่ตรงเข้าหาตัวแบบ และถ้าคุณถือการ์ดที่เลือนต่ำลงมาเล็กน้อยบนพื้นที่สีที่อยู่ใต้ตัวแบบ คุณจะพบว่าผลลัพท์ที่ได้จะแตกต่างจากการที่คุณถือแผ่นการ์ดที่เลือนขึ้นไปด้านบน
เรียนรู้การตั้งค่าไวท์บาลานซ์ด้วยตัวเองกับกล้องของคุณและทดสอบการถือแผ่นการ์ดไวท์บาลานซ์ในมุมที่แตกต่างเพื่อดูผลที่ได้และเรียนรู้จากสิ่งที่ได้มา ถ้าคุณพบว่าคุณไม่ชอบภาพแบบธรรมชาติที่กล้องให้ผลลัพท์ในโหมดนั้น ลองเปลี่ยนการควบคุมจนกระทั่งคุณพบว่ามันใช่สำหรับคุณ

6. ใช้โหมด manual

แม้ว่าการตั้งค่าแบบโหมดรูรับแสงเป็นหลัก หรือความเร็วชัตเตอร์เป็นหลักมันจะมีประโยชน์มาก พวกมันจะละเลยการตัดสินใจเกี่ยวกับความสว่างและมืดบนภาพที่จะปรากฎบนกล้อง
สำหรับโหมด Manual จะให้คุณควบคุมและมันจะบังคับให้คุณต้องคิดถึงความสว่างของตัวแบบและสิ่งที่อยูล้อมรอบมัน และมันยังทำให้คุณต้องคิดถึงค่าชัดตื้นชัดลึกและการหยุดนิ่งหรือการเคลื่อนไหวที่มีความเบลอ มันจะมีประโยชน์มากเมื่อนำเอาแบบฝึกหัดของการวัดแสงเฉพาะจุดมาผสมผสานกับมัน ซึ่งมันจะสามารถช่วยให้คุณเลือกค่าที่เหมาะสมกับสิ่งที่เฉพาะเจาะจงในภาพถ่าย

7. ทำการโพสภาพวันละภาพทุกวัน

การถ่ายภาพเป็นระยะและโพสภาพบน Facebook Twitter Flickr Instagram หรือในโลกสังคมออนไลน์อื่นๆ หรือ การแบ่งปันภาพใน web site หรือเมื่อไรที่คุณชอบมัน ลองตั้งเงื่อนไขว่าจะถ่ายภาพอย่างน้อยหนึ่งภาพและโพสเพียงหนึ่งภาพทุกวัน
นี้คือสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในตัวคุณ ช่วยให้คุณค้นพบกับตัวแบบใหม่และการสำรวจพื้นที่ใหม่ๆหรือรูปแบบการถ่ายภาพแบบใหม่ มันยังมีความหมายว่าคุณต้องตรวจสอบภาพทุกๆ ภาพเพื่อพิจารณาการถ่ายที่ดีที่สุดจากวันนั้นในการโพสลงไป
ไม่ว่าที่ไหนก็ตามที่คุณโพสภาพของคุณ ทำให้มันรู้ว่านี้คือสิ่งที่คุณกำลังทำภายใต้เงือนไขที่ตั้งใจเอาไว้ของคุณ มันเป็นความคิดที่ดีที่จะร้องขอถึงคำวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์เพื่อจะช่วยให้คุณได้เห็นสิ่งที่คุณได้ถ่ายจากจุดนั้นและช่วยพัฒนาให้เป็นช่างภาพที่ดีกว่า...

58
10 ความผิดพลาดกับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า (และการแก้ไขสิ่งเหล่านั้น)

โพสโดย Anicholson แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://www.digitalcameraworld.com/2013/07/03/10-common-wildlife-photography-mistakes-were-all-guilty-of-and-how-to-fix-them/

ภาพถ่ายชีวิตสัตว์ป่า เป้นหนึ่งในตัวแบบที่ต้องการถ่ายภาพมากสิ่งหนึ่ง ตัวแบบมีความว่องไว และเทคนิคต้องเตรียมก่อนล่วงหน้า แต่มันเป็นไปได้
ในบทความล่าสุดที่โพสในการทดสอบของเธอ Angela Nicholson ได้ชี้ให้เห็นบางสิ่งที่เป็นความผิดพลาดทั่วไปสำหรับช่างภาพที่จะถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าและเธอให้คำแนะนำในการแก้ไขสิ่งเหล่านั้น

ความผิดพลาดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า ข้อที่  1 ตัวแบบที่เล็กเกินไปในกรอบภาพ
ปัญหาหลักอย่างหนึ่งกับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า คือ ส่วนใหญ่สัตว์ป่าไม่ชอบเข้าใกล้มนุษย์ มันหมายถึงว่า เราต้องใช้ความฉลาดแกมโกงและใช้เลนส์เทเลโฟโต้ที่ยาวเพื่อให้ตัวแบบมีขนาดที่สมเหตุสมผลในภาพของเรา
ช่างถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่ามืออาชีพจะจ่ายเงินจำนวนมากสำหรับอุปรณ์ของพวกเขา เลือกกล้องที่สุดยอดกับการถ่ายภาพต่อนื่องที่สูงและให้ความประทับใจกับทุกพิกเซลบนภาพ สิ่งที่เหมาะกับคุณภาพที่สูงของเลนส์เทเลโฟโต้ที่ยาว กับระยะโฟกัสประมาณ 300-500mm ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถจับตัวแบบให้อยู่ในกรอบภาพได้เต็มกรอบจากระยะที่ห่างของตัวแบบ
แม้ว่ามีอุปกรณ์เหล่านี้ สิ่งที่สำคัญของทรัพย์สินสำหรับช่างภาพชีวิตสัตว์ป่ามืออาชีพ คือการเข้าใจตัวแบบและเวลา และการฝึกฝนเพื่อคอยสำหรับการถ่ายภาพที่ลงตัว ช่วงเวลา คือสิ่งที่สำคัญมากกว่าความสามารถในการยิงภาพต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว  การอำพรางและการซ่อนตัวเป็นหนทางที่ดีในการเข้าใกล้ตัวแบบแต่คุณต้องรู้ว่าจะตั้งมันอยู่ตรงไหน ค้นหาข้อมูลในตัวแบบของคุณว่าคุณควรจะอยู่ตรงไหน เวลาไหนในการถ่ายภาพพวกมัน สำรวจถิ่นอาศัยของพวกมันว่าอาศัยอยู่ที่ไหน มันกินอะไร เมื่อเวลามันยังเล็กอยู่และสถานะการป้องกันตัวของพวกมัน
คุณต้องมีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับตัวแบบเพื่อที่จะสามารถถ่ายภาพพวกมันโดยปราศจากความกังวลเวลาที่เผชิญหน้ากัน

ความผิดพลาดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า ข้อที่  2 ตัวแบบไม่อยู่ในโฟกัส
การเลือกค่าอัตโนมัติของ ระบบ AF คือการค้นหาวัตถุที่อยู่ใกล้สุดที่อยู่ใจกลางของภาพ ดังนั้นถ้าคุณปล่อยให้กล้องเลือก AF ด้วยตัวมันเอง ตัวแบบของคุณจะไม่อยู่ในโฟกัส นี้คือความจริงถ้าคุณตั้งเป้าหมายตัวแบบที่ถูกล้อมรอบปกคลุมไปด้วยต้นพืช มันง่ายมากที่กล้องของคุณจะถูกล๊อคโฟกัสผิดที่ในกรอบภาพ  ผลที่ตามมามันคือสิ่งจำเป็นที่คุณเลือกจุด AF ด้วยตัวคุณเอง
ค่า manual บนกล้องของคุณจะอธิบายแน่นอนว่ามันจะทำอะไร แต่ทางเลือกที่คุณกำลังมองหาคือบางสิ่งที่เรียกว่า AF จุดเดียว หรือ AF จุดยืดหยุ่น ดังนั้นการเลือกจุด AF ส่วนศีรษะของตัวแบบและกดปุ่มชัตเตอร์ลงไปครึ่งหนึ่งเพื่อให้เลนส์โฟกัส ถ้าตัวแบบกำลังเคลื่อนไหว (บ่อยครั้งที่มันเป็นแบบนั้น)ให้เลือกเป็น AF ต่อเนื่องเพื่อว่าเลนส์จะได้มีการจับโฟกัสใหม่ระหว่างที่จะทำการถ่ายภาพ บางระบบการจับภาพในการออโต้โฟกัสทำงานได้ดีมากในการเลือกว่าจะจับตัวแบบให้อยู่ในโฟกัสรอบกรอบภาพ ดังนั้นมันมีค่ามากถ้าใช้เวลาในการอ่านคู่มือการใช้กล้องของคุณเพื่อค้นหาทางเลือกอื่นๆและการเลือกใช้พวกมัน นั้นคือกฎทั่วๆ ไป อย่างไรก็ดีพยายามให้จุด AF อยู่เหนือตัวแบบในขณะที่มันเคลื่อนไหว

ความผิดพลาดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า ข้อที่  3 ตัวแบบเบลอ
เลนส์ที่ยาวๆ ต้องการตัวรองรับบนขาตั้งกล้องสามขา หรือขาตั้งกล้องขาเดียว เพื่อให้พวกมันมั่นคงและหลีกเลี่ยงการสั่นไหวของกล้องจากการถ่ายภาพ คุณต้องการความเร็วของชัตเตอร์ที่เร็วเพียงพอเพื่อจะให้ตัวแบบที่เคลื่อนไหวหยุดนิ่ง ถ้าคุณไม่สามารถทำให้ความเร็วชัตเตอร์คงที่ได้ ลองเพิ่มความไวในการตั้งค่าอีกสักนิด...อีกทางเลือกหนึ่งคือ คอยจนกระทั่งมันอยู่กับที่และหลีกเลี่ยงการถ่ายภาพเมื่อมันเริ่มเคลื่อนไหว การใช้ค่าความไวของ ISO จะนำมาซึ่งนอยส์ แต่ในสิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่นำมาซึ่งการถ่ายภาพที่ไม่คมชัด การถ่ายด้วยการตั้งค่า shutter เอง หรือการถ่ายแบบ Manual เพื่อว่าคุณสามารถควบคุมความเร็ว shutter เอง

ความผิดพลาดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า ข้อที่  4 การจัดองค์ประกอบภาพที่แย่
การถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าบ่อยครั้งต้องใช้เวลาคอยนาน และเมื่อตัวแบบเข้ามาในกรอบภาพซึ่งทำให้เราเริ่มที่จะถ่ายพวกมันทันที โดยเฉพาะถ้ามันเป็นครั้งแรกของคุณที่คุณเคยเห็นสัตว์เหล่านี้  ไม่ได้มีอะไรที่เสียหายจริง แต่ให้คิดถึงการวางองค์ประกอบภาพในภาพถ่ายซึ่งเหมือนกับการถ่ายภาพประเภทอื่นๆ ของคุณ ตัวอย่างเช่น อย่าให้ตัวแบบถูกตัดออกจากขอบของกรอบภาพ จงจำไว้ถึงกฎสามส่วนเพื่อให้ตัวแบบวางอยู่ในตำแหน่งที่สมบูรณ์ในภาพถ่าย

ความผิดพลาดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า ข้อที่  5 ตัวแบบหันมองไปผิดทาง
มันช่างน่าตื่นเต้นแค่ไหนเมื่อกำลังถ่ายภาพสัตว์ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เพียงแต่จะถ่ายภาพเก็บไว้เท่านั้น คุณต้องสามารถมองเห็นสิ่งที่น่าสนใจในตัวของมันและใบหน้าพวกมัน คอยจนกระทั่งสัตว์เหล่านั้นหันมองมาที่กล้อง หรืออย่างน้อยหน้าของมันก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนก่อนที่คุณจะโฟกัสและถ่ายพวกมัน เหมือนกับการถ่ายภาพบุคคล ถ้าให้สัตว์เหล่านั้นมองไปในพื้นที่ว่างในภาพดีกว่ามองตรงไปที่ขอบของภาพ สิ่งที่สำคัญถ้าสัตว์กำลังเคลื่อนไหวในขณะที่คุณต้องการจับภาพที่น่าประทับใจคุณต้องมีพื้นที่วางในการเคลื่อนไหวนั้นมากกว่าที่มันกำลังจะออกจากการถ่ายภาพนั้นไป

ความผิดพลาดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า ข้อที่  6 การล่อด้วยอาหาร
แม้ว่ามันจะเป็นที่ยอมรับในการใช้อาหารหรือกรงดักเพื่อดึงดูดสัตว์ต่างๆ เข้ามาในพื้นที่ที่คุณสามารถถ่ายภาพพวกมันได้ คุณต้องไม่ให้มันรู้ว่าเป็นส่วนที่มนุษย์จัดทำขึ้นหรือแทรกแซงที่เห็นได้ชัดเจน การถ่ายภาพนกที่อยู่บนตัวให้อาหารอาจจะดูดี แต่ถ้าคุณมีความชำนาญมากเกี่ยวกับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าลองค้นหาวิธีการซ่อนตัวเหมือนกับว่าคุณกำลังป้อนอาหารพวกมัน....
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถซ่อนอาหารในซากไม้ที่แตกของท่อนซุง หรือคุณวางเม็ดถั่วบนพื้นดินเพื่อว่าพวกมันจะไม่เห็นตำแหน่งที่คุณกำลังถ่ายภาพมันอยู่ แต่พวกกระรอก และนกสามารถที่จะเห็นได้

ในลักษณะที่คล้ายกัน ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพในสวนสัตว์ คุณต้องหลีกเลี่ยงพวกป้ายที่พวกสัตว์อยู่ในกรงขัง  นี้มันเป็นเล่ห์เหลี่ยม แต่ถ้าคุณถ่ายภาพด้วยเลนส์ยาวและเปิดค่ารูรับแสงกว้างคุณสามารถเบลอฉากหลังปิดบังความจริงที่เกิดจากสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น ในบางครั้งเป็นไปได้ที่เบลอลูกกรงซึ่งอยู่ในฉากหน้าด้วย

ความผิดพลาดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า ข้อที่  7 ความชัดลึกชัดตื้น มันตื้นเกินไป
เพราะว่าคุณต้องการใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่เร็วเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวให้นิ่งและเลนส์เทเลโฟโต้ที่จับภาพตัวแบบที่เต็มกรอบภาพซึ่งทำให้คุณต้องใช้การเปิดรูรับแสงที่กว้างและคุณพบว่า ความชัดลึกชัดตื้นมันมีข้อจำกัด มันหมายถึงใบหน้าของตัวแบบที่ชัดเพียงอย่างเดียวและส่วนลำตัวมันจะนุ่มนวล ขณะที่สิ่งนี้มีผลกับบางสถานการณ์ และใช้งานไม่ได้กับบางสถานการณ์ด้วย
ถ้าคุณต้องที่จะลดค่ารูรับแสงให้น้อยลงเพื่อให้ได้ความชัดลึกชัดตื้นที่ดีกว่า คุณจะต้องปรับค่าความไวแสงให้มากขึ้น ในธรรมชาติคุณต้องการจะรักษามันให้ต่ำเท่าที่เป็นไปได้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานอยส์ แต่บางครั้งมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน อีกทางเลือกหนึ่งคือ การกลับไปใหม่เมื่อมีแสงที่ดีกว่าทำให้เราเปิดค่ารูรับแสงที่เล็กกว่าและใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่เร็วกว่า

ความผิดพลาดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า ข้อที่  8 ภาพนกที่มีค่าแสงที่ต่ำเกินไป
มันเป็นกลลงงที่จะถ่ายภาพนกกำลังบินให้ได้ค่าที่ถูกต้องเพราะว่าท้องฟ้าที่สว่างสามารถหลอกระบบการวัดแสงของกล้องให้ต่ำลง
แทนที่เราใช้การวัดแสงแบบ multi-zone การประเมินหรือระบบวัดแสงแบบ matrix ให้เราปรับไปใช้การวัดแสงแบบ จุดกลาง หรือ การวัดแสงแบบ จุดเดียว การวัดแสงมันจะเชื่อมโยงกับจุด AF และคุณต้องรักษาค่า AF บนตัวแบบ โหมดนี้ทำให้มั่นใจว่าตัวแบบจะได้ค่าวัดแสงที่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าความสว่างหรือความมืดของภาพของตัวแบบจะผลกับส่วนนี้
ลองมองดูที่ histogram ในจอ LCD บนกล้องของคุณ และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะมีความสูงของกราฟไปด้านใดด้านหนึ่งซึ่งมันจะหมายถึงมีค่าพิเซลที่มืดมาก หรือมีค่าพิกเซลที่สว่างมาก ถ้าจำเป็นก็ให้ใช้การชดเชยแสงเพื่อให้ตัวแบบได้ค่าที่ถูกต้อง

ความผิดพลาดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า ข้อที่  9 แสงที่แย่
แสงเป็นสิ่งสำคัญในการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าเท่าๆกับการถ่ายภาพตัวแบบอื่นๆ  กฎโดยทั่วไปพยายามหลีกเลี่ยงการถ่ายภาพเมื่อดวงอาทิตย์กำลังออก และช่วงที่อยู่จุดสูงสุดของท้องฟ้า ซึ่งจะทำให้ภาพมี highlight ที่แข็งและมีเงาที่ลึก ในทางกลับกันการถ่ายภาพในวันที่แสงแบนจะทำให้ได้ภาพที่ทื่อๆ หมองๆ
แสงข่วงเข้าตรู่กับตอนเย็นเป็นสิ่งที่น่าสนใจและดวงอาทิตย์ยังอยู่ต่ำบนท้องฟ้า มันส่องแสงมาที่ตัวแบบอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีกฎที่ตายตัว มีภาพถ่ายชีวิตสัตว์ป่าที่น่าอัศจรรย์ซึ่งถ่ายในช่วงที่มืดมัว หรือสภาพที่มีหมอก และบางสถานการณ์ก็มีเงาที่แข็ง
เทคนิคพิเศษคือ คิดถึงสภาพแสงที่คุณมีตอนนั้นและทำงานร่วมกับมัน แต่ให้อดทนรอแสงที่ดีกว่า

ความผิดพลาดของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า ข้อที่  10 ตัวแบบมารบกวนคุณ
นี้คือที่สารภาพบาปของพระสงฆ์ของช่างภาพชีวิตสัตว์ป่า (ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
มันไม่ใช่ปัญหาหลักสำหรับนกหลายๆ ตัว กำลังจิกกินถั่วจากเครื่องให้อาหารที่อยู่ในสวนหลังบ้านคุณ มันจะเป็นอีกทางหนึ่งถ้าพวกมันถูกทำให้กลัวและบินหนีออกจากรัง  ระมัดระวังเป็นพิเศษกับการให้ความสุภาพกับสัตว์ที่ยังเล็กและอยู่ในช่วงผสมพันธุ์ คุณควรจะเล็งการถ่ายภาพที่ปราศจากสัตว์ที่ระวังการปรากฎตัวของคุณ

59
ห้าความลับในการสร้างภาพวิวทิวทัศน์ที่น่าประหลาดใจ

โพสโดย Dani Diamond แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://fstoppers.com/the-five-secrets-to-creating-amazing-landscape-photos

ในช่วงเวลาแว๊ปเดี๋ยว บางคนรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เหมือนกับช่างภาพวิวทิวทัศน์ คุณมีพลังในการนำพาบางคนในช่วงพริบตาและส่งพวกเขาไปในเส้นทางภาพถ่ายของคุณและทำให้พวกเขาเห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ในโลกที่เขาอาศัยอยู่ การสร้างภาพวิวทิวทัศน์ที่น่าประหลาดใจมันเป็นวิธีที่เกินกว่าจะถ่ายภาพโดยใช้ HDR ที่ถูกตั้งค่าบนเครื่อง iPhone การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ดูเหมือนน่ากลัว แต่หลังจากที่คุณได้อ่านความลับในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์นี้แล้ว ไม่มีทางที่จะปฎิเสธว่าทำไมคุณไม่สามารถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่น่าทึ่งนี้ได้ด้วยตัวคุณเอง
ไม่เหมือนกับการถ่ายภาพงานแต่งงานหรือภาพบุคคล การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์จะไม่เป็นเหมือนคนมาเคาะประตูหน้าบ้านคุณเพื่อที่จะจ่ายเงินในการทำงานของคุณ การจะประสบความสำเร็จเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่คุณต้องการคุณต้องการสองสิ่งคือ แรงกระตุ้นและแรงพลักดัน หนึ่งในนั้นคุณมีอยู่แล้ว คุณต้องการเพียงแค่สถานที่และเวลาโดยเล่นเป็นบทเป็นตัวแกนหมุนในความสำเร็จของภาพถ่ายวิวทิวทัศน์
การสร้างสรรค์เป็นงานที่หนัก สำหรับภาพถ่ายนี้ผมได้ย้อนกลับไปในที่นั้นถึง 3 คืน กระแสน้ำต้องสมบูรณ์และดวงอาทิตย์ตกต้องที่เป็นที่น่าพอใจ ผมพร้อมที่จะเดินออกหลังจากคืนที่สองกับภาพธรรมดาที่ผมถ่ายได้ แต่ขอบคุณที่ผมยังพลักดันตัวเองให้กลับไปอีกครั้งเพื่อที่จะเติมเต็มในสิ่งที่ยังคงไม่พบในสิ่งที่มองเห็น การทำงานหนักได้ถูกชดเชยแล้ว ผมชนะการประกวดหลังจากการประกวดผ่านไป แต่สิ่งสำคัญมากกว่าคือผมปลาบปลื้มใจกับภาพวิวเมืองที่ผมทำมันขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นภาพนี้เพียงภาพเดียวจ่ายค่าอุปกรณ์ถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ของผมทั้งหมดอีกด้วย
มีค่า exposure สองค่าที่ถูกรวมสำหรับภาพถ่ายของเมืองนิวยอร์ก คุณสามารถไปดูภาพถ่ายที่ผมใช้ได้ที่นี้ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=744518542247554&set=a.541099019256175.126636.150556814977066&type=1&theater  (ลองตามไปดูที่ facebook ของผมได้ https://www.facebook.com/DaniDiamondPhotography  ผมได้โพส ก่อนและหลังไว้ด้วย)

1. สถานที่ สถานที่ และก็สถานที่

สวนหลังบ้านของคุณไม่ใช่สถานที่ที่จะถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ คุณต้องขับรถออกไป ค้นหาและสังเกตการณ์ โชคดี 500px ทำให้การค้นหาสถานที่ง่ายขึ้นมาก  เริ่มจากการค้นหา เมือง และเริ่มแคบลงในการค้นหาโดยเลือกคำว่า “Lanscape” หรือ “Fine Art” และในที่สุดก็ดูแบบเผินๆจนกระทั่งพบสถานที่ถ่ายภาพที่คุณสนใจ คลิ๊กไปบนภาพและเลือก “Location” แปดสิบเปอร์เซนต์ของคนที่แท๊กสถานที่ที่พวกเขาได้ถ่ายภาพมา จำไว้ว่า ค้นหาสิ่งที่สนใจก่อน ดังนั้น สถานที่ที่ต้องการถ่ายภาพควรเป็นลำดับต้นๆ

2. เวลา

ธรรมชาติจะไม่ทำงานร่วมกับตารางเวลาของคุณ คุณจะต้องโน้มตัวไปด้านหลังของธรรมชาติ สำหรับผมนี้คือขั้นตอนที่ยาก โดยเฉพาะเมื่อผมกำลังเดินทางไปพักผ่อน โดยส่วนมากคุณต้องการที่จะถ่ายภาพดวงอาทิตย์ขึ้น หรือตก...ช่วงเวลาทอง  ส่วนช่วงกลางวันผมไม่แนะนำ คุณจะต้องตั้งเวลาปลุกตัวคุณเองสำหรับชั่วโมงที่ไร้สาระของวันและคืนและปีนป่ายในความมืด ช่วงเวลาดวงอาทิตย์ตกเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสองทางแรก แต่ถ้าคุณอาศัยอยู่แถบฝั่งตะวันออกมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตกที่ข้ามมหาสมุทร  (เพราะว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก) อย่างไรก็ดีในฝั่งตะวันตกคุณสามารถไปที่ชายหาดเพื่อเก็บภาพดวงอาทิตย์ตกได้ แค่ให้แน่ใจว่าคุณได้วางแผนไว้ล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ให้รู้แน่ว่าดวงอาทิตย์ตกและขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ Application ที่ดีที่สุดจะช่วยคุณหาตำแหน่งสำหรับบนมือถือ และบนคอมพิวเตอร์ มันคือ TPE http://photoephemeris.com/
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) สำหรับการตั้งค่ากล้องที่เปิดค่ารับแสงนานในภาพนี้ ผมใช้เทคนิคจาก averaging technique http://www.verdantvista.com/tut9   สิบภาพ ที่ความเร็ว 8วินาที แต่ละภาพ กล้อง D800 เลนส์ 16-35mm

3. อุปกรณ์

ขาตั้งกล้อง ถ้าคุณวางแผนว่าจะถ่ายภาพวิวทิวทัศน์แบบเอาจริงเอาจังให้คุณลงทุนซื้อขาตั้งกล้องเถอะ ถ้าไม่มีมันคุณจะจบลงด้วยใช้เงินอีกเท่าตัวและค้นหาตัวเองที่ทำให้ท้อแท้หลายๆครั้ง ผมใช้ขาตั้งกล้องของ Vanguard และหัวบอลของ Manfrotto ซึ่งราคารวมกันแล้วแค่ 300 เหรียญสหรัฐ มันเดินทางไปทุกๆ ที่กับผม ไม่ว่าจะหนาหรือบาง มันไม่แพงแต่ก็ไม่ถูกซะทีเดียว กุญแจสำคัญคือเมื่อคุณกลับไปบ้านก็ทำการล้างทำความสะอาดมันและทำให้มันแห้งเร็วที่สุด ผมชอบถ่ายภาพวิวชายทะเลและขี้เกลือ ทรายจะเกาะติดกับขาตั้งกล้องอะไรก็ตามที่คุณซื้อมาใช้ สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือ ตัว L-bracket ถ้าคุณเคยพยายามถ่ายภาพแนวตั้งบนขาตั้งกล้องคุณจะพบว่าความสมดุลบนตัวขาตั้งกล้องจะไม่นิ่งและสั่น ยิ่งไปกว่านั้น หัวบอลส่วนใหญ่จะให้ความยืดหยุ่นที่ไม่ดีนักเมื่อถ่ายภาพในโหมดแนวตั้ง ตัว L-bracket จะใส่ตัวฐานอันที่สองไว้ด้านข้างตัวกล้องเพื่อว่าคุณสามารถปรับเปลี่ยนตัวกล้องในตำแหน่งแนวตั้งที่อยู่บนสุดของขาตั้งกล้อง
ฟิวเตอร์ จะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและควรค่าแก่การลงทุน ถ้าคุณเคยถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตกโดยปราศจากตัวกรองแสงคุณจะสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าภาพท้องฟ้าจะสวยงามและฉากหน้าจะกลายเป็นภาพเงาดำหรือถ้าฉากหน้าตั้งค่าสมบูรณ์และท้องฟ้าจะขาวโพลน นี้คือสิ่งที่ตัวกรองแสงเข้ามาช่วยไว้ ท้องฟ้าที่สว่างกว่าฉากหน้าดังนั้นคุณต้องการชดเชยการวัดแสงโดยใส่ตัวกรองที่ไล่สีของความมืดจากบนสุดของภาพ ในสถานการณ์นี้คุณควรจะใช้ตัวกรองแสงแบบ neutral density grad ลองจินตนการแบบพื้นๆเมื่อคุณใส่แว่นตากันแดดด้านบนหรือหนึ่งในสามขององค์ประกอบภาพ นี้คือวีดีโออธิบายเรื่องฟิวเตอร์ ND grad https://www.youtube.com/watch?v=06wzD-S0jL0  เมื่อเราใส่ตัวกรองแสง (ฟิวเตอร์) มีสองแนวทางที่แตกต่างที่ควรจะเลือก แบบกลม หรือสี่เหลี่ยมจตุรัส แบบกลมจะเป็นฟิวเตอร์ที่มีเกลียวเหมือนกับตัวฟิวเตอร์ UV ซึ่งร้าน BH แนะนว่าควรซื้อใส่ไว้กับทุกเลนส์ สำหรับแบบสี่เหลี่ยมจตุรัสที่เป็นแผ่นกรองแสงที่ต้องสไลด์เข้ากรอบตัวจับแผ่นกรองแสงที่อยู่ด้านหน้าเลนส์ ผมไม่แนะนำให้ใช้แบบวงกลมแม้ว่าคุณจะไม่ได้ใช้ตัวกรองแสงแบบ ND grad แต่ถ้าคุณจริงจังกับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ คุณควรจะมีตัวกรองแสงของ Lee ที่มีอุปกรณ์พื้นฐานมาเป็นชุด คุณสามารถที่จะซ้อนตัวกรองแสงได้หลายแผ่น เพื่อจะได้ปรับตัวกรองแสงตามเส้นแนวนอนในภาพและง่ายต่อการซ้อนแผ่นกรองแสง เหมือนกับตัว Big Stopper ที่ต้องเลือนขึ้นลงในการปรับองค์ประกอบภาพและการโฟกัสภาพ ตัว Lee filter ยังสามารถให้คุณใส่ตัวกรองแบบตัดแสงเงาสะท้อน Circular Polarizer เพิ่มได้อีกด้วย ตัวกรองแสงเองยังคงต้องจับภาพสิ่งซึ่งไม่ง่ายในการที่จะเลียนแบบตอนทำการปรับแต่งภาพ ผมใช้ตัวกรองแสงอยู่สองแบบเป็นหลัก หนึ่งคือตัว reverse ND grad และ Big Stopper สำหรับตัว rev ND grad จะถูกใช้เมื่อดวงอาทิตย์ตกในภาพแนวนอน มันจะใส่ส่วนที่มืดของตัวกรองแสงไว้ตรงกลางและขึ้นไปด้านบน สำหรับตัว Big Stopper จะเป็นตัวกรองแสงคือตัว 10 stop ของ ND มันสามารถใช้ในช่วงกลางวันเพื่อให้น้ำดูนุ่มนวลชวนฝัน หรือเหมือนน้ำนม คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมความแตกต่างของตัวกรองแสงและการใช้งานได้จากที่นี้  http://www.bhphotovideo.com/explora/photography/tips-and-solution/filters-landscape-photography
เลนส์และความลึก ส่วนใหญ่เราจะใช้เลนส์มุมกว้างเพื่อให้ได้ภาพวิวทิวทัศน์ที่ดีที่สุด เลนส์มุมกว้างจะช่วยให้วัตถูในฉากหน้าโดดเด่นและให้ภาพมีมิติ เลนส์เทเล นอกจากจะไม่ได้ให้ความสามารถในการเก็บภาพมุมกว้างแล้ว ยังคงบีบสิ่งต่างๆ ให้อยู่ในภาพ การใช้เลนส์มุมกว้างจะให้ความชัดตื้นชัดลึกในช่วงที่ใหญ่กว่า การสร้างความชัดลึกคงต้องมีสติอยู่กับเรื่องการจัดองค์ประกอบ มองหาจุดน่าสนใจ ใช้กฎสามส่วนและวางเส้นนำสายตาไปที่จุดน่าสนใจนั้น  พูดกันอีกที  อุปกรณ์ก็คือ อุปกรณ์ ในช่วงสิ้นสุดของวัน อย่าปล่อยให้มันหยุดคุณที่จะเติมเต็มความฝันและการสร้างสรรค์ การมีเครื่องมือที่ช่วยให้ได้ผลลัพท์ที่ดีเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่มันก็ไม่ใช่มีมันเพื่อความต้องการ

4. การตั้งค่า

ในทุกแบบของภาพถ่าย ภาพวิวทิวทัศน์มีจะกฎที่แตกต่างเมื่อทำการตั้งค่าในการถ่ายภาพ เพื่อเป็นการป้องกันกับนอยส์ที่จะเกิดขึ้นบนภาพของคุณ มันถูกแนะนำให้ถ่ายภาพในค่า ISO ที่ต่ำที่สุด (ISO 100) ในหลายกรณีคุณต้องการให้ภาพของคุณทั้งหมดอยู่ในโฟกัส แต่ละเลนส์จะมีความคมชัดที่สุดในแต่ละค่ารูรับแสงที่แตกต่างกัน ถ้าต้องการให้ปลอดภัยสุดพยายามตั้งค่าให้อยู่ระหว่าง F/7.1 ถึง F/11 อะไรก็ตามที่เกินกว่า F/16 จะทำให้ภาพดูนุ่มนวลไปทั้งภาพจากเลนส์มากมาย และอะไรก็ตามที่ตั้งค่าต่ำกว่า f/7.1 มันจะไม่ได้ให้ค่าชัดตื้นชัดลึกที่เยี่ยมที่สุด

5. ขบวนการปรับแต่งภาพ

การปรับแต่งภาพเป็นสิ่งอ้างอิงส่วนบุคคลและแต่ละคนก็มีสไตล์ของตัวเอง โดยส่วนตัว ผมจะอยู่ห่างๆ จากพวกซอฟท์แวร์ HDR เช่น Photomatix ผมพบว่ามันยากที่จะทำเมื่อใช้มัน เหมือนกับการตกแต่งภาพบุคคล ไม่มีค่า preset หรือ action ที่จะให้ผลที่น่าอัศจรรย์ คุณต้องใช้เวลาในการปรับแต่ง Jimmy McIntyre มีชุดการอบรมฟรีซึ่งคุณสามารถดูได้  Zach Schepf ก็มีการอบรมการใช้ blend บนภาพ RAWหลายๆ ภาพซึ่งมีราคา 40 เหรียญสหรัฐและมีคุณค่ามากทีเดียว กระบวนการขั้นตอนของเขาน่าเบื่อและยืดยาว แต่ถ้าคุณใช้ฟิวเตอร์ ND grad คุณจะตัดขั้นตอนของเขาออกได้ครึ่งหนึ่งเลย นี้คือสิ่งที่ผมทำ
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย) นี้คือภาพก่อนและหลังจากการปรับแต่งภาพ คุณสามารถเห็นได้ว่ามันไม่ใช่แค่ขั้นตอนเดียวที่เกี่ยวข้อง ผมนั่งทำมันด้วยมือกับพวก dodging และ burning บนตัวตึกเพื่อให้ดูมีมิติ
ถ้าคุณถูกดลใจโดยช่างภาพ หรือรูปภาพ...จงออกไปและเลียนแบบ องค์ประกอบภาพต่างๆของคุณจะออกมาจากตัวคุณเองและมีการใช้พวกมันหลายต่อหลายครั้งในอนาคต คุณมีความสามารถที่จะสร้างสรรค์ด้วยตัวคุณเองและวิสัยทัศน์ในงานของคุณ วางแผนล่วงหน้าและฝึกฝน ในโลกใบนี้เต็มไปด้วยภาพแห่งความงดงามที่พร้อมให้คุณได้เก็บภาพ การเลียนแบบคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของรูปแบบการประจบสอพลอ เวลานี้คุณมีความรู้ทำให้มันเป็นของคุณซะ

60
คำแนะนำในการถ่ายภาพมาโครสำหรับกล้องดิจิตอลแบบเล็งแล้วถ่าย

โพสโดย Darren Rowse แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/macro-photography-tips-for-compact-digital-camera-users/

มีบทความมากมายที่เขียนในหัวข้อการถ่ายภาพมาโครสำหรับช่างภาพที่มีมีอุปกรณ์ DSLR กับเลนส์มาโคร แต่ถ้าเกิดคุณมีกล้องคอมแพคที่เป็นแบบเล็งแล้วถ่ายละ? คุณสามารถที่จะได้ภาพมาโครที่ดีเยี่ยมได้ไหม?
ขณะที่ผลของความสำเร็จกับกล้องเล็งแล้วถ่ายในโหมดมาโครไม่สามารถจะเปรียบเทียบได้กับกล้อง DSLR ที่มีการสร้างเลนส์มาโครมาโดยเฉพาะ ผมยังคงเห็นข้อดีในการถ่ายภาพกับกล้องคอมแพค (ภาพถ่ายอย่างน้อยสามภาพในบทความนี้มาจากกล้องคอมแพค)และนี้คือคำแนะนำที่จะช่วยคุณ

การเลือโหมดมาโคร.....นี้คือก้าวแรกแต่ผมก็รู้สึกประหลาดใจว่ามีกี่คนที่เป็นเจ้าของกล้องดิจิตอลที่ไม่เคยสำรวจการถ่ายภาพในโหมดต่างๆที่กล้องพวกเขามีมาให้....มาโครโหมดจะมีสัญลักษณ์เป็นรูปดอกไม้เล็กๆและเมื่อคุณเลือกมัน มันจะบอกให้กล้องรับทราบว่าเราจะโฟกัสตัวแบบที่ใกล้ๆมากกว่าปกติ (ระยะที่น้อยสุดขึ้นอยู่กับกล้อง ลองดูในคู่มือการใช้กล้องของคุณ) โหมดมาโครจะบอกให้กล้องเลือกค่ารูรับแสงที่ใหญ่เพื่อว่าตัวแบบจะอยู่ในโฟกัสแต่ฉากหลังจะหลุดโฟกัส

การใช้ขาตั้งกล้อง.....ในการถ่ายภาพมาโครขาตั้งกล้องมีประโยชน์มาก แม้ว่าคุณจะถ่ายภาพด้วยกล้องคอมแพคก็ตาม พยายามให้กล้องของคุณอยู่นิ่งเพราะมันไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาการถ่ายภาพแล้ว (ป้องกันปัญหากล้องสั่น) แต่มันยังช่วยคุณให้สามารถเล่นในการปรับแต่งแบบอื่นๆโดยปราศจากการเสียการวางองค์ประกอบภาพ

รูรับแสง......ในโหมดมาโครกล้องบางตัวจะไม่ยอมให้คุณปรับค่า แต่คุณสามารถปรับค่ารูรับแสงได้ซึ่งมันมีค่ามาก ขณะที่เราครอบคลุมการสอนเรื่องรูรับแสง สิ่งที่เป็นตัวหลักคือรูรับแสงมีผลกับชัดตื้นชัดลึกในการถ่ายภาพ เลือกรูรับแสงที่เล็ก (เลขมาก) ถ้าคุณต้องการชัดตื้นชัดลึกมากกับทุกๆสิ่งที่อยู่ในโฟกัส หรือรูรับแสงที่ใหญ่ (เลขน้อย) ถ้าคุณต้องการให้ตัวแบบหลักอยู่ในโฟกัส ในโหมดมาโคร

การโฟกัส....ผมพบว่าการถ่ายภาพมาโครมันจะมีประโยชน์มากถ้าเรามีการควบคุมการโฟกัสทั้งหมดเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องการชัดตื้นซึ่งมันจะมีความสำคัญมากที่จะโฟกัสในสิ่งที่ต้องการในการถ่ายภาพ ถ้ากล้องของคุณยอมให้คุณปรับค่าโฟกัสเองได้ ก็ให้เลือกใช้มัน แล้วก็โฟกัสเองไปที่ตัวแบบซึ่งมีจุดเด่นที่น่าสนใจ
การวางองค์ประกอบภาพ......จำไว้กับกฎเบื้องต้นของการวางองค์ประกอบภาพคือ กฎสามส่วน ให้แน่ใจว่าภาพของคุณมีจุดหลักที่น่าสนใจและอยู่ในตำแหน่งที่โฟกัสในภาพของคุณเพื่อที่ว่ามันจะนำสายตาของผู้ชมภาพไปยังจุดนั้น ลองเลือกสิ่งที่ไม่ยุ่งเหยิงหรือมีฉากหลังที่เรียบง่ายสำหรับตัวแบบหลักซึ่งมันจะไม่แย่งไปกับตัวแบบ

แฟลช.....ในการถ่ายภาพมาโครเราจะใช้แสงเทียมซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ความท้าทายของกล้องคอมแพคคือข้อจำกัดในการควบคุมแฟลช  ขณะที่ผลของการเลือกวันที่ดีที่มีแสงเพียงพอในการถ่ายภาพนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดของคุณ  ถ้าคุณต้องการแสงที่มากให้ลองตรวจสอบว่าถ้ากล้องคุณยอมให้ดึงกลับในระดับที่แฟลชจะยิงแสงออกไป ทางเลือกอีกอย่างคือคุณอาจจะกรองแสงมันกับบางอย่าง (กระดาษทิชชู หรือเทปขุ่นบนตัวแฟลช) อีกทางเลือกหนึ่งคือใช้แหล่งกำเนิดแสงเทียม หรือลงทุนตัวแผ่นสะท้อนแสงที่ช่วยให้คุณได้แสง ทดลองกับวิธีการที่แตกต่างของแสงกับตัวแบบของคุณดู

การถ่ายภาพ.....เมื่อคุณพร้อมในการถ่ายและอยู่ในโฟกัสแล้วก็ลองถ่ายภาพ ให้แน่ใจว่าคุณสามารถดูภาพในจอ LCD และลองซูมเข้าไปดูว่าการโฟกัสมันคมชัด ลองถ่ายภาพกับค่ารูรับแสงที่แตกต่าง กับการวางองค์ประกอบภาพที่แตกต่างด้วยและโฟกัสไปในจุดที่ต่างกันบนตัวแบบเพื่อดูว่าอะไรให้ผลที่ดีที่สุด

การใส่เลนส์มาโคร....กล้องคอมแพคบางรุ่นจะมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการถ่ายภาพระยะใกล้หรือภาพมาโคร นี้คือสิ่งที่ช่วยให้ตัวแบบของคุณดูใหญ่ขึ้นและลดระยะโฟกัสในต่ำลง มันเป็นลงทุนที่คุ้มค่าถ้าคุณตั้งใจในการที่จะถ่ายภาพมาโคร

การตั้งเวลาในการถ่ายภาพ....(นี้คือผลจากการแนะนำที่เพิ่มเข้ามาของทีมงาน ขอบคุณมาก) เมื่อผมใช้กล้อง DSLR สำหรับการถ่ายภาพมาโคร ผมตั้งใจใช้ตัวสายลั่นชัตเตอร์และขาตั้งกล้องเพื่อให้แน่ใจว่าการถ่ายภาพมันนิ่ง (เพื่อลดการสั่นไหวของกล้องให้น้อยที่สุดจากกการกดปุ่มชัตเตอร์) กล้องคอมแพคส่วนใหญ่ไม่มีสายลั่นชัตเตอร์แต่วิธีง่ายๆในการทำแบบนี้คือใช้การตั้งเวลาถ่ายภาพในช่วงเวลาที่สั้นที่สุดซึ่งมีความหมายเหมือนกันคือกล้องของคุณไม่ขยับเมื่อทำการถ่ายภาพ (ถ้าคุณสังเกตเรื่องการใช้ขาตั้งกล้องในคำแนะนำด้านบน)

ปล. ผมใช้ประโยคที่ว่า การถ่ายภาพมาโครไม่ได้เคร่งครัดมาก ในทางเทคนิค “การถ่ายภาพมาโคร” คือคุณต้องการจะได้ภาพซึ่งตัวแบบของคุณจะมีขนาดเท่ากับเซนเซอร์ (หรือใหญ่กว่า) ในสัดส่วน 1:1

ในหลายๆกล้องคอมแพคจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จและในความเป็นจริง การถ่ายภาพระยะใกล้น่าจะเป็นคำอธิบายที่ดีกว่า อย่างไรกตามผู้ผลิตหลายรายก็เรียกโหมดระยะใกล้ของพวกเขาว่าเป็น “โหมดมาโคร” ผมได้ใช้คำนี้สำหรับจุดประสงค์ของบทความนี้

Pages: 1 2 3 [4] 5 6 ... 8