Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - topstep07

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 8
61
อยากไป...แต่ไม่ได้ไปแน่ๆ เลยครับ ติดงานแต่งงานของน้องที่ต้องไปถ่ายภาพให้ครับ....เสียดายจริงๆ....ไม่งั้นนะ....แหม่...

62
ข้อแนะนำการวางองค์ประกอบภาพสำหรับนักถ่ายภาพมือใหม่

โพสโดย James Maher แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/a-new-photographers-guide-to-composition/

ก่อนหน้านี้ ผมได้เขียนบทความเรื่อง ข้อแนะนำการตั้งค่ากล้องสำหรับนักถ่ายภาพมือใหม่ คุณจะคุ้นเคยกับการตั้งค่ากล้องแล้ว ขั้นตอนต่อไปในการเรียนคือเรื่องกฎของการวางองค์ประกอบภาพที่ดีและการออกแบบในภารถ่ายภาพของคุณ และนี้คือ 10 คำแนะนำสำคัญเมื่อคุณกำลังมองและถ่ายภาพ และนี้คือคำแนะนำเรื่องการวางองค์ประกอบภาพ

1. ทำอย่างไรให้ผู้ชมภาพกวาดสายตามองภาพ

ผมขอเสนอให้คิดเกี่ยวกับเรื่องการวางองค์ประกอบเหมือนกับเป็นเกมส์ที่ดึงสายตาและถ้าคุณต้องการดึงสายตาผู้ชมพวกเขาต้องทำบางสิ่งและไปบางที่ เมื่อเราสร้างภาพคุณต้องคิดถึงเส้นทางที่นำสายตาของผู้ชมภาพให้มองภาพเข้ามาในรูปภาพ และนำมาถึงสิ่งที่จะเป็น เส้นทางที่ราบรื่น หรือ เส้นทางที่ขัดแย้ง
•   เส้นทางที่ราบรื่น....คือภาพที่มีเส้นนำสายตา เช่น ถนน หรือ ลำธาร หรือ ภาพที่มีฉากหน้า กลาง และหลัง ซึ่งนำให้สายตามองจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
•   เส้นทางที่ขัดแย้ง...คือภาพที่หลากหลายแบบ กับพื้นที่วางที่ทำให้สายตามองไปมองมารอบๆ  ซึ่งไม่มีเส้นนำสายตาระหว่างวัตถุในภาพแบบนี้ พวกเขาจะอยู่ในพื้นที่วางภายในภาพ
ถ้าคุณมองดูภาพด้านบน (ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) สายตาของเราจะถูกนำตรงไปยัง รูปปั้น Grand Central ที่อยู่ด้านบนซ้ายหนึ่งในสามของเส้นในภาพ เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะผ่านจากด้านบนลงด้านล่าง และจากซ้ายไปขวา สายตาจะมองข้ามไปยังตึก Chrysler และลงมาที่รายละเอียดของสะพาน ซึ่งสามสิ่งนี้ทำให้เกิดรูปทรงสามเหลี่ยมที่นำสายตา อย่างไรก็ตาม สะพานยังคงทำหน้าที่เป็นส่วนสำคัญของการวางองค์ประกอบภาพโดยนำสายตาจากด้านนอกของภาพและนำกลับเข้ามาในภาพที่ซึ่งพวกเขาสามารถมองเห็นรูปปั้นจากด้านบนหรือเห็นผู้คนและรถที่อยู่ด้านล่าง

2. มองดูที่ขอบภาพของรูปภาพของคุณ

ต่อเนื่องจากข้อแนะนำแรก สำหรับภาพที่ให้คุณรู้สึกสมดุลของขอบภาพควรจะต้องสมดุลกัน สายตาของเรามีการโน้มน้าวตามธรรมชาติที่ตกลงไปอยู่ตามขอบภาพ โดยการวางบางสิ่งไว้ที่มุมจะทำให้คุณจะหยุดและทำให้สายตาของผู้ชมจับจ้องให้ความสนใจและทำให้พวกเขากลับเข้ามาในภาพ นี้คือเหตุผลทำไมภาพวิวทิวทัศน์บ่อยครั้งจะต้องมีกิ่งไม้เล็กๆของต้นไม้ หรือใบไม้ตามมุมบนของท้องฟ้า และทำไมภาพขอบเงาดำถึงได้ถูกนำมาใช้
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) สังเกตกิ่งไม้มุมบนของภาพซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ทำให้สายตาอยู่ในภาพ มุมภาพจะทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพ

3. กฎสามส่วน ประชันกับ การวางตัวแบบกลางภาพ

กฎสามส่วนเป็นมากกว่ากฎ ผมเห็นคนส่วนใหญ่ให้มันเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ในบางสถานการณ์การวางตัวแบบไว้กลางภาพหรือในส่วนที่แตกต่างออกไปก็เป็นสิ่งที่ดีกว่า
กฎสามส่วนอ้างถึงการวางตัวแบบหลัก หรือตัวแบบ ที่อยู่หนึ่งในสี่ของจุดตัดหนึ่งส่วนสามในภาพถ่ายของคุณ ซึ่งคุณสามารถสังเกตจากภาพที่สองด้านล่าง (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ความรู้สึกนี้น่าพอใจกับสายตาที่มองเห็นและมันก็ทำให้คุณโฟกัสไปที่ตัวแบบฉากหน้าอีกด้านหนึ่งไปพร้อมกัน ขณะที่ส่วนสำคัญที่เป็นเนื้อที่ว่างเพื่อความน่าสนใจของฉากหลังจะสร้างความสมดุลในภาพ
ในภาพด้านบนอาจจะไม่อยู่ในหนึ่งส่วนสามของเส้น (มันไม่ใช่กฎที่เข้มงวด) คุณสามารถมองเห็นตึกที่สมดุลโดยที่มีต้นไม้ที่อยู่ตรงบนเส้นหนึ่งส่วนสาม ตัวตึกที่อยู่บนขอบของภาพแต่ละข้างทำหน้าที่เป็นเส้นนำสายตา และก็ทำหน้าที่เป็นขอบของภาพเพื่อให้สายตาของผู้ชมอยู่ในภาพ
อย่างไรก็ดี อย่าไปกลัวที่จะวางตัวแบบหลักลงกลางภาพ ตัววัตถุที่อยู่กลางภาพสามารถกั้นทุกสิ่งออกจากภาพและทำให้คุณโฟกัสไปเพียงสิ่งที่สำคัญ สิ่งนี้จะทำงานได้ดีกับภาพใบหน้าที่แสดงอารมณ์หรือมองเข้าไปที่สายตา เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย สิ่งนี้จะดีกับภาพที่มีความสมดุลในสัดส่วนซึ่งสามารถให้ความรู้สึกถึงความสมดุลอย่างมาก

4. แนวนอน – แนวตั้ง หรือ การเอียง

ไม่ว่าจะจับภาพในแนวนอน แนวตั้ว หรือจะเอียงเล็กน้อย นี้คือสิ่งที่ยากในการตัดสินใจ มีหลายเหตุผลที่จะถ่ายภาพทั้งแนวนอน และแนวตั้ง อย่างไรก็ดีผมก็พบว่ามีช่างภาพหลายท่านก็ตั้งใจที่จะใช้หลายๆ แบบมากว่าแบบใดแบบหนึ่ง
ภาพแนวนอนจะให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติมากเวลาเรามองดูภาพ เพราะว่ามันคือสิ่งที่ตาของเรามองเห็นภาพในโลกนี้ ภาพแนวนอนจะยอมให้เราใส่สิ่งต่างๆ ลงในภาพได้อย่างเหมาะเจาะ และมันเป็นรูปแบบที่ง่ายต่อสายตาในการมองภาพ
ภาพแนวตั้งมันมีผลดีเมื่อคุณต้องการที่จะโฟกัสตัวแบบเดียวแบบใกล้ๆ หรือให้อยู่เต็มกรอบภาพ มันเป็นหนทางง่ายๆในการถ่ายแบนี้และกำจัดสิ่งที่ทำให้ดึงดูดความสนใจออกจากตัวแบบหลัก
เมื่อคุณถ่ายภาพไม่ว่าจะเป็นแนวนอน หรือแนวตั้งต้องให้แน่ใจว่าภาพของคุณถูกจัดให้ตรงแนวเส้น ถ้าภาพมันเอียงนิดหน่อยภาพจะรู้สึกว่าไม่สมดุลทันที อย่างไรก็ตามบางครั้งคุณก็ต้องการตัวแบบของคุณเอียงในบางมุม การเอียงตัวแบบจะไม่เป็นภาพที่เป็นแนวนอน หรือแนวตั้ง แต่มันเพิ่มความน่าสนใจและสร้างพลังให้กับภาพ มันยังสนับสนุนความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและขาดความสมดุลและสามารถให้ความพึ่งพอใจกับผู้ชมได้

5. สามเหลี่ยมและเลขสาม

รูปทรงสามเหลี่ยมสามารถเป็นสิ่งสำคัญและดีในการจัดองค์ประกอบภาพ มันไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องมีรูปทรงที่เป็นสามเหลี่ยมจริงๆในภาพ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างของสามสิ่งที่สร้างทรงสามเหลี่ยมในภาพ
เหมือนกับวัตถูสามสิ่งที่สมดุลซึ่งกันและกัน นี้คือสิ่งที่น่าพึ่งพอใจกับสายตาผู้ชม เพราะว่ามันสร้างเส้นทางที่แน่นอนคงที่ในภาพ

6. ทัศนียภาพ

ความสูงจากที่คุณยืนอยู่สามารถเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับภาพที่จะปรากฎขึ้น ถ้าคุณต้องการเน้นถึงความสูงหรือพลังของภาพ ให้คุณก้มต่ำลงถึงพื้นและให้กล้องแหงนขึ้นข้างบนเล็กน้อย ผู้คนจะมองสิ่งที่สำคัญและสะดุดตากว่า และวัตถุเหมือนอย่างต้นไม้ หรือภูเขาจะมองเป็นสิ่งที่ใหญ่มาก
อีกทางหนึ่งการถ่ายภาพจากมุมของกล้องที่สูงจะทำให้ทุกๆ สิ่งรู้สึกเล็กลงและพลังของภาพจะถูกลดลง ถ้าการถ่ายภาพจากมุมสูงกลายเป็นภาพที่สามารถที่โน้มน้าวความรู้สึกถึงนามธรรมและกราฟฟิกได้ เมื่อถ่ายภาพผู้คน ให้คำนึงถึงมุมของกล้อง บางครั้งการยกขึ้นหรือกดต่ำลงของกล้องเพียงเล็กน้อยจะสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้

7. น้อย ปะทะกับ มาก

น้อยแต่เรียบง่าย หมายถึงการถ่ายภาพที่ธรรมดาเรียบง่าย เช่น ภาพที่มีตัวแบบเพียงอันเดียวและให้ความประทับใจกับความสงบในฉากหลัง ภาพแบบนี้สามารถสร้างพลังและการออกแบบกราฟฟิก มันคือสิ่งที่พลังในความเรียบง่าย Valerie Jardin ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ การถ่ายภาพที่เรียบง่าย
มากมาย ในอีกทางหนึ่งอ้างถึง ภาพที่มีความสับสน วุ่นวาย หยุ่งเหยิง ซึ่งมีตัวประกอบมากมายขัดแย้งกัน และมีบทบาทต่อกัน อย่างไรก็ตามภายในความสับสน วุ่นวายนี้จะมีความสมดุล ภาพในลักษณะแบบนี้ยากที่สร้างให้เกิดความสมดุล แต่เมื่อมันได้ถูกถ่ายทอดมาแล้วมันสามารถทำให้พึ่งพอใจสำหรับการกวาดสายตาของผู้ชมเพื่อจะสำรวจเข้าไปข้างในภาพถ่ายนั้น
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย) ภาพด้านบนนี้จะไม่ดี ถ้าตัวแบบไม่ได้กระจายออกไปทั่วภาพ

8. สี

สีคือสิ่งที่เป็นมุมมองการออกแบบที่สำคัญ สีที่ทรงพลังบนตัวแบบหลักสามารถเพิ่มการเน้นที่พิเศษ ขณะที่สีที่ทรงพลังในวัตถุที่ไม่มีความสำคัญสามารถทำให้เกิดความเสียหายของความสมดุลในภาพได้เช่นกัน  แนวโน้มส่วนใหญ่ทุกวันนี้ใช้สีที่มีพลังและไม่สมจริงในภาพถ่าย เหมือนกับในภาพยนตร์ หรือบนอินสตาแกรม สีที่มีพลังทำงานได้ดีเมื่อดึงความสนใจของเราในครั้งแรกที่พบเห็น แต่สีชืดๆ สามารถสร้างความน่าสนใจและสร้างอารมณ์ได้ดีเท่ากับสีที่มีพลัง สำรวจภาพของคุณที่ต้องลดความอิ่มตัวของสีดู  สีแต่ละสีมีคุณสมบัติและความสามารถในการสร้างอารมณ์ภายในภาพของมันเอง สีแดงอ่อนๆเพิ่มความอบอุ่นและให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงบนภาพ ขณะที่ฟ้าอ่อนๆสามารถให้ความสงบหรือเยือกเย็นและปราศจากเชื้อ เหมือนกับภาพถ่ายบุคคลของช่างภาพ Dan Winter’s states สีเขียวคือความสงบและสีแห่งการเชื้อเชิญและมันก็ผูกพันธ์กับสิ่งธรรมชาติที่อยู่ล้อมรอบเรา Winters ใช้สีเขียวกับภาพถ่ายบุคคลหลายภาพ
นี้คือสิ่งที่สีสามารถผสมผสานเพื่อเพิ่มความสมดุล
•   เลือกสีคู่ตรงข้าม (สีที่อยู่ตรงข้ามในวงล้อสี)
•   สีข้างเคียง (สีที่อยู่ถัดไปบนวงล้อสี)
•   สีที่แตกต่างในความเข้มของน้ำหนักสี
•   สีที่เหมือนกันในความแตกต่างของน้ำหนักความเข้มของสี

9. เข้าใกล้และใส่ให้เต็มกรอบ

นี้คือความคิดที่สำคัญ ลองพิจารณาดูว่าอะไรเป็นสิ่งจำเป็นในกรอบภาพ การเข้าใกล้ และจับภาพ ตัดทุกๆสิ่งออกและล้อมกรอบเฉพาะตัวแบบหลัก ถ้ามีบางส่วนของบุคคลที่น่าสนใจคือดวงตาของพวกเขา ก็ให้จับภาพที่เข้าใกล้ดวงตา

10. เป็นเอกภาพและละเมิดกฎ

เรียนรู้กฎเหล่านี้และฝึกฝนมัน แต่ให้คิดไว้ในใจว่าบางครั้งคุณก็ต้องละเมิดกฎบ้าง เป็นตัวของตัวเองอย่างมีเอกภาพเท่าที่จะทำได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะบอกสายตาได้มากกว่าบางสิ่งที่แตกต่าง คุณมีคำแนะนำเพิ่มเติมที่คุณต้องการเพิ่มหรือเปล่า โปรดแบ่งปันกับเรากับตัวอย่างภาพถ้าคุณมีมัน

63
จัดไปครับ รอบหน้าสักสิบคน ถือไฟ ถือรีเฟล็กซ์ ถือขาตั้งไฟ....555 เราจะได้ไม่พลาดสักข๊อตเดียว ขอบคุณมากครับที่แวะมาอ่านครับ.....5555

64
สำหรับภาระกิจนี้...ผมคิดว่า..ประสบความสำเร็จที่งดงาม อุปสรรคมีบ้างแต่ไม่ยากที่จะผ่านไปถ้าใจเรามุ่งมั่น...รอบต่อๆ ไปก็หวังว่าท่านอื่นๆคงได้มีโอกาสนี้เหมือนกันนะครับ....การเดินทางออกจากถ้ำพ้นมาแล้วสิ่งที่ได้เจอก็คือ ฝนตกลงมาปรอยๆ เกือบจะหนัก ฟ้าสีเทาไปหมดทางลงเขาลืนได้ใจ...คราวนี้เราต้องระวังตัวในการเดินลงเพราะทุกคนรองเท้าจะลื่นหมดและหินก็มีความคมอยู่ในตัว เราค่อยๆ ไต่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงพื้นราบอย่างปลอดภัยกันทุกคน....สิ่งแรกที่เราต้องทำคือล้างรองเท้าที่ติดเอาดินบนพื้นราบมาด้วยเพราะไม่งั้นพี่กิ๊กจะมีงานงอกตามมา คือทำความสะอาดภายในรถครับ....สนุกสนานมากสำหรับทริปพิเศษนี้...มีครบทุกรสเลยครับ...เราเดินทางออกจากสำนักสงฆ์ก็ประมาณสัก 5 โมงกว่าได้ (ถ้าผมจำไม่ผิด) และมุ่งหน้าสู่ร้านอาหารบ้านสวนตามเป้าหมายของร้านอาหารเย็น.....เราขับมาเรื่อยๆ จนอีกครั้งหนึ่งเราเลยร้าน...พี่กิ๊กก็ถามว่าจะย้อนไปไหมเห็นระยะทางแล้วถ้าย้อนคงเสียเวลามากงั้นเรามุ่งหน้าเข้า กทม ไปหากินเอาข้างหน้าอะไรก็ได้....สรุปเราได้ร้านอาหารข้างๆ ถนนที่แสนจะอร่อยในมื้อนั้น...(ต้มเลือดหมู กับข้าวเปล่า) ทานกันไปคนละชามสองชามพออิ่ม...จากนั้นก็ได้เวลากลับสู่จุดเริ่มต้นคือสถานีรถไฟฟ้า หมอชิต เพื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน...พักผ่อน นอนฝัน...กันต่อไป 

อีกครั้งหนึ่งขอขอบพระคุณสำหรับคุณปิยะฉัตร แกหลง (พี่กิ๊ก) ที่ได้เอื้อเฟือในการเดินทาง การเตรียมการ คำแนะนำ การสอนในภาคปฎิบัติ และอื่นๆ อีกมากมายไม่ไหวจะบรรยาย...ขอบคุณพี่หนู พี่อัช ที่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ช่วยเหลือกัน....รอบหน้าถ้ามีอีก...หวังว่าคงได้ร่วมงานกันอีกนะครับ 5555555

ภาระกิจพิชิตแสง ถ้ำเทวาพิทักษ์ ก็จบลงด้วยประการฉะนี้......ขอบคุณทุกๆท่านที่แวะมาอ่านจนถึงบรรทัดนี้นะครับ

65
จากจุดหน้ากากปีศาจ (Devil Cave Mask) ผมเรียกมันขึ้นมาเองนะครับ...เราก็ได้เวลาที่เราต้องเดินออกนอกถ้ำกันแล้วครับยังมีอีกหนึ่งจุดที่สวยงามก่อนออกปากถ้ำนั้นคืออุโมงค์ถ้ำที่สวยงาม...เราเริ่มหมดแรงและอาจจะมีอาการหิวข้าวกันนิดๆ เรามาหยุดตรงหน้าปากทางอุโมงค์ก่อนจะออก พี่กิ๊กก็ถามว่า "ยังไหวไหมอยากจะถ่ายภาพอุโมงค์นี้หรือเปล่า" ถามตามความสมัครใจแบบว่าไม่บังคับ....เราก็เงียบๆ กันอยู่แต่ในใจคิดว่ามาถึงนี้แล้วยังไงก็ต้องเก็บภาพ เราก็วางกระเป๋ากล้องลงเพื่องัดเอาไฟที่เหลือพลังงานไม่มากแล้วมาจัดแสงในอุโมงค์กันอีกรอบ...อุโมงค์นี้จะโค้งเลี้ยวไปทางขวามือ เราจะต้องพยายามจัดแสงให้เห็นว่ามันโค้ง และเห็นส่วนโค้งเว้าต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ผนังถ้ำที่สวยงาม ไฟบางดวงที่เราจัดไว้ก็หมดกำลังลง ต้องเอาตัวที่ยังมีพลังงานอยู่มาเสริมแทน....แม้แต่เทียนที่เราใช้ในรอบแรกก็นำมาเสริมทัพด้วยเช่นกัน (แสงเทียนจะอยู่ด้านขวามือล่างสีส้มๆครับเราใช้เทียนหลายเล่มมาตั้งใกล้ๆกันเพื่อให้ได้แสงที่สว่างขึ้น)...เราต้องแข่งกับเวลาอีกรอบ....

สิ่งที่เราได้มาคือ ภาพที่อลังการจริงๆครับ ไม่น่าเชื่อถ้าเราถอดใจเดินออกไป...ด้วยความที่เหนื่อยแล้ว...คงเสียดายอย่างมากๆ ถ้ามีคนเข้ามาทีหลังแล้วมาเก็บภาพตรงนี้ไว้...กรี๊ดสลบแน่ครับ...5555 แต่เรายังคงกัดฟันสู้กันต่อไป ระหว่างนั้นเราก็เริ่มตั้งกล้องตั้งขาเก็บภาพ พี่กิ๊กก็อยากได้ภาพ selfie ตัวเองในถ้ำก็เลยขอไปเป็นตัวแบบ...หลังจากนั้นก็สลับกันไปเป็นแบบ สุดท้ายก่อนจาก..เราถ่ายภาพหมู่ด้วยกันอีกครั้ง...โอ้มันสุดยอดมากครับ....กับภาพที่ได้....

ยังไม่จบแค่นั้น...ตอนจะเลิก..ผมก็เดินไปเก็บไฟ LED ตามจุดที่วางไว้กลับมาโดยที่อุ้มไว้ในมือและแขนทั้งสองข้างกับไฟสี่ตัวโดยที่ยังไม่ได้ปิดสวิทช์ไฟ...ผมเกิดไอเดียบางอย่างเรียกพี่กิ๊ก....พี่กิ๊กถ้าถ่ายภาพนี้จะเป็นยังไงครับ...เท่านั้นแหละครับ...คราวนี้กดกันไปอีกหลายภาพเลยครับ...แสงที่ส่องจากด้านล่างเข้าหาหน้าผมและตรงขึ้นไปสะท้อนเพดานถ้ำที่อยู่เหนือหัวของผมมันทำให้ได้สิ่งที่แปลกตาสำหรับคนที่อยู่ตรงกล้องมองเห็นผม แต่ผมยังมองตัวเองไม่ออกว่าจะได้ภาพเป็นยังไง....พี่กิ๊กเห็นว่าตรงส่วนเท้าผมยังมืดอยู่ก็เลยให้พี่อัชช่วยเอาไฟฉายส่องไปมาตรงบริเวณขาของผมเพื่อเปิดความมืด....(ขออภัยภาพนี้ผมยังไม่มีนะครับ แต่น่าจะมีโพสในกระทู้นี้แหละครับ)  ผมมีแต่ภาพอุโมงค์ว่างเปล่าเท่านั้นครับ...5555

66
ในภาพก่อนหน้านี้ (ภาพหน้ากากปีศาจ)เราได้มีการวางไฟหันหลังให้กับฉากไว้ด้วยเพื่อให้มันช่วยเป็นตัวสะท้อนแสงอ่อนๆ แต่เมื่อผมหันกลับไปทางด้านแสงที่ส่องเข้าผนังถ้ำ..ก็กลับได้ภาพอีกแบบหนึ่ง....มีลายเขียนภาพบนผนังเหมือนกับกวาง (พี่หนูจินตนาการเมื่อเห็นภาพนี้)....ส่วนที่อยู่ด้านซ้ายมือเป็นห้องโถงมืดสนิทเราต้องใช้ไฟฉายช่วยไลท์แสงให้กล้องได้เก็บภาพไว้บ้าง....

ภาพของผมภาพนี้รูปกวางอาจจะไม่เด่นชัดนัก เดี๋ยวลองดูของพี่หนูนะครับ 55555

67
ลองขยับเปลี่ยนมุมดูบ้างว่า รูปเดิมนั้นยังคงความเป็นเอกลักษณ์ไว้ได้หรือไม่ หรือจะเป็นรูปทรงอื่นๆ ให้จินตนาการกันได้อีก...เมื่อขยับมาแล้วภาพหน้ากากกลับเด่นชัดเห็นเกือบครบทั้งหน้า...มีคางที่ยื่นออกมา มีหูที่แหลม มีสันจมูกที่ใบหน้าด้วย...55555

ภาพนี้ตั้งใจเอียงกล้องเพื่อเก็บภาพให้ได้รูปทรงของหน้ากากที่เห็นนะครับ....เอียงคอกันหน่อยนะครับ....เมื่อยก็อย่าว่ากัน 55555

68
เราเดินย้อนกลับทางเดิม...เพราะไม่มีทางกลับทางอื่น แต่จริงๆ ในถ้ำยังมีทางเดินไปได้อีกนะครับดูแล้วเวลาเราคงไม่พอครับ....เรามาหยุดอยู่ตรงจุดนี้เพราะเราเห็นความสวยงามของรูปทรงหิน แล้วก็ลวดลายที่เกิดขึ้น...ตอนนี้เราก็เล็งเอาไว้คราวๆ ว่าจะวางไฟตรงตำแหน่งกันบ้าง...เราเริ่มวางไฟ จัดแสงกันอีกครั้ง....วางล่าง วางบน วางด้านหลัง จัดไปเรื่อยๆ เราใช้กำแพงหินด้านหนึ่งเป็นตัวสะท้อนแสงให้ไปเกิดแสงที่อ่อนนุ่มอีกด้านหนึ่ง....สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราได้เห็นภาพของรูปทรงคล้ายหน้าคนจะเหมือนหน้ากากปีศาจก็ว่าได้..เด่นออกมาจากจุดที่ยืนอยู่ แต่รูปหน้ากากนี้จะได้เพียงครึ่งหน้าเท่านั้น...โอ้มันช่างเด่นอย่างเห็นได้ชัด...และส่วนอื่นๆ ก็เป็นเพียงแค่ส่วนเสริมจริงๆ แสงไม่แรงเกินไปมากไปแต่ตัวแบบนั้นเด่นมาก....

คุณเห็นอะไรในภาพนี้....ผมเห็นด้านบนขวามือที่เป็นเหมือนหน้ากากปีศาจมีมุมปากด้วยครับ....55555

69
ไหนๆ ก็เอาเลนส์มาหลายตัว ลองเปลี่ยนเลนส์มาเก็บภาพกว้างกันบ้าง ด้วย fisheye 16mm ครับ อยากได้ภาพเพดานที่อยู่สูงขึ้นไปด้วยดูสิว่า fisheye ทำได้ดีแค่ไหน....เห็นควันธูป เห็นแสงแฉก เห็นเพดาน ครบแล้ว 5555 ฐานเจดีย์จะโค้งไปตามเลนส์นะครับ....

จากจุดนี้เราทานอาหารเที่ยงกันอิ่มพอควรแล้ว...เราต้องย้อนกลับไปทางเก่าเพื่อจะเดินทางไปยังจุดเริ่มต้นขาเข้ามา เพราะเราเล็งสถานที่ไว้สองสถานที่ก่อนเข้ามา ว่าจะกลับมาเก็บอีกครั้ง...เวลากี่โมงแล้วไม่ทันได้ดูกันเลยครับ...แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ ภาระกิจการเก็บภาพต้องให้ได้ครบที่สุดเท่าที่จะทำได้....ครับ

70
เมื่อได้มุมมหาชนคนเก็บภาพไปแล้ว คราวนี้ก็ขยับเปลี่ยนมุมดูความแปลกตาดูบ้าง...แต่สิ่งที่สำคัญคือ เมื่อขยับเปลี่ยนมุม แสงที่เคยตั้งเอาไว้ก็อาจจะต้องหลบตามไปด้วยเพราะมันจะเข้ามาในกล้อง แล้วก็สิ่งสำคัญคือ ทิศทางแสงก็ต้องเปลี่ยนไปอีก....เป็นโจทย์ที่ต้องคิดกันอีกรอบ...(อยู่ดีๆ แล้วจะเปลี่ยนทำไม 555 ไม่ได้ต้องเปลี่ยนเพราะอยากได้ภาพสวยๆ 555)

ไฟบางดวงที่เกะกะเข้าสายตา เข้ามาในกล้อง...เราก็ย้ายหรือเอาออกไปเลย...ให้มันหมดปัญหาแต่สภาพแสงยังคงไว้ซึ่งความสวยงามดูไม่หลอกตา....ภาพนี้ลองทำเป็นขาวดำครับ ปรับมุม เพราะผมอยากให้ยอดเจดีย์องค์กลางไม่กลืนไปกับฉากหลัง...ได้มาเท่านี้ครับ....

71
ความกดดัน...เริ่มเข้ามาอีกครั้งเพราะว่าเราใช้ไฟ LED หรือไฟฉายด้วยกำลังถ่านเพียงไม่กี่ก้อน แล้วเราจะต้องประหยัดพลังงานไว้เผื่อสำหรับสถานที่อื่นๆ อีกหรือเปล่า...ถ้ามันหมดก่อนละ..โอกาสก็หมดตามไปด้วย...ฉะนั้นเราต้องเร่งมือ แข่งกับเวลาและพลังงานที่มีอยู่ในถ่านของแต่ละโคมไฟ....เรารีบจัดไฟ....จัดกันอยู่หลายรอบ...ก็ยังไม่ลงตัวดูขาดอะไรไป แต่เมื่อ พี่หนูบอกว่าพี่กิ๊กเอาเทียนมาด้วยนิ...โอ้โห้ใช่เลย...ทำไมเราลืมไปอีกละ...งั้นรีบถามพี่กิ๊กเลยว่าเก็บไว้ที่ไหนแต่หันไปพี่กิ๊กเดินไปไหนในความมืดละ...แหม่ยิ่งหาตัวได้ง่ายๆอยู่ 555 เราตะโกนถามพี่กิ๊ก..."พี่กิ๊กครับ..พี่กิ๊กมีเทียนใช่ไหมครับ..เก็บไว้ที่ไหนครับ"  พี่กิ๊กก็สวนมาด้วย เอ็ม ร้อย ทันที....หลบแทบไม่ทัน 555 พี่กิ๊กบอกว่าอยู่ข้างๆ กระเป๋าครับ...เราก็รีบเข้าไปค้นทันที ได้เทียนบูชาพระมาหนึ่งแพคหลายเล่มอยู่...พี่หนูเตรียมไฟแช็คไว้แล้ว...คราวนี้ได้เทียนมาเราต้องคิดต่อว่าจะวางมันยังไงเพื่อให้ดูกลมกลืนกับบรรยากาศ และได้แสงสว่างที่เพียงพอ ปัญหาตอนนั้นคือ ด้านหน้าเจดีย์ขาดแสง เราจะยิงแสงอย่างอื่นตรงๆ เข้าไปมันก็กะไรอยู่ เราเลยวางเทียนด้านหน้า 4 เล่ม ตรงกลางสอง และมุมสุดซ้ายขวาของแท่นเจดีย์ อีกอย่างละเล่มครับ...ส่วนด้านข้างเราเสริมด้วยเทียนข้างละ 3 เล่ม แต่ซ่อนไว้จากเจดีย์องค์เล็กที่เห็นด้านหน้า....เป็นอันว่าเราได้ แสงจากแรงเทียนแล้ว  และก็ถึงเวลาที่เราได้พักทานอาหารเที่ยงกันที่นี้...ทานไปด้วย กดชัตเตอร์ไปด้วย ถ้ามีเตียงผ้าใบคงนอนสักตื่นแน่ๆ ครับ 55555

คราวนี้เราถอยหลังกลับมาดูที่กล้องว่าเราเห็นอะไร เหมาะหรือไม่...แล้วเราก็ได้ภาพอย่างที่เห็นด้านล่างนี้แหละครับ.. ภาพนี้ใช้ f/11 เท่านั้นเองครับ แต่เทียนที่จุดไว้มันนิ่งมากเพราะไม่มีลมพัดเลยในห้องนี้...มันเลยได้แสงงแฉกอย่างที่เห็นครับ

72
ออกตัวไว้อีกนิดนะครับ....ผมแต่งภาพไม่ค่อยเก่งแต่ผมพยายามแต่งภาพให้ได้เหมือนที่ตาเห็นในขณะนั้น....หากท่านใดอยากจะนำภาพผมไปปรับแต่งให้ดีกว่าเดิมก็เรียนเชิญครับ...5555

จากจุดนี้เราเดินต่อไปถึง เจดีย์ ห้าองค์...ที่รออยู่ข้างในเราก็นึกว่าจะเดินไปอีกไกลที่ไหนได้จากภาพหินย้อยก่อนหน้านี้เราเดินเข้าไปทางขวามือก็พบแล้ว....สุดยอดไม่เหนื่อยมากแต่ภาพที่ได้คือ...มืดสนิท....เอาละสิคราวนี้แหละ...พบกับโจทย์สำคัญ จะทำอย่างไรที่จะส่องแสงทีตัวเจดีย์ให้ครบห้าองค์...แล้วต้องซ่อนไฟที่ส่องทั้งหมดไม่ให้มองเห็นจากกล้อง...แล้วจะวางไฟง่ายไหม มุมไหนดี.....สำหรับรอบนี้พี่กิ๊กของเราปล่อยให้เราจินตนาการเต็มที่...ไม่มีคำแนะนำใดๆ ให้เราใช้ความคิดเอง มีอยู่สิ่งเดียวที่แนะนำคือรูปทรงของตัวถ้ำที่เป็นฉากหน้าที่โค้งล้อมรอบตัวเจดีย์เอาไว้ซึ่งมีรูปทรงเหมือนพระ...ที่ยืนอยู่...(โอ้วสุดยอดพี่กิ๊กคิดได้ไงเนี้ย...หรือมีคนบอกมาก่อนหน้านี้ครับ 5555) ด้วยความที่เราเห็นเจดีย์แล้วมุ่งตรงไปยังตัวแบบทำให้เราลืมคิดถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัว ต้องสังเกตให้ดี...ผมว่าเป็นใครเข้ามาในที่นี้ก็ต้องวิ่งตรงไปเก็บเจดีย์ก่อนแน่นอน 55555 แต่การที่เราถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวทำให้เรามองเห็นอะไรอีกมากมายเลย...(บทเรียนนี้...สอนให้เรารู้ว่า...ไม่ต้องรีบร้อนมากในการเห็นตัวแบบหลักที่ไม่หนีไปไหน แต่เราควรมองหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ มาช่วยเสริมเรื่องราวให้น่าสนใจเข้าไปอีก..ถ้าจะให้ถ่ายภาพถ้ำแบบนี้ชิงรางวัล ผมว่าผมตกรอบแน่นอนครับ...555) ยิ่งความมืดมาปิดบังส่วนที่เราคิดไม่ถึง มองไม่เห็นยิ่งทำให้เราขี้เกียจคิด...เพราะคิดว่ามันมองไม่เห็นแต่คนที่เป็นช่างภาพ เขาจะมองอีกแบบหนึ่ง....นั่นแหละคือความแตกต่างระหว่าง มืออาชีพ กับมือสมัครเล่น....ละครับ


อีกอย่างหนึ่งอุปกรณ์เสริมของเรื่องแสงที่ควรเตรียมไป (แต่เราทุกคนไม่ได้คิดกันเลย...พี่กิ๊กคิดไว้ให้แล้ว) คือ เทียน และธูป ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ทำให้กลมกลืนดูเป็นเรื่องเดียวกัน ลงตัว...ไม่ทำให้ตัวแบบด้อยค่าลงไป...สุดยอดอีกแล้ว...(เข็มขัดผมคงสั้นไปจริงๆ  555) เราได้เทียนมาช่วยเสริมเรื่องแสง และธุปมาเสริมเรื่องควัน...

จากภาพด้านล่างนี้ คุณมองเห็นอะไรบ้าง...ภาพนี้ยังไม่ได้เสริมด้วยเทียนหรือธูปนะครับ...กำลังตื่นเต้นกับโครงร่างเส้นขอบที่เป็นรูปพระ หรือจะคนแล้วแต่จินตนาการ...ครับ

73
จากจุดลำแสงนี้เราใช้เวลาไปนานพอสมควร ทุกคนยังสดชื่นลืมเรื่องความหิวข้าวเที่ยงกันไประยะหนึ่ง...เพราะคิดว่ายังมีสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกภายในถ้ำ...เราเดินออกมาอีกนิดก็พบกับหินงอกหินย้อยที่สวยงามเป็นแท่งใหญ่ที่สูงจากเพดานจรดพื้น....พี่กิ๊กก็อยากให้เราได้ภาพจากจุดนี้เลยแนะนำในการวางตำแหน่งไฟ...เราไม่รอช้ารีบนำไฟหลายดวงไปวางหลังแท่งหินที่สูงตระหง่าน...จัดมุมวางไปด้วยแล้วลองถ่ายภาพดูว่าจะเป็นอย่างไร...เราจัดอยู่นานพอควรเพราะว่าแสงที่ส่องมากระทบแท่งหินมันแบนๆ เราพยายามเอาแสงยิงจากด้านข้างทั้งซ้ายและขวาก็แล้วมันก็ยังไม่เหมาะ....สุดท้ายก็ต้องอาศัยตัวแบบมนุษย์เข้ามาช่วยเสริมเรื่องราว...แล้วใช้ไฟฉายยิงเข้าไปที่ตัวแบบหลัก แบบรอง ทั้งด้านซ้ายด้านขวา...ส่วนพี่กิ๊กคอยกดชัตเตอร์กล้องของแต่ละคน.....นายแบบ (เพราะเราไม่มีนางแบบมาด้วย) ต้องจัดท่าเอง ยืนบ้าง นั่งบ้าง แสดงท่าถือไฟส่องเสาหินบ้าง แต่ที่สำคัญมันต้องอยู่นิ่งๆ นานๆๆๆๆๆ สักยี่สิบวิ ไม่ให้ขยับเลย 5555 (ถ้าจะ ตด ยังทำไม่ได้เลยครับกลัวตัวจะสั่นไหว 555) ผมได้มาภาพนี้ภาพเดียว...ที่พอจะดูโอเคครับ ขอบคุณพี่กิ๊กที่ช่วยไปกดให้ ภาพอื่นๆเดี๋ยวรอเพื่อนร่วมทริปมาแจมแล้วกันครับ...


74
เมื่อเราได้เก็บแสงจากแบบหลักเสร็จแล้ว เราก็เริ่มหาตัวแบบที่เป็นมนุษย์มาช่วยเสริม....ก่อนที่แสงจะเลือนจางหายไป  ถือว่าเราประสบความสำเร็จในจุดนี้ขั้นหนึ่งเพราะเราโชคดีที่มีแสงส่องเข้ามา ถ้าไม่มีสงสัยเราคงต้องปีนออกไปเอาไฟฉายส่องเข้ามาแน่ๆเลยครับ 5555

ในภาพนี้ตัวแบบที่เป็นมนุษย์อาจจะดูเล็กไปนิดนะครับ เพื่อให้เห็นการเปรียบเทียบความใหญ่ของถ้ำด้วย ถ้าซูมเข้าไปใกล้ๆควันที่ขึ้นจากตัวแบบไม่ใช่มาจากธูป แต่มาจากความร้อนในร่างกายที่ระเหยมากระทบกับความเย็นในถ้ำครับ เมื่อลำแสงส่องกระทบยิ่งเสริมกันอย่างดีทีเดียวครับ

75
ลำแสงเดินทางมาถึงตัวแบบหลักที่เรารอคอยแล้วครับ (เราต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะมันผ่านไปเร็วมากลำแสงนี้จะตกกระทบหินในช่วงเวลาบ่ายโมงโดยประมาณ) ระหว่างนี้เรามีตัวแบบที่เป็นมนุษย์เข้ามาเสริมด้วย...รอชมจากกล้องของผู้ร่วมเดินทางอีกสามท่านนะครับ

ในภาพนี้เรามีการจัดแสงเล็กน้อยเพื่อให้ส่องไปยังตัวแบบ และสภาพแวดล้อมที่ยังดูมืดสนิท...เพื่อให้เห็นความสวยงามรอบๆบริเวณนั้น....เราใช้ไฟ LED (ที่ไว้ใช้ถ่ายวีดีโอ) ถึงสามและสี่ตัวกันเลยเพื่อเปิดความมืด หรือสร้างมิติบางส่วน....สิ่งที่เสิรมเข้ามาอีกนิดคือเราได้จุดธูปเพื่อให้มีควันเข้ามาในลำแสง...แต่ควันธูปที่ลอยขึ้นมามันก็แปลกๆ เพราะมันไม่ลอยขึ้นข้างบนมันลอยอวนๆ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง....5555 ผมว่ารอบหน้าถ้าจะมาอีกต้องเอาพัดลมตัวเล็กมาด้วยแล้วละ...หรือไม่ก็มีคนมาพัดกระพือควันสักนิดครับ 555

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 8