Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - topstep07

Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 8
31
สิบสิ่งที่คุณสามารถพัฒนาการถ่ายภาพของคุณในปีนี้ได้

โพสโดย M Poudyal แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ
http://www.picturecorrect.com/tips/10-things-you-can-do-to-improve-your-photography-this-year/
การอ่านหนัง การเข้าฝึกอบรม และการค้นหาในอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ดีที่สามารถช่วยคุณให้ถ่ายภาพที่ดีขึ้นได้ สำหรับคำแนะนำต่อไปนี้จะช่วยพัฒนาแนวทางการสร้างภาพถ่ายที่น่าอัศจรรย์และการมองภาพอย่างไรสำหรับคุณ

1. รู้จักกล้องของคุณ

กล้องของคุณมีคุณสมบัติมากมายซึ่งช่างภาพส่วนใหญ่ รวมถึงตัวคุณเอง ไม่เคยใช้มัน คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีมันอยู่ด้วยซ้ำ หรือพวกมันคืออะไร....รูรับแสง ความเร็วชัตเตอร์ และการโฟกัสเป็นหลักพื้นฐานและสำคัญมาก แต่มันยังมีคุณสมบัติอีกมากมายที่สามารถช่วยให้คุณถ่ายภาพได้ดีกว่าและใช้เวลาน้อยกว่าในการตกแต่งและแก้ไขภาพภายหลัง พวกมันมีฟังก์ชั่นเหมือนกับ multiple exposure, timelapse, การล็อคกระจก และ metering นี้เป็นเพียงแค่ไม่กี่ชื่อ ใช้เวลาในการเรียนรู้เกี่ยวกับพวกมันและสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์จะเปลี่ยนวิธีการถ่ายภาพของคุณ คุณรู้ไหมว่าคู่มือการใช้กล้องของคุณอยู่ที่ไหน? นี้เป็นเวลาที่ต้องเอามันออกมา อ่านมัน ทดลองแต่ละฟังก์ชั่น และเรียนรู้ว่าอะไรที่คุณสามารถใช้แล้วคุณจะประหลาดใจ

2. ปิดไฟ

ลองทำตามคำแนะนำนี้ เข้าไปในห้องที่อยู่ในบ้านของคุณและปิดไฟ ถือกล้องของคุณและลองดูว่าคุณเรียนรู้แค่ไหนเกี่ยวกับมัน นั่งลงและเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์ รูรับแสง ISO โหมดการโฟกัส และอื่นๆ ถ้าคุณสามารถทำมันได้ เพราะเนื่องจากคุณทำตามในคำแนะนำข้อแรก และคุณรู้จักกล้องของคุณดีเพียงพอ

3. ส่งภาพเข้าประกวด

นี้คือกิจกรรมที่น่าสนุกและเป็นทางที่ดีเยี่ยมในการเรียนรู้ ลองมองหาการประกวดที่จะได้คำแนะนำและการวิจารณ์ มีหลายการประกวดภาพถ่ายที่ตัดสินผู้ชนะโดยการโหวตจากเพื่อนที่คุณมีอยู่มากมาย แต่ก็ยังมีอีกหลายการประกวดภาพถ่ายที่ดีเยี่ยม ลองใช้เวลาค้นหามัน

4. เลือกภาพที่ดีที่สุดของคุณและให้เพื่อนๆ ให้คะแนนพวกมัน

พิมพ์ภาพ 25 ภาพที่ดีที่สุดและติดพวกมันไว้แล้วถามเพื่อนๆของคุณเพื่อเรียงลำดับของภาพที่ชอบมากที่สุดจนถึงชอบน้อยที่สุด เมื่อพวกเขาทำเสร็จลองทำว่า ทำไมพวกเขาถึงได้เลือกแบบนั้น คุณอาจจะช็อคไปกับคำวิจารณ์ของพวกเขาและรู้ว่าผู้คนที่ไม่ใช่คนถ่ายภาพมองภาพอย่างไร คำวิจารณ์เหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ดีของคุณ

5. บทวิจารณ์ของผลงานช่างภาพคนอื่นๆ

เลือกภาพสักสองสามภาพที่คุณชอบจากในเว็ปไซต์อย่างเช่น Flickr และ 500px เมื่อคุณเลือกเสร็จ ลองเปรียบเทียบพวกมัน วิเคราะห์ และวิจารณ์ ดูว่าอะไรที่คุณชอบและทำไม ลองดูอย่างละเอียดและดูว่าอะไรในภาพนั้นมีสิ่งทั่วๆ ไป ลองดูที่ metadata และค้นหาว่าพวกเขาถ่ายมาอย่างไรและตั้งค่าอะไรในการถ่ายภาพ คิดถึงว่าทำไมช่างภาพได้ใช้การตั้งค่าเหล่านั้น และคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าการตั้งค่าการถ่ายภาพแตกต่างออกไป

6. เข้าร่วมกลุ่มชมรมถ่ายภาพและออกไปกับเพื่อนของคุณ

การถ่ายภาพมันสนุกมากเมื่อคุณได้แบ่งปันประสบการณ์กับผู้อื่น ลองค้นหาช่างภาพท้องถิ่นหรือกลุ่มชมรมถ่ายภาพท้องถิ่นและวางแผนที่จะออกไปถ่ายภาพกับพวกเขา การออกไปถ่ายภาพกับช่างภาพหลายๆ คนทำให้คุณได้ทดลองกับกล้องและเลนส์แบบอื่นๆ เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ และฝึกฝน มันสนุกและเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการเรียนรู้

7. เรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพใหม่ๆอย่างน้อยทุกๆ สัปดาห์

มีเทคนิคที่แตกต่างอยู่มากมายและทุกวันนี้มันง่ายมากในการที่พบมันและเรียนรู้มัน ถ้าคุณมองหาให้ลองมองหาการสอนที่เป็นวีดีโอ พวกเขาจะแนะนำคุณที่ละขั้นตอน หลังจากที่คุณได้เรียนรู้ทักษะและเทคนิคใหม่แล้ว ออกไปและลองถ่ายภาพจากที่ได้เรียนรู้มา การฝึกฝนทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์

8. ถ่ายภาพตอนกลางคืน

การถ่ายภาพตอนกลางคืนคือหนทางที่ดีที่สุดที่จะเรียนการถ่ายภาพ ระบบออโต้จะทำงานได้ไม่ดี คุณต้องเรียนรู้ในการควบคุมการสมดุลของ ISO, ค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ คุณต้องใช้ขาตั้งกล้อง และการทำแบบนี้คุณจะเรียนรู้ว่าจะใช้มันอย่างไรและเป็นการสนับสนุนเทคนิคการถ่ายที่ถูกต้อง คุณยังได้เรียนรู้ว่าจะโฟกัสอย่างไรในแสงไฟ ท้ายที่สุดคุณจะได้รางวัลกับภาพที่น่าอัศจรรย์ใจ

9. เรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้

การค้นคว้า การถาม การฝึกฝน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ครอบคลุมในหัวข้อกว้างๆ และเรียนรู้ในรูปแบบที่แตกต่างของการถ่ายภาพ หลังจากคุณทำเสร็จ คุณจะรู้ว่ารูปแบบไหนที่คุณชอบ ขุดลงไปให้ลึก เรียนรู้ และศึกษาเป็นพิเศษ มีหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้ เมื่อคุณกลายเป็นคนที่เก่งในรูปแบบหนึ่งแล้ว นั่งลง ผ่อนคลายและตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ การเรียนรู้รูปแบบที่แตกต่าง มันจะทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่ๆและคุณจะรักมัน

10. แสดงผลงานของคุณ

ไม่มีความรู้สึกอะไรที่ดีไปกว่าการที่บางคนวิจารณ์บนภาพของคุณและชอบมัน มีหลายหนทางในการแสดงผลงานของคุณ โพสมันในโลกออนไลน์ ตัวอย่างเช่น บน SmugMug คุณสามารถมี web site ส่วนตัวเล็กๆ การขยายภาพและพิมพ์บางภาพของคุณและแขวนมันไว้ที่บ้านหรือที่ทำงาน สร้างหน้าภาพถ่ายผลงานของคุณบน Facebook มีหลายทางเลือกแต่ในที่สุดคุณจะรู้สึกภูมิใจในภาพถ่ายของคุณและกระตุ้นให้คุณทำดีกว่านี้อีก....

32
สี่คำแนะนำในการถ่ายภาพต้นไม้

โพสโดย Gavin Hardcastle แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย

http://digital-photography-school.com/4-tips-for-taking-better-photographs-of-trees/

หลายครั้งที่ผมดิ้นรนกับความท้าทายในการถ่ายภาพต้นไม้ในแบบมีจินตนาการและทำให้ผู้ชมภาพติดตาม ผมได้เรียนรู้สำหรับตัวผมเองซึ่งมีสองทางที่ได้ผลในการพิจารณาการถ่ายภาพต้นไม้ ลองถามตัวคุณเองสำหรับสองคำถามนี้
•   ต้นไม้ไหนเป็นพระเอก
•   ต้นไม้ไหนที่ทำหน้าที่เป็นพระรอง
ผมต้องขอบคุณคุณแม่ของผมสำหรับมุมมองที่น่าสนใจนี้ เมื่อผมเป็นเด็กผมได้ถูกแสดงละครหลายครั้งและผมก็ตั้งใจที่จะมองดูรูปของผมขณะอยู่บนเวทีซึ่งมีหลายบุคลิกในการแสดง บางครั้งก็มีบทบาทการนำ บางครั้งก็รับบทเป็นตัวรองหรือเป็นตัวประกอบฉาก การเข้าใจลำดับขั้นในบทบาทของคุณเองจะช่วยพัฒนาการวางองค์ประกอบด้วย

1. เมื่อต้นไม้ต้นหนึ่งดึงความสนใจคุณ

ตัดสินใจว่าใครคือตัวหลักและทำให้มันเป็นตัวแบบที่สำคัญ กับภาพด้านบน (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) มันดูสวยงามที่มีบทบาทของตัวเอกในฉากนี้ ปมใหญ่ๆของต้นสนคือตัวแสดงเอกของผม ดังนั้นผมได้วางเขาอยู่ตรงกลางเวทีและให้ต้นไม้อื่นๆ ล้อมรอบเขา
การใช้ค่ารูรับแสงที่ f/22 มันมีความหมายว่า ทั้งหมดในภาพของผมอยู่ในโฟกัสและเพียงเหตุผลที่ว่าผมสามารถหลุดออกมากับสิ่งนี้เพราะว่าตัวแบบที่อยู่ตรงกลางที่เด่นชัดซึ่งผมไม่ต้องการให้ความเด่นชัดของเขาปรากฎเป็นความชัดตื้น
อีกตัวอย่างหนึ่งของความเด่นชัดในตัวแสดงหลักในภาพของผม มันสวยมากในต้นไม้หนึ่งต้นกับตัวแสดงประกอบที่เป็นแสงแฟร์องดวงอาทิตย์ เงาบนฉากหน้าและบ่อปลาคาร์ฟที่อยู่ในฉากหลัง อีกครั้งหนึ่งผมใช้รูรับแสงที่แคมคือ f/16 เพื่อให้แน่ใจว่าการโฟกัสมากสุดที่ครอบคลุมทั่วทั้งภาพ

2. เมื่อต้นไม้เล่นบทเป็นตัวพระรอง

ลองมาดู..ไม่ใช่ต้นไม้ทุกต้นจะเป็นพระเอก แต่พวกเขาไม่ต้องการเป็นแบบนั้น คุณสามารถใช้ต้นไม้เป็นกรอบภาพสำหรับสิ่งอื่นๆ ที่มีลักษณะน่าสนใจในภาพของคุณ เมื่อคุณพบตัวแบบที่น่าสนใจเช่นน้ำตก การสะท้อนของทะเลสาป หรือ กองหินซ้อนกันในทะเล ลองมองไปรอบและดูว่าถ้ามันมีต้นไม้ที่จะทำเป็นกรอบภาพที่สวยงาม หรือเป็นเส้นนำสายตาไปยังตัวแบบหลัก ถ้ามันมีอยู่ตรงนั้น ก็ใช้พวกมันเป็นฉากหน้าของคุณ
ในภาพด้านล่างนี้ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ผมใช้ต้นไม้และพุ่มไม้สร้างเป็นกรอบของภาพกองหินซ้อนกันในทะเล ผมใช้ค่ารูรับแสง f/8 เพื่อสร้างโบเก้บางๆของพุ่มไม้ที่อยู่ฉากหน้าเพราะว่าผมต้องการที่จะให้ผู้ชมได้กวาดสายตามองตรงไปส่วนกลางที่เป็นก้อนหินซ้อนกันในทะเล
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ใช้ต้นไม้เป็นตัวพระรองในภาพของผม ครั้งหนึ่งต้นไม้สร้างกรอบภาพและแม้ว่าเราไม่เห็นต้นไม้ทั้งต้น ภาพจะดูไม่มีอะไรเลยถ้าปราศจากพวกมัน

3. เมื่อเราไม่รวมคนเข้าไปในภาพ เพื่อบอกขนาดของต้นไม้

คุณคิดว่าต้นไม้ที่อยู่ในรูปข้างบนใหญ่แค่ไหน? ถ้าผมจะพูดว่าเด็กเล็กๆที่เพิ่งหัดเดินสามารถยืนอยู่ข้างใต้ที่บังแดด บ่อยๆที่ล่อใจสำหรับช่างภาพที่ต้องการให้คนอยู่กับต้นไม้เพื่อบ่งบอกถึงความใหญ่ของต้นไม้  สำหรับต้นไม้เล็กๆตัวอย่างต้นเมเปิ้ลที่แสดงอยู่ด้านบน ภาพอาจจะถูกทำให้เสียหายได้ถ้ารวมเอาคนเพื่อเทียบสัดส่วนของขนาดเข้าไปเพราะต้นไม้มันเล็กมาก ในความเป็นจริงมันเล็กมากจนผมต้องนอนคว่ำลงบนพื้นเพื่อที่จะถ่ายภาพ

4. เมื่อใช้ความชัดตื้น

บางครั้งมันชัดเจนมากเพียงเพื่อที่จะเน้นและนำมาซึ่งความน่าสนใจกับต้นไม้บางต้นหรือรูปร่างของต้นไม้ คุณสามารถใช้ค่าการเปิดรูรับแสงที่กว้างเท่ากับ f/2.8 เพื่อจะสร้างความชัดตื้นชัดลึก นี้คือการตัดสินใจในเชิงสร้างสรรค์ ไม่มีอะไรถูกหรือผิด เพียงแต่มันคืองานในมุมมองของคุณเอง ผมใช้ชัดตื้นในการถ่ายภาพทิวทัศน์ของผม แต่ในบางโอกาสผมต้องการดึงความสนใจในรูปทรงของต้นไม้เหมือนกับชายคนนี้ในภาพด้านล่าง (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ไม่ว่าคุณจะถ่ายภาพทิวทัศน์ขนาดใหญ่หรือสิ่งเล็กๆที่อยู่ในธรรมชาติ ลองใช้คำแนะนำสี่ข้อเพื่อจะพัฒนาในการถ่ายภาพต้นไม้ ลองด้วยตัวคุณเองและเก็บภาพต้นไม้ที่สวยงามของคุณเอง

33
 การสร้างภาพนามธรรมจากธรรมชาติ

โพสโดย Bruce Wunderlich แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/creating-abstract-im…/

ความหมาของคำว่า นามธรรม ในการถ่ายภาพธรรมชาติ คืออะไร? ธรรมชาติมันมีความหมายในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่ นามธรรม มันคืออะไรละ คุณอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ถ้าคุณยังจดจำในรูปทรงของวัตถุหนึ่งได้ มันไม่ใช่ นามธรรม แต่มันก็ท้าทายเรากับคำพูดนี้...
ไม่มีกฎที่ชัดเจนเกี่ยวกับการถ่ายภาพแบบนามธรรม ตัวแบบของการถ่ายภาพอาจจะเป็นสิ่งที่จำได้ว่าคืออะไรหรือจำไม่ได้ รูปภาพนามธรรมจะประกอบไปด้วยชิ้นส่วนเล็กของตัวแบบหรือหลายๆ ตัวแบบ ภาพนามธรรมจะมุ่งเน้นไปยังพื้นที่จำกัดของตัวแบบซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงรูปทรง ลวดลาย รูปแบบ สี หรือพื้นผิว การเคลื่อนไหวก็สามารถสร้างภาพนามธรรมได้ เช่นการไหลของน้ำ หรือลมที่พัดดอกไม้ การเก็บภาพในธรรมชาติก็เป็นการเก็บภาพแบบนามธรรม คุณไม่ต้องการอุปกรณ์พิเศษอะไร เพียงแค่กล้องถ่ายภาพและสิ่งที่สำคัญคือ จินตนาการของคุณเอง ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ปรากฎในภาพถ่ายของคุณที่ทำให้เจริญตาเจริญใจ ไม่จำเป็นว่าสิ่งนั้นเป็นที่คุณสามารถพิสูจน์ว่าตัวแบบจริงๆ มันคืออะไร

ในบทความนี้คุณจะไม่พบความอัศจรรย์ในการปรับค่ากล้องสำหรับการสร้างภาพนามธรรม เพราะคุณต้องการที่จะคิดนอกกรอบ การค้นพบการตั้งค่าที่ถูกต้องจะเป็นกุญแจนำไปสู่ภาพนามธรรมที่ยอดเยี่ยม อย่ากลัวที่จะต้องปรับกล้องของคุณให้เป็นโหมด Manual และทดลองกับค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ที่แตกต่าง จำไว้ว่าค่ารูรับแสงจะควบคุมการชัดตื้นชัดลึก และค่าความเร็วชัตเตอร์จะมีผลกับความคมชัดหรือเบลอของภาพ นอกจากนั้นกฎทั่วไปของการวางองค์ประกอบภาพจะไม่ได้ถูกนำมาใช้บ่อยกับการถ่ายภาพนามธรรม กุณแจสำคัญที่จะทำให้เรากลายเป็นคนที่หูไวตาไว ช่างสังเกต การค้นหาตัวแบบที่เล็กที่สุดที่จะสร้างภาพนามธรรม บ่อยครั้งที่เรามองรูปแบบของภาพถ่ายเป็นการเล่าเรื่อง หรือบันทึกเหตุการณ์ แต่สำหรับการถ่ายภาพนามธรรมคือการเก็บอารมณ์ มีอยู่ห้ากุญแจสำคัญที่คุณต้องพิจารณาในการสร้างภาพนามธรรม เส้น รูปทรง พื้นผิว แบบแผน และสี

เส้น

เส้นคือรากฐานของการออกแบบ และพวกมันถูกใช้เป็นพื้นฐานของภาพทางศิลปะ
• เส้นที่ตัดกัน คือเส้นที่มาจากทิศทางที่ต่างกันที่อยู่ในและนอกภาพ ซึ่งสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความสับสน หยุ่งเหยิง
• เส้นโค้ง ยอมให้สายตาของผู้ชมได้สำรวจภาพในลักษณะแบบราบเรียบ ทำให้รู้สึกถึงความสงบมากว่าเส้นตรง
• เส้นที่เกิดซ้ำ คือ เส้นที่เกิดขึ้นซ้ำๆบนพื้นผิวซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังและการทำนาย จังหวะ และการเคลื่อนไหวของภาพ
• เส้นทแยงมุม คือเส้นที่ให้ความรู้สึกถึงความพึงพอใจมากกว่าเส้นแนวตั้งและแนวนอน และเป็นเส้นนำสายของผู้ชมที่ก้าวเข้าไปอย่างช้ามากกว่าเส้นตรงที่ลากจากบนลงล่าง (โดยการหมุนกล้องของคุณก็สามารถเปลี่ยนเส้นแนวตั้งและแนวนอนให้เป็นเส้นทแยงได้แล้ว)

รูปทรง

รูปทรง พบได้ทุกๆที่ในธรรมชาติ และสามารถใช้มันมาสร้างภาพที่มีความหมายได้ การเก็บภาพนามธรรม ให้เลือรูปแบบที่น่าสนใจและสบายตา มันสำคัญมากที่รูปทรงสร้างความรู้สึกที่ตอบสนองจากผู้ชม และนี้คือสิ่งที่เรียกว่า “Wow” แฟคเตอร์
• รูปทรงกลม นำมาซึ่งการไหลเวียน ความต่อเนื่องและการหลงใหล
• รูปทรงสามเหลี่ยม สร้างความรู้สึกถึงความมั่นคงถ้ามันอยู่บนพื้น หรือ ไม่มั่นคง ถ้ามันตั้งอยู่บนยอดแหลม
• รูปทรงสี่เหลี่ยม แสดงถึงความมั่นคงและมีระเบียบ
• รูปทรงก้นหอย สร้างถึงความรู้สึกที่มีพลังงาน ความยืนหยุ่นและวงจรชีวิต

พื้นผิว

พื้นผิว ถูกสร้างโดยความหยาบของพื้นผิวและมันดูเหมือนว่ามันเกิดขึ้นแบบไม่มีแบบแผน พื้นผิวมาจากผลิตผลของเส้น แสงและเงาสร้างความลึก (เลนส์มาโครสามารถช่วยจับภาพพื้นผิวได้ดี)
แบบแผน
แบบแผนมีลักษณะคล้ายๆกับพื้นผิว แต่มันมีความเป็นโครงสร้างมากกว่า แบบแผนบางครั้งถูกสร้างโดยแม่แบบธรรมชาติที่ถูกคำนวณทางคณิตศาสตร์ ตัวอย่างเช่น เกล็ดหิมะ และใยแมงมุม

สี

สีในรูปแบบนามธรรมมีประโยชน์ในการสะกดให้ผู้ชมสนใจ ลองค้นหาสีที่เสริมกันเอง ซึ่งพวกมันจะทำให้สายตาของผู้ชมสนใจได้นาน
คำแนะนำบางอย่างที่ช่วยให้คุณถ่ายภาพธรมมชาติในแบบนามธรรม
• ถ่ายภาพที่ตัวแบบธรรมดา ต้นไม้ หิน ก้อนกรวด เปลือกหอย หยดน้ำค้าง สิ่งเหล่านี้ที่ดูธรรมดาสามารถสร้างภาพนามธรรมได้
• ใช้ความชัดตื้นชัดลึกในการเก็บภาพถ่ายที่คุณต้องการ เปลี่ยนค่า f-stop (ค่ารูรับแสง) เพื่อจะควบคุมการชัดตื้นชัดลึก สิ่งนี้เป็นประโยชน์เมื่อถ่ายภาพพื้นผิว เมื่อคุณต้องการให้วัตถุทั้งหมดคมชัด
• ใช้การเคลื่อนไหว ใช้ค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าเพื่อเก็บภาพวัตถุในการเคลื่อนไหวที่สามารถสร้างผลลัพท์ที่น่าสนใจ
• ทดลองกับค่าไวท์บาลานซ์ เหมือนที่ได้พูดไว้ในตอนต้น ภาพถ่ายนามธรรมคุณไม่ต้องตามกฎของการถ่ายภาพ และคุณสามารถปรับค่าไวท์บาลานซ์อย่างอิสระเพื่อสร้างสีที่น่าสนใจ
• ปรับค่าความอิ่มตัวของสี เพื่อสร้างสีที่น่าพึงพอใจและค้นหาค่าสีที่เสริมกัน
• ค้นหาความคิดสร้างสรรค์ในการใช้แสง เพื่อให้มีผลกระทบบนภาพนามธรรมของคุณ

ภาพนามธรรมที่เบลอ

อีกขั้นตอนหนึ่งในการทดลองกับการเคลื่อนไหวกล้องถ่ายภาพเพื่อสร้างภาพนามธรรมที่เบลอ การเคลื่อไหวที่เบลอจะเหมาะสมลงตัวกับธรรมชาติที่ขาดแรงดึงดูด ขั้นตอนเหล่านี้ต้องทดลองหลายอย่างและต้องโยนทิ้งรูปภาพมากมายที่คุณถ่ายมา แต่สิ่งที่เป็นรางวัลที่มีค่าเมื่อมันได้ภาพที่เยี่ยมยอด ลองค้นหาตัวแบบที่เป็นเส้น สีสว่างและมีความเปรียบต่างที่ดี เช่นต้นไม้และดอกไม้ คำเตือน ขั้นตอนเหล่านี้สามารถทำให้คุณติดเหมือนเสพยาได้

การตั้งค่ากล้องเพื่อถ่ายภาพนามธรรมที่เบลอ
1. ให้ตั้งค่ากล้องไปที่โหมด Manual หรือค่าความเร็วชัตเตอร์เป็นตัวหลัก ไม่ว่าคุณจะถนัดในการใช้งานหรือไม่
2. ให้ตั้งค่า ISO ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
3. ให้ตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ระหว่าง 1/4 และ 1/20 ขึ้นอยู่กับว่าตัวแบบคืออะไรและคุณใกล้มันมากแค่ไหน กับตัวแบบที่ไกลออกไปอาจต้องการค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ช้ากว่าการเข้าใกล้เพื่อให้เกิดการเบลอ
4. ปรับค่ารูรับแสงเพื่อให้ได้ค่าที่เหมาะสมที่ปกติคุณเคยถ่ายภาพทั่วๆ ไป
5. ลองมองหาสภาพแสงที่ต่ำเช่น ช่วงเช้ามืด หรือตอนบ่ายแก่ๆซึ่งกล้องยอมให้คุณใช้ค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าโดยปราศจากการใช้ค่ารูรับแสงที่แคบลง มันมีความจำเป็นที่ต้องการตัวฟิวเตอร์ ND ถ้าสภาพแวดล้อมมันสว่างเกินไป
6. ตั้งค่าโฟกัส มันมีความสำคัญในการปรับโฟกัสบนกล้องของคุณที่ตัวแบบแม้ว่าผลของภาพคุณจะไม่ปรากฎว่ามันอยู่ในโฟกัส กดปุ่มชัตเตอร์ไปครึ่งหนึ่งที่จะโฟกัสตัวแบบหลักของคุณ (ปุ่มโฟกัสด้านหลังตัวกล้องจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในสถานการณ์แบบนี้)
7. เวลานี้กับตัวแบบที่ยังคงอยู่ในโฟกัส ย้ายตัวกล้องของคุณไปตามเส้นของตัวแบบ กดปุ่มชัตเตอร์ขณะที่คุณผ่านตัวแบบหลักของคุณ มันสำคัญมากที่จะตามหลังจากที่ชัตเตอร์ปิดตัวลง สิ่งนี้จะช่วยเก็บโทนสีทั้งหมดเอาไว้ ทดลองกับค่าความเร็วในกล้องของคุณขณะเคลื่อนที่เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุด
8. ทำซ้ำไปเรื่อย จนกระทั่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ในบทสรุป ครั้งถัดไปที่คุณออกไปถ่ายภาพให้คุณเป็นคนช่างสังเกตและค้นหารายละเอียดและความน่าสนใจที่กระตุ้นอารมณ์ของคุณและความน่าสนใจทางศิลปะกับภาพนามธรรมที่พบในธรรมชาติ ถ้าคุณมีความคิดอื่นๆในการสร้างภาพนามธรรมในธรรมชาติ โปรดแบ่งปันในด้านล่างนี้

34
 คำแนะนำการถ่ายภาพนก...จะทำอย่างไรให้ภาพนกของคุณโดดเด่น..

โพสโดย Prathap DK แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/bird-photography-tip…/

คุณเคยผิดหลังเมื่อคุณกำลังดูภาพถ่ายนกในไฟล์ภาพของคุณไหม? ผมเป็นคนหนึ่งละ หลายๆครั้งด้วย ทุกวันนี้ผมยังคงผิดหวังที่เห็นภาพถ่ายนกหลายๆ ภาพและมานั่งคิดว่าทำไมผมถ่ายภาพไม่ดีตั้งแต่แรก?
หลายๆ ครั้ง เหตุผลของความล้มเหลวของภาพถ่ายนกที่ไม่ดึงดูดใจคือความน่าเบื่อหรือฉากหลังที่กวนใจ
ลองดูที่งานของคุณอีกครั้งและดูว่าคนร้ายคือฉากหลัง คุณจะประหลาดใจ และตกใจ และเริ่มคิดว่าทำไมผมถ่ายภาพนี้มา อะไรอยู่ในความคิดของผมตอนนั้น?
เหตุผลในคำอธิบายง่ายๆ มันเป็นนิสัยธรรมชาติของเรา เราจะมองเห็นกับอะไรก็ตามที่เราต้องการเห็น ลองจินตนาการถึงสถานการณ์แบบนี้ คุณมีกล้องและเลนส์เทเลโฟโต้ เมื่อคุณเห็นนกตัวใหญ่เหมือนนกอินทรีย์หัวหงอกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ คุณจะทำยังไง? คุณจะเริ่มเก็บภาพแบบยิงรั่วหลายๆ ภาพ ใช่ไหม? เราจะทำแบบนั้น การเก็บภาพที่สวยงามและกลัวที่จะสูญเสียโอกาสจะไม่ยอมปล่อยให้เราคิด ถ้าปราศจาก.....
ลองติดตามดูคำแนะนำง่ายๆในการถ่ายภาพนก และการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก่อนที่คุณจะเริ่มกดปุ่มชัตเตอร์ คุณจะสามารถสร้างภาพถ่ายนกที่โดดเด่นได้

ฉากหลังช่วยสร้างภาพ

จำไว้ว่าเราเห็นโลกของเราต่างจากที่กล้องเห็น เราต้องการเห็นเพียงอะไรก็ตามที่เราต้องการเห็น ความหมายคือ เราปรับการมองเห็นของเราโดยใช้ตัวกรอง สมองของเราจะผ่านเฉพาะข้อมูลที่สำคัญที่เรากรองเอาสิ่งไม่สำคัญออกไป ดังนั้นเราเห็นเพียงนกและความสวยงามของมัน แต่ไม่เห็นฉากหลังหรือสิ่งกวนใจในฉากหลัง แต่กล้องของเราไม่สามารถกลั่นกรองสิ่งเหล่านี้ได้ มันจะบันทึกทุกสิ่งที่มันเห็น ไม่ว่านกจะสวยอย่างไร คุณต้องแน่ใจว่าฉากหลังต้องสะอดหรือมีความน่าสนใจเพียงพอที่เป็นองค์ประกอบให้กับตัวนกซึ่งทำให้ตัวแบบหรือนกโดดเด่น

ใช้ขาของคุณ

คุณใช้ขาของคุณเมื่อคุณกำลังถ่ายภาพไหม? คำถามนี้ฟังดูแล้วบ้าไปนิดใช่ไหม? ลองคิดอีกที..เมื่อคุณได้เห็นนกตัวหนึ่งมันมีความตั้งใจที่จะเก็บภาพในทันที ในการเก็บภาพอย่างรวดเร็วนี้คุณจะลืมถึงการเคลื่อนไหวไปรอบๆ
เพื่อให้ได้ฉากหลังที่สะอาดและไม่มีสิ่งกวนตาคุณต้องเคลื่อนไปรอบๆในบางครั้ง หรือเกือบจะทุกครั้ง แต่จำไว้ว่าต้องเคลื่อนที่อย่างช้าๆ เวลาในการเคลื่อนที่เพียงไม่กี่ฟุตไปซ้าย ขวา หน้า หรือหลังจะได้ผลลัพท์ที่น่าประหลาดใจ ถ้าคุณไม่ได้อยู่กับขาตั้งกล้อง

ความอดทนมีค่าใช้จ่าย

ไม่มีสิ่งใดจะมาแทนที่สำหรับความอดทนเมื่อมันให้ผลสำเร็จกับบางสิ่งที่มีค่าในชีวิต มันไม่ได้แตกต่างกับการถ่ายภาพนก
ทำไมเราต้องการเคลื่อนที่? ทำไมเราไม่สามารถนั่งคอยในที่หนึ่งหลายๆ นาที จนถึงชั่วโมง?
ถ้าคุณลองคิดให้ลึกกว่านี้ คุณจะเข้าใจว่าเราจะหงุดหงิด กระสับกระส่ายแม้ว่าเราเชื่อว่าในอนาคตหรือบางสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ เรียนรู้ที่ใช้ชีวิตในปัจจุบัน เรียนรู้สิ่งที่อยู่ล้อมรอบด้านหน้าเรา แทนที่จะเคลื่อนย้ายไปค้นหานกตัวต่อไป ลองใช้เวลากับนกที่อยู่ข้างหน้าคุณ ผมแนะนำว่าคุณควรจะใช้เวลาหลายชั่วโมงจนถึงหลายวันในการประสบความสำเร็จ คุณจะตกหลุมรักกับนกและในที่สุดกับธรรมชาติด้วย ความอดทนเป็นกุญแจที่ให้การถ่ายภาพนกต่างๆ ยอดเยี่ยม

ใช้ค่าชัดตื้นชัดลึก (DOF) เป็นข้อดีของคุณ

ค่าชัดตื้นชัดลึกจะเล่นในบทหลักสำคัญที่ทำให้ภาพถ่ายนกของคุณดูสวยงาม โดยการใช้ค่า DOF คุณสามารถแยกตัวแบบจากฉากหลังโดยการใช้ค่าชัดตื้น หรือให้ความสำคัญกับทั้งนกและฉากหลังโดยการใช้ค่าชัดลึก
ถ้าฉากหลังไม่ได้แสดงถึงที่อยู่อาศัยของนกดังนั้นรูรับแสงที่ใหญ่เช่น f/2.8, f/4, f/5.6 เพื่อให้ได้โบเก้ในฉากหลังที่ทำให้นกโดดเด่นในภาพ หรือไม่เช่นนั้นให้รวมเอาถิ่นที่อยู่อาศัยโดยใช้ค่ารูรับแสงที่แคบเช่น f/8, f/11 และค่าอื่นๆ ที่จะช่วยเล่าเรื่องราวให้กับผู้ชม

เติมให้เต็มกรอบ

ถ้าคุณถ่ายภาพนกผ่านกรงตาข่าย คุณจะพบว่าการถ่ายภาพนกหลักจะต้องมีภาพนกที่เต็มกรอบภาพ
มีอยู่สามเหตุผลหลักสำหรับการถ่ายภาพนกให้เต็มเฟรมภาพ
1. ส่วนใหญ่มันเกี่ยวกับนกและความสวยงาม ดังนั้นไม่มีเหตุผลอื่นใดทำไมบางสิ่งควรจะอยู่เต็มกรอบภาพ
2. นกจะหลุดออกจากเฟรมภาพถ้ามันอยู่เพียงส่วนหนึ่งของกรอบภาพ ถ้าปราศจากที่มันอยู่ในถิ่นอาศัยของมัน หรือทิศทางของแสงที่ส่องมาที่มันมากกว่าสิ่งอื่นในกรอบภาพ
3. การให้นกอยู่เต็มกรอบภาพเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่กวนตาในฉากหลัง

การเอาสิ่งที่กวนตาออกในการทำภาพถ่าย

สิ่งนี้คือข้อถกเถียงแน่ๆ มันถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณ หรือไม่ถูกต้อง? มันขึ้นอยู่กับ....
คุณนำภาพเหล่านั้นไปแบ่งปันลงใน social media หรือเปล่า? มันไม่ควรจะกวนใจคุณมากไป ถ้าคุณรู้สึกว่าการเอาสิ่งที่กวนตาออกไปทำให้ภาพดูดีขึ้น มันไม่แปลก อย่างไรก็ดีมันต้องไม่ทำมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น คุณไม่ควรทำถ้าคุณต้องส่งภาพของคุณเข้าไปประกวดหรือในไซต์ ที่มี ID หรือในที่อื่นๆ ที่ไม่อนุญาติให้แต่งภาพ

คุณควรจะพยายามถ่ายภาพให้สมบูรณ์ที่ไม่มีสิ่งกวนสายตา แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ คำแนะนำของผมที่จะเอาสิ่งกวนสายตาออกไปโดยที่เป็นไปไม่ได้ในการเอาออกในตอนถ่ายภาพ สิ่งที่เป็นกิ่งไม้เล็กวิ่งผ่านตัวนก ความสว่างที่เหมือนกับแผ่นฟลอย กระดาษ หรืออื่นๆ สามารถที่จะเอาออกได้ขณะที่พวกมันไม่ได้ส่วนในผลลัพท์สุดท้ายของภาพ
การครอปภาพก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะกำจัดสิ่งกวนสายตาและการปรับองค์ประกอบในฉาก มันเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับช่างภาพถ่ายนกขณะที่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเลนส์เทเลโฟโต้ที่ยาวที่สุด

บทสรุป

ให้ฉากหลังสะอาดและทำให้นกโดดเด่นในกรอบภาพ
คุณจะได้ภาพที่ยอดเยี่ยมโดยลองทำตามคำแนะนำด้านบนในการถ่ายภาพนก เวลานี้ออกไปและถ่ายภาพ นั้นคือคำแนะนำที่ดีที่สุดที่ผมให้คุณถ้าคุณต้องการพัฒนาการถ่ายภาพนกอย่างจริงจัง.....ขอให้สนุก...

35
คำแนะนำสำหรับการถ่ายภาพในสภาพอากาศที่แตกต่างกัน

โพสโดย Monica Day แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/tips-for-photographing-in-different-weather-conditions/

คุณคิดว่าการถ่ายภาพมันสุดยอด..คุณมีเครื่องมือ คุณรู้การถ่ายภาพพื้นฐาน คุณรู้ถึงสามเหลี่ยมของ ISO, ค่าความเร็วชัตเตอร์ และค่ารูรับแสง เวลานี้แหละที่คุณพร้อมจะต้องนำมาพวกมันมาใช้ คุณพร้อมที่ออกไปและทดสอบ แต่คอยก่อน.....คุณยังไม่ได้คำนึงถึงเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศเลย นี้คือสิ่งเล็กๆของการถ่ายภาพที่เราบ่อยครั้งมักจะลืม ถ้าคุณไม่ได้ถ่ายภาพในสตูดิโอ ดังนั้นสภาพดินฟ้าอากาศจะเป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณาเมื่อคุณกำลังออกไปถ่ายภาพ
มีขั้นตอนพื้นฐานของเรื่องสภาพภูมิอากาศบางเรื่องที่คุณจะต้องพบเมื่อคุณเป็นช่างภาพ วันเมฆมากหรือมีแต่เมฆปกคลุม ฝนตก แดดจ้า วันที่ร้อนจัดอุณหภูมิสุง และวันที่มีหิมะ สภาพอากาศที่กล่าวมาเหล่านี้มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ผมจะพูดถึงบางส่วนและรวมไปถึงคำแนะนำในการถ่ายภาพในสภาพอากาศที่แตกต่างกัน

วันที่มีเมฆ หรือ เมฆปกคลุมไปทั่ว

นี้คือสภาพที่ผมชอบในการถ่ายภาพบุคคล วันที่มีเมฆปกคลุมจะนำมาซึ่งสภาพแสงที่ได้ถูกกรองอย่างน่าอัศจรรย์ คุณสามารถถ่ายภาพในช่วงตอนเที่ยงๆโดยมีความกังวลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแสงที่แข็งหรือเงาจากตัวแบบที่ไม่ต้องการ คุณไม่ต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับแสงบนใบหน้ามากนัก มันจะดีมากที่มีตัวสะท้อนแสงที่สะท้อนแสงไปยังใบหน้าของตัวแบบของคุณ ให้แน่ใจย่าคุณได้มองดูภาพนั้นซึ่งมันจะช่วยให้คุณรู้ว่าคุณถ่ายภาพ under หรือ over ค่ารับแสง คุณยังสามารถบอกได้ว่าถ้าคุณต้องการการสะท้อนแสงที่มากบนตัวแบบ ลองดูภาพถ่ายบุคคลด้านบน (ดูภาพต้นฉบับบจากในเว็ปไซต์)
การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในวันสภาพที่มีเมฆปกคลุมก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย สภาพฟ้าที่มีเมฆปกคลุมจะเป็นสีเทาและไม่มีอะไรที่น่าสนใจที่จะเพิ่มเข้าไปในวิวของภูเขา หรือทุ่งนาที่มีวัวอยู่ ลองดูสภาพอากาศที่มีพายุ มันจะเพิ่มในส่วนของความรู้สึกถึงสถานที่และขนาด คุณสามารถตัดส่วนของภาพเพื่อเอาส่วนที่เป็นเมฆสีเทาออกไป แต่ยังคงมีแสงที่เยี่ยม
ประโยชน์ที่ได้....ความสวยงามของแสงที่มีการกรอง 
ข้อจำกัด....มีเมฆสีเทาที่ดูน่าเกลียด

วันที่มีฝน

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อวันที่มีเมฆมากกลายเป็นฝนในการถ่ายภาพของคุณ? แน่นอน คุณต้องเผชิญกับมัน ฝนเพียงเล็กน้อยไม่ได้ทำอันตรายกับใคร ทางที่ดีที่สุดทางหนึ่งในการเผชิญกับฝนคือให้นำร่มไปด้วย ลองหาร่มที่ดีไว้สักอันกับอุปกรณ์การถ่ายภาพของคุณ ลองมองหาร่มที่ใสที่จะบังหัวของคุณ มันทำให้ภาพดูแปลกตา คุณสามารถได้สีที่สวย ลองกับลายจุดของผ้าหรือใช่ร่มเป็นส่วนหนึ่งของภาพถ่าย คุณไม่ต้องใช้มันกับทุกๆ ภาพแต่ก็ไม่ต้องกลัวในการที่จะมีพวกมันรวมอยู่ด้วย
ลองมองหาพื้นที่ที่กันจากฝน ชายคา ช่องทางเดิน หรือร้านกาแฟที่สามารถให้คุณได้พื้นที่ดีๆ สำหรับการถ่ายภาพของคุณ ฝนสามารถช่วยคุณเล่าเรื่องถ้าคุณต้องการมัน ในท้ายสุดของการถ่ายลองถ่ายตัวแบบของคุณถ้าพวกเขายินดีที่จะเปียก ลองดูว่าคุณได้อะไรบ้างและให้ลองกับสิ่งที่แตกต่างขณะที่คุณกำลังเรียนรู้ในสภาพอากาศแบบนี้
แน่นอนฝนจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน คุณต้องแน่ใจว่าอุปกรณ์ของคุณได้รับการป้องกัน คุณไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์กันฝนที่หรูหร่าถ้ามันไม่ได้อยู่ในงบประมาณของคุณ ใช้ถุงพลาสติกจากร้านขายของชำและเทปเพื่อป้องกันตัวกล้อง ถ้าสภาพอากาศมันเลวร้ายมาก ลองจัดตารางเวลาของคุณใหม่สำหรับวันที่มีฝนน้อย อีกครั้งหนึ่ง ความปลอดภัยเป็นกุญแจสำคัญ
การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในฤดูฝนจะให้เรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ ให้แน่ใจว่าคุณระวังเรื่องการตั้งค่าโฟกัส กล้องของคุณจะพยายามโฟกัสไปที่หยดน้ำฝนและมันจะเบลอในส่วนของวิวทิวทัศน์ สิ่งนี้จะดีมากถ้าคุณตั้งใจให้เป็นแบบนั้น ถ้าไม่ใช่ คุณจะจบด้วยการมีภาพที่เบลอ
ประโยชน์ที่ได้....เพิ่มมิติและความรู้สึกของเรื่องราวและสถานที่
ข้อจำกัด...อุปกรณ์จะไม่ทนกับสภาพอากาศและความไม่สะดวกสำหรับตัวแบบ

วันที่แสงแดดจ้า

หลายคนคิดว่าวันที่แสงแดดจ้าคือวันที่ฝันร้ายในการถ่ายภาพบุคคลของช่างภาพ ผมคิดแตกต่าง วันที่แสงแดดจ้าสามารถสร้างแสงที่สวยงามและคุณสามารถเล่นกับเงาถ้าคุณชอบ (อ่านเรื่อง Dispelling the Myth of Good Light and Bad Light สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมในหัวข้อนี้)
เมื่อถ่ายภาพในวันที่แสงแดดจ้า คุณจะพบว่ากล้องจะวัดค่าแสงที่ทำให้ฉากหลังสว่างมาก หรือตัวแบบที่อยู่ข้างหน้าคุณ เพราะว่าตัวแบบของคุณมันมืดมากหรือตัวฉากหลังของคุณมันสว่างมาก ลองถ่ายภาพใน ร่มเงา หมายถึงว่าให้คุณวางตัวแบบของคุณให้อยู่ในส่วนร่มเงาที่ใกล้ๆแสง และใช้แสงสะท้อนกับตัวสะท้อนแสงกลับไปที่ตัวแบบ คุณสามารถใช้แฟลชและให้แน่ใจว่ามันไม่ยิงแสงที่ที่ขาวเกินไปในฉากหลัง แฟลชในช่วงแดดจ้าเนี้ยนะ? ผมรู้มันฟังดูแปลกๆ แต่มันได้ผล ใช้แฟลชกับตัวแบบของคุณขณะที่มันเปิดเผยฉากหลัง คุณสามารถมองหาพวกตัวสะท้อนแสงที่เป็นธรรมชาติรอบๆ ตัวคุณ ลองมองหาตึกสีขาวหรือพื้นทรายตามชายหาดที่สีขาว สิ่งเหล่านี้จะช่วยสะท้อนแสงไปบนตัวแบบของคุณที่ปราศจากการทำให้ฉากหลังขาวโพล่นที่ไม่เห็นรายละเอียด
ภาพวิวทิวทัศน์ในช่วงแดดจ้าก็มีความสวยงาม ลองถ่ายภาพชายหาดในวันที่มีแดดจ้า ลองถ่ายให้เห็นภาพท้องฟ้าสีฟ้าที่สวยงามเท่าๆ กับพื้นทราย
ประโยชน์.....มีแสงมากมายและสามารถเล่นกับเงาได้
ข้อจำกัด....มันสามารถสร้างแสงที่แข็งกระด้างบนตัวแบบ

ช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิสูง

ส่วนใหญ่พวกเราจะถ่ายภาพในช่วงฤดูร้อน มันจะสวยมากในช่วงดวงอาทิตย์ตกและมีฟ้าที่สวยงาม แต่อุณหภูมิมันก็โหดร้าย มันดีมากถ้าจะป้องกันด้วยเสื้อโค้ทหรือเสื้อผ้าหนาๆ แต่ความร้อนมันไม่น่าสนุกเลย คุณต้องแน่ใจว่าตัวคุณเองและตัวแบบอยู่ในสภาพที่สบายๆและปลอดภัย สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัย ผมจะจำกัดการถ่ายของผมเมื่ออุณหภูมิหรือความร้อนมีค่าต่ำกว่า 90 องศาฟาเรนไฮต์ (หรือ 32 องศา C) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คุณกำลังถ่ายภาพอยู่ ใน เปอร์โต ริโก้ 90 องศาที่ชายหาดยังให้ความรู้สึกที่ดี ในบอสตัน ที่ 90 องศาในเมืองจะรู้สึกไม่มีความสุขเลย
ลองดูว่าตัวแบบของคุณรู้สึกอย่างไรในระหว่างการถ่ายภาพ ถ้าคุณสังเกตว่าพวกเขาไม่สะดวกสบาย ถามพวกเขาและจัดตารางเวลาถ่ายภาพใหม่อีกครั้งถ้าจำเป็น
ประโยชน์....คุณและตัวแบบของคุณสามารถสามารถใช้โค้ทหรือเสื้อผ้าที่จำกัด
ข้อจำกัด...อุณหภูมิที่สูงสามารถดูดพลังงานและไม่สะดวกสบาย

ช่วงเวลาที่มีหิมะ

การถ่ายภาพในช่วงที่มีหิมะมันน่าอัศจรรย์ มันสวยงามและสีขาวของหิมะสะท้อนแสงอย่างน่าประหลาดใจ การถ่ายในพายุหิมะ ไม่เกิดขึ้นบ่อย การถ่ายในอุณหภูมิ 10 องศาฟาเรนไฮต์ (-12c) มันเป็นสิ่งที่แย่ เมื่อคุณถ่ายภาพในหิมะ ต้องให้ความระมัดระวังเรื่องน้ำแข็งและอันตรายภายใต้ปุยนุ่มของหิมะ
คุณสามารถถ่ายภาพในขณะที่หิมะกำลังตกหรือช่วงเวลาที่หิมะหยุดตกแล้วก็ได้ ถ้าคุณถ่ายในช่วงหิมะกำลังตกให้คุณดูแลกล้องของคุณเหมือนถ่ายในช่วงฝนตก หิมะจะละลายเป็นน้ำและเข้าไปในกล้องและเลนส์ของคุณได้ อย่ากลัวที่จะบอกให้ตัวแบบเอาเสื้อโค้ทของเขาออก คุณรู้ว่าหิมะไม่ได้ทำให้หนาวจนทนไม่ได้กับความเย็น ถ้าตัวแบบของคุณถอดเสื้อโค้ทออกและถ่ายภาพสักสองสามภาพและให้พวกเขาใส่เสื้อกลับเพื่อให้ร่างกายอุ่นเหมือนเดิม
ลองเล่นกับการเก็บภาพในขณะที่หิมะตก เมื่อหิมะกำลังตกท้องฟ้าจะมีเมฆมาก สีขาวของหิมะจะทำหน้าที่เป็นตัวสะท้อนแสงเล็กน้อยซึ่งคุณสามารถละเลยมันได้ ออกไปข้างนอกและฝึกฝนในการถ่ายและมองดูว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ คุณไม่ต้องการที่จะผจญภัยกับพายุหิมะแน่ๆ
ถ้าหิมะหยุดตกแล้วคุณต้องระวังน้ำแข็งและอันตรายภายใต้หิมะ มันจะไม่เจ็บปวดในการป้องกันกล้องของคุณในกรณีที่คุณล้มลงเพียงเล็กน้อย อีกครั้งหนึ่ง หิมะจะสะท้อนความสวยงาม ให้แน่ใจว่าคุณกำลังวัดค่าแสงที่ตัวแบบและให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการที่ไม่ทำให้หิมะสีขาวขาดรายละเอียดไป
ประโยชน์....มันสวยงามและหิมะให้ความรู้สึกถึงเวลา
ข้อจำกัด...มันหนาวเย็นและทำลายอุปกรณ์คุณได้

จำไว้ว่า...ให้คุณดูแลเป็นพิเศษถึงความปลอดภัยในทุกๆ ครั้ง ความปลอดภัยตัวคุณเอง ตัวแบบของคุณ และอุปกรณ์ของคุณที่มีความสำคัญ ใช้สภาพอากาศเป็นข้อดีของคุณในการทำงานกับสภาพแสงต่างๆ อย่ากลัวที่จะเอาแฟลชไปด้วยหรือตัวสะท้อนแสง สุดท้ายนี้ ขอให้สนุกกับสภาพอะไรก็ตามที่คุณกำลังถ่ายภาพอยู่...

36
 ห้าคำแนะนำที่ช่วยให้คุณช้าลงและถ่ายภาพได้ดีกว่า

โพสโดย Simon Ringsmuth แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/5-tips-help-slow-tak…/
เมื่อคุณออกไปถ่ายภาพมันสามารถยั่วยวนใจให้เริ่มถ่ายในทางที่ถูกต้องกับเป้าหมายที่คิดไว้ว่าอยากจะได้ภาพอะไรและจับภาพที่สมบูรณ์แบบ แต่ก่อนที่คุณจะเอากล้องออกมามันอาจจะดีที่จะทำในทางตรงข้ามกันและช้าลง การช้าลง ลองใช้เวลาสักครู่ในการพิจารณาถึงบทเรียนในนิยายในสมัยเด็กคือเรื่องเต่ากับกระต่ายป่า การเหน็บแนม สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งซึ่งคุณสามารถทำเมื่อแรงบันดาลใจเข้ามาคือการเคลื่อนที่ช้าๆเหมือนอย่างเต่าดีกว่าไปอย่างรวดเร็วเหมือนกระต่ายป่า แม้ว่าเต่าอาจจะไม่ใช่สัตว์ที่เคลื่อนตัวเร็วในทุ่งนา แต่มันก็เดินไปและถึงเส้นชัยขณะที่กระต่ายป่ารู้สึกเหนื่อยอ่อนในการแข่งขันและยอมแพ้โดยสิ้นเชิง เหมือนกับช่างภาพมันมีความยั่วยวนเหมือนกระต่ายป่าและพยายามแข่งขันในการถ่ายภาพให้สมบูรณ์ที่สุด แต่ถ้าคุณดูเต่าคุณจะเห็นว่ามันเป็นตัวอย่างที่ดีในการติดตาม
และนี้คือห้าคำแนะนำที่ช่วยให้คุณช้าลงและถ่ายภาพได้ดีกว่า

1. ศึกษาสิ่งที่อยู่ล้อมรอบตัวคุณ

สิ่งที่เป็นตัวสำคัญสิ่งหนึ่งในการถ่ายภาพคือ กรอบภาพ ตัวแบบของคุณได้ถูกวางองค์ประกอบที่เข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างไร? คุณอาจจะพิจารณาถึงตัวแบบในภาพของคุณ (เด็กๆ, ยานพาหนะ, รูปปั้น, ดอกไม้ และอื่นๆ) แต่ก่อนที่คุณจะได้ภาพลงบน SD การ์ด ลองใช้เวลาไม่กี่นาที หรือมากกว่าในการพิจารณาถึงตัวแบบที่มีความสัมพันธ์กับทุกๆสิ่งในบริเวณนั้น ตัวอาคาร บ้าน หรือสิ่งที่ถูกสร้างด้วยมือมนุษย์สามารถทำให้ตัวแบบเด่นตระหง่านได้ไหม? สิ่งแวดล้อมธรรมชาติเช่น ต้นไม้ พุ่มไม้หรือโครงสร้างหิน สามารถที่จะเน้นหรือสร้างสีสันให้กับตัวแบบคุณได้ไหม? โดยการหยุดพิจารณาทุกๆสิ่งที่อยู่ล้อมรอบตัวแบบ คุณจะสามารถตัดสินใจได้ดีกว่าว่าคุณจะเก็บภาพในขณะนั้นอย่างไร
เมื่อผมมองรูปปั้น Saint Francis ในวันที่ฟ้าหม่นตอนเช้า ผมได้พิจารณาไม่เพียงแต่รูปปั้นครึ่งตัวแต่อย่างอื่นที่ช่วยในการจัดกรอบภาพด้วย ทางเลือกที่เร็วที่สุดและสะดวกคือการเล็งกล้องของผมต่ำลงและจับภาพ แต่โดยการทำให้ช้าลงและใช้เวลาในการพิจารณาทุกๆสิ่งที่อยู่ล้อมรอบรูปปั้นนั้น มันคือผลลัพท์ที่ได้ภาพที่น่าประทับใจ ผมจบลงด้วยการย่อตัวลงให้ต่ำถึงพื้นและใช้ฉากหลังเพื่อให้ผู้ชมได้รู้สึกถึงช่องว่างและสิ่งแวดล้อม โดยการพิจาณาถึงสิ่งแวดล้อมและใช้เป็นตัวเลือกของผมในการถ่ายภาพ ผมสามารถได้ภาพที่ดีกว่าวิธีอื่นที่ผมมี

2. คอยแสง

คุณอาจจะไม่ต้องมีแฟลชตัวใหญ่ๆ หรือ ไฟสตูฯและsoftbox แต่คุณสามารถได้ภาพที่น่าอัศจรรย์โดยการใช้แหล่งกำเนิดแสงที่ดีที่สุดจากทุกๆที่ นั่นคือ แสงอาทิตย์ ในอีกแง่หนึ่งคุณต้องมีความอดทนถ้าคุณต้องการใช้มันในการเติมเต็ม มันอาจจะไม่ง่าย แต่มีเทคนิคที่ดีที่สุดที่คุณสามารถใช้ข้อดีของแสงธรรมชาติได้คือการอดทนและการรอคอยจนกระทั่งมันเหมาะสมกับความต้องการในภาพถ่ายของคุณ วันที่ฟ้าสว่างแจ่มใสไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการออกไปถ่ายภาพ ขณะที่ดวงอาทิตย์ตั้งตรงมันทำให้เกิดแสงแข็งกระด้างและทำให้มีความเปรียบต่างสูงโดยเฉพาะถ้ามีต้นไม้ ตึกอาคารหรือสิ่งอื่นที่ทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่
แทนที่จะใช้วิธีการเดียวกับเต่าและคอยจนกระทั่งดวงอาทิตย์อยู่ต่ำลงบนเส้นขอบฟ้า ชั่วโมงหรือก่อนดวงอาทิตย์ตกคือเวลาที่ดีที่สุดที่จะออกไปเก็บภาพ ขณะที่ดวงอาทิตย์ทำมุมต่ำมันก็สร้างแหล่งกำเนิดแสงที่น่าพึงพอใจอย่างมากกว่าเมื่อดวงอาทิตย์อยู่กลางศีรษะ อีกช่วงเวลาที่ดีในการถ่ายภาพที่เป็นธรรมชาติคือหลังดวงอาทิตย์ตก ขณะที่คุณยังคงอยู่มุมต่ำและมีสีอุ่น ผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อถ่ายภาพนี้ที่เป็นรูปปั้นสีทองแดงผู้ซึ่งบางคนตกแต่งด้วยพวงมาลัย แต่โดยการคอยเพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องมาตามที่ผมต้องการ ดีกว่าปล่อยให้มันเกิดขึ้น ผมสามารถได้ภาพที่ดีกว่า มันอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่เร็วที่สุดแต่มันก็ทำให้ได้ภาพที่ดีกว่า

3. เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

การถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าไม่จำเป็นจะต้องมีเลนส์เทเลฯ แต่มันต้องการความอดทน ถ้าคุณต้องการถ่ายภาพสัตว์ที่อยู่รอบตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นสนามหญ้าหลังบ้าน หรือการปีนขึ้นไปบนภูเขา สิ่งที่ดีที่สุดคือการอดทนและปล่อยให้ธรรมชาติเข้ามาหาเรา สัตว์ต่างๆจะได้ยินคุณกำลังเข้ามาและมันก็จะหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าคุณปักหลักในจุดที่ดีและคอยพวกมัน คุณจะได้การตอบแทนกับโอกาสการถ่ายภาพที่มีอิทธิพลกับพวกมัน ในช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมต้องการถ่ายภาพกะรอก ผมเริ่มจากการติดตามมันที่อยู่รอบๆขณะที่มันมองหาเม็ดถั่วและผลของต้นโอ๊ก ผมตระหนักว่านี้คือแบบฝึกหัดที่ไร้ประโยชน์ขณะที่มันวิ่งหนีไปจากผม ดังนั้นผมจึงเลือกหนึ่งที่ที่จะอยู่และคอยมัน หลังจากนั้นไม่นานมันก็คลานจากด้านหลังและเริ่มคุ้ยหารอบๆใกล้ตัวผม และผมก็สามารถที่จะได้ภาพมัน (ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ธรรมาชาติเป็นสิ่งที่เอาแน่นอนไม่ได้และบ่อยครั้งที่จะปฎิเสธกับการเชื่อฟังอะไรก็ตามที่ดูเหมือนจะมีเหตุผล (“อยู่ตรงนั้นนะเจ้านกน้อย...ไม่ ไม่นะอย่าบินหนี) แต่ถ้าคุณใช้เวลาในการเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ และปล่อยให้พวกมันเข้ามาหาคุณ คุณจะได้รับสิ่งตอบแทนกับภาพที่ดีกว่าที่คุณจะเร่งรีบมัน

4. ปล่อยให้เด็กๆ เป็นตัวของเขาเอง

การพยายามถ่ายภาพเด็กๆให้ดีนั้นสามารถทำได้ในช่วงเวลาที่ไม่ใช่วันเกิด หรือการไปสวนสาธารณะตอนบ่าย สำหรับหลายคนโดยสัญชาตญาณทุกอย่างจะอยู่ในการควบคุม “ทุกๆ คนมองทางนี้” พูดว่า ชีสสส” สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ เด็กคนหนึ่งจะยิ้ม คนหนึ่งจะกระพริมตา คนหนึ่งจะเริ่มออกไปข้างๆ และเด็กบางคนก็ร้องไห้ มันดูเหมือนว่าการถ่ายภาพเด็กๆให้ดีนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่ขอบคุณ มันยังมีความหวัง แทนที่เราจะเร่งรีบเหมือนกระต่ายป่าในการสร้างบัตรเชิญในการถ่ายภาพ ลองทำในวิธีตรงกันข้ามและปล่อยให้เด็กๆ ได้เล่น ตั้งกล้องของคุณให้พร้อม และใช้มันในการจับภาพเด็กๆ ขณะที่เขาป็นตัวของเขาเอง คุณสามารถที่จะคอยเป็นบางช่วง แต่คุณ (และเด็ก) จะรู้สึกสนุกกับมันในวิธีการแบบนี้ (ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ผมถ่ายภาพลูกสาวเพื่อนขณะที่เขาและลูกชายผมกำลังเล่นในสนามที่สกปรก แม้ว่าจะใช้เวลาสักพักและผมต้องมายุ่งกับการปรับแต่งภาพ ผมจบด้วยภาพที่มีความน่าสนใจมากกว่าการถ่ายก่อนหน้านี้ ข้อดีของวิธีการนี้มันเกิดขึ้นหลังหนึ่งเดือนผ่านไปเมื่อคุณกำลังมองที่ภาพของคุณ การโพสท่าถ่ายรูปเด็กๆกำลังยิ้มมาที่กล้องอาจจะดูเป็นความคิดที่ดี แต่หลังจากนั้นคุณพบว่ามันไม่น่าสนใจเหมือนกับการที่ปล่อยให้เด็กๆ กำลังเล่นและแสดงท่าทางตามธรรมชาติของเขา แต่ถ้าคุณไม่มีความตั้งใจในการอดทนและคอยสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น พวกเขาก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็วและจะหายไปตลอดกาลโดยปราศจากการสังเกต
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ไม่มีห้องสตูดิโอ ไม่มีกล้องพิเศษอะไร เพียงแต่แสงอาทิตย์และความอดทน

5. เรียนรู้ฟังก์ชั่นกล้องใหม่และเรียนมันอย่างดี

กล้องถ่ายภาพในปัจจุบันนี้มีหลายทางเลือก ปุ่มกด และหมุน ไม่แปลกใจเลยที่หลายๆ คนถ่ายในโหมดออโต้ และผมก็จะไม่กล่าวโทษพวกเขาที่ทำแบบนั้น การเรียนรุ้ในการใช้งานกล้องของคุณสามารถกลายเป็นงานที่น่ากลัวและถ้าการถ่ายภาพด้วยโหมดออโต้แล้วได้ภาพที่ดีเพียงพอ ทำไมต้องไปดูเมนูหรือปุ่มบิดละ? ผมเห็นหลายๆคนพยายามที่จะเรียนรู้วิธีการปรับกล้องเพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่ดีกว่า แต่ก็ล้มเลิกในความสับสนเพราะมันมากมาย ข้อแนะนำคือเลือกมาหนึ่งอย่างและเรียนรู้มันและในการปรับค่าที่แตกต่างมากมายและภาพถ่ายจะค่อยๆเริ่มตามมา
ตัวอย่าง ถ้าคุณถ่ายในโหมดออโต้ พยายามเปลี่ยนมาใช้ โหมดค่ารูรับแสง (AV หรือ A บนกล้องของคุณ) และเรียนรู้ในการควบคุมค่ารูรับแสงในกล้องของคุณเพื่อให้ได้ภาพที่ดี อย่าไปกังวลกับความเร็วชัตเตอร์, ISO, หรือไวท์บาลานซ์, AE-L หรืออะไรก็ตาม ทุกสิ่งมันสำคัญแต่มันคอยได้ เมื่อคุณใช้เวลากับมันสักระยะหนึ่ง อาจจะหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือนานกว่านั้นในการลองปรับค่ารูรับแสง ดังนั้นให้เราเปลี่ยนไปโหมดอื่น เช่น โหมดชัตเตอร์ (S หรือ TV บนกล้องของคุณ) ขณะที่คุณควบคุมความเร็วชัตเตอร์และปล่อยให้กล้องควบคุมในส่วนที่เหลือ คุณจะเริ่มเห็นว่าแต่ละรูปแบบทำงานอย่างไร (รูรับแสง ชัตเตอร์ และ ISO) ที่มีผลกับอีกอันหนึ่ง และจะควบคุมพวกมันอย่างไรเพื่อให้ได้ผลลัพท์การถ่ายที่อัศจรรย์ซึ่งมันช่วยในการหลบหลีกความเข้าใจของคุณ
โดยการที่ติดอยู่กับเลือกใช้ฟังก์ชั่นหนึ่งในกล้องใหม่ของคุณ คุณอาจจะไม่ได้เรียนรู้ทุกๆสิ่งที่เกี่ยวกับกล้องของคุณเร็วเท่ากับคุณต้องการ แต่คุณจะต้องหลีกเลี่ยงความสับสนและความเหนื่อยล้าซึ่งเกิดจากความพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆมากมายในครั้งเดียว หลังจากที่กระต่ายป่าอาจจะออกตัวเร็ว แต่เราก็รู้ว่าจะหยุดอย่างไร ในการถ่ายภาพมันใช้เวลาเหมือนกับเต่า การเริ่มต้นช้าอาจจะดูเหมือนเป็นความคิดที่ไม่ดีนัก แต่มันช่วยคุณให้ได้ผลลัพท์ที่วิเศษสุดในตอนท้าย

37
จะหลีกเลี่ยงข้อมูลใน Memory Cards หายอย่างไร?
โพสโดย David Zimmerman แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย

http://www.picturecorrect.com/tips/how-to-avoid-losing-data-on-your-flash-memory-cards/#.U_tvgjSt758.twitter
ทุกวันนี้กล้องถ่ายภาพเป็นอุปกรณ์เทคนิคที่น่าพิศวง พวกมันถูกทำให้เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความบางของ memory card ที่สัมผัสได้
การถ่ายภาพแนวทิวทัศน์หรือภาพหลายร้อยภาพในงานแต่งงานก็น่าสนุก แต่การถ่ายภาพสามารถถูกทำลายได้ถ้า memory card ของคุณเกิดความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ตัว memory card ทำงานไม่เหมือนกับฟิลม์ที่มีขนาด 35mm ที่ถูกเปิดออกมาโดนแสงอาทิตย์โดยอุบัติเหตุ มันจะทำลายวันของคุณ ดังนั้นคุณจะเก็บรักษาภาพถ่ายของคุณอย่างไร? ลองตามดูเจ็ดคำแนะนำเพื่อให้แน่ใจว่า memory card ยังทำงานเป็นปกติ
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ภาพ River Etive Glencoe ถ่ายโดย Dave Murray)
1.  อย่าใจร้อน
ช่างภาพหลายๆคนจะดึง memory card ออกอย่างรวดเร็วทันทีหลังจากที่ถ่ายภาพไปบ้างแล้ว สิ่งนี้จะทำให้ภาพที่ถ่ายไว้ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะบันทึกลง card ซึ่งสามารถทำให้ไฟล์เสียหาย หรือผลที่ได้อาจจะต้องมีการ reformat card กันใหม่ ขอให้คอยสักนาทีหรือสองก่อนที่จะดึงเอา card ออกจาก computer หรือ กล้องถ่ายภาพ จะมีโอกาสสักเท่าไรที่คุณจะกู้ข้อมูลที่หายไปกลับมาได้ ? ผู้ให้บริการด้านการกู้ข้อมูลจะสามารถกู้ข้อมูลสำเร็จได้ 85% เมื่อประสบกับปัญหาของความผิดปกติใน memory card
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ภาพ “4GB Memory card” ถ่ายโดย Jorge Quinteros)
2. ตรวจสอบระดับของแบตเตอรี่
กล้องจะไม่สามารถทำงานได้ถ้าปราศจากพลังงานจากแบตเตอรี่ และคุณต้องแน่ใจว่าระดับของกำลังแบตฯ เพียงพอที่จะเขียนข้อมูลลงใน card หลีกเลี่ยงการใช้กล้องที่มีระดับของแบตเตอรี่ที่ต่ำ (แบตเตอรี่สำรองจะช่วยต่อชีวิตให้ยาวนาน) หรือคุณอาจจะพบกับความเสี่ยงของข้อผิดพลาดและสูญเสียข้อมูลทั้งหมดใน card มันมีเพียง 75% ของโอกาสที่จะกู้ข้อมูลกลับมาเนื่องจากสาเหตุของแบตเตอรี่ที่มีพลังงานต่ำ
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ภาพ “Canon 1000D Back” ถ่ายโดย Amy Dianna)
3. หาที่อยู่ให้กับ card แต่ละใบ
อย่าปล่อยให้ card อยู่กับกล้องตัวอื่น ใช้หนึ่ง card ต่ออุปกรณ์และเก็บมันไว้ด้วยกัน  อุปกรณ์แต่ละอันจะมีค่าจำนวนและขั้นตอนการ format ของมันเอง และการใช้งานแบบผสมหรือนำ card ไปใช้กับอุปกรณ์อื่นๆอาจจะเป็นผลของการเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ ถ้าคุณต้องใช้ card ของคุณกับอุปกรณ์อื่นๆ ให้แน่ใจว่าคุณได้ดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดเพื่อป้องกันข้อมูลเหล่านั้น ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นในลักษณะการใช้งานแบบนี้โอกาสกู้ข้อมูลคืนกลับมาได้เพียงแค่ 85% เท่านั้น
4. ให้ระวังเรื่องการลบ หรือ ฟอร์แมท ภาพถ่าย
เมื่อคุณกำลังใช้การฟอร์แมทการ์ดจากในตัวกล้องและใช้เครื่องมือในการลบ ให้จำไว้ว่าการใช้บางอย่างเป็นการสร้างขั้นตอนของการฟอร์แมท หรือการลบ มันหมายความว่าอะไร? พวกมันจะเขียน “0” ไปทั่วทั้ง card ซึ่งมันจะเขียนทับไปบนข้อมูลของภาพ ซึ่งมีผลกระทบที่ทำให้ภาพไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้ กล้องบางชนิดก็ไม่ใช้วิธีการนี้ ดังนั้นการกู้ข้อมูลจะขึ้นอยู่กับวิธีการทำและรุ่นของกล้องของคุณ จำไว้ว่าที่เก็บข้อมูลราคาถูก อย่าลบรูปภาพในกล้องเพื่อให้มีเนื้อที่เพิ่มมากขึ้น
5. จัดหาตัว Card Reader
Card reader มันคืออะไรก็ได้ พวกมันมีการทำงานที่ง่าย ใช้งานง่ายและถูก มันจะเพิ่มความเร็วในการโอนถ่ายภาพจากตัวกล้องของคุณไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ และเพียงแค่ให้คุณนำ Memory card มาเสียบ ตัว card reader จะใช้พลังงานจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในการทำงาน ดังนั้นมันจะไม่มีปัญหาเรื่องพลังงานแบตเตอรี่ต่ำ ตัว Card reader ลงทุนเพียงแค่ประมาณ 20 เหรียญสหรัฐสำหรับทุกๆระดับของผู้ใช้งาน
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ภาพ “iPad SD card reader” ถ่ายโดย John Biehler)
6. ระวังการหมุนภาพและการแก้ไขภาพ
หลายๆคนชอบการหมุนภาพขณะที่ดูภาพผ่านตัวกล้อง อย่างก็ดี การปรับแต่งภาพคือสาเหตุที่ทำให้ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายถึงว่าภาพใหม่ที่เกิดขึ้นจะถูกเขียนลงบนตัว card ตัวโครงสร้างของไฟล์สามารถเกิดขึ้นได้แบบไม่ตั้งใจเปลี่ยน ถ้าคุณทำการเคลื่อนย้ายภาพไปรอบๆ ดังนั้นปล่อยให้การโยกย้ายโดยใช้โปรแกรมในคอมพิวเตอร์ โอกาสของการกู้คืนภาพมีเพียง 70% เท่านั้น
7. อย่าทำการลบแล้วถ่ายใหม่
Backfilling หมายถึงการลบภาพออกและถ่ายใหม่ทันที ภาพใหม่จะพักอยู่ในเนื้อที่วางของภาพที่ถูกลบไปก่อนหน้านี้ ซึ่งหมายถึงว่าข้อมูลถูกเขียนลงบน card ซึ่งอาจจะกลายเป็นส่วนที่ยังไม่เสร็จ การกู้ข้อมูลคืนอาจจะไม่ได้เลย
8. ระวังสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ
อุณหภูมิที่แย่สามารถทำลายตัว memory card ได้ แม้ว่ามันจะมีอุณภูมิมากกว่า 120 องศาฟาเรนไฮต์ การปีนเขาในช่วงหน้าร้อน และการเก็บกล้องไว้ภายในกระเป๋าซึ่งสามารถทำให้มีอุณหภูมิสูงได้ถึง 120  คุณต้องเก็บ card ให้ห่างจากน้ำหรือสิ่งสกปรก เพราะทั้งสองอย่างสามารถทำลาย จุดเชื่อมต่อ ไม่แปลกใจเลย card จะไม่ชอบไฟฟ้าสถิตย์ ให้สัมผัสบางสิ่งที่เป็นโลหะก่อนที่จะสัมผัสกับตัว card (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเดินบนพรมที่มีขนยาวๆ) เพื่อไม่ให้เกิดไฟฟ้าสถิตย์กับระบบของคุณ
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ภาพ  “Sunset Photographer” ถ่ายโดย Anita Ritenour)

38
Shooting! / ถ่ายภาพ Light Trails อย่างไร
« on: October 17, 2014, 10:35:48 AM »
ถ่ายภาพ Light Trails อย่างไร

โพสโดย Darren Rowse แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-shoot-light-trails/

ในหนึ่งตัวแบบแรกที่ผมจำได้และพยายามที่จะเก็บภาพเมื่อสมัยเป็นวัยรุ่นกับกล้อง SLR (ฟิลม์)ตัวแรกของผมก็คือ การถ่าย Light Trails ซึ่งมันถูกสร้างจากไฟของรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนนใกล้บ้านผม ผมเห็นการถ่ายภาพแบบนี้ในหนังสือนิตยสารและมันก็ดูสะดุดตาที่จับจ้องมัน  Light Trails ยังคงเป็นแบบที่ได้รับความนิยมสำหรับช่างภาพหลายคน พวกเขาได้รับการฝึกฝนอย่างดีสำหรับการใช้กล้องของพวกเขาโดยไม่ใช้โหมด manual และทดลองกับการถ่ายในสภาพแสงที่น้อยกับการเปิดรับแสงที่นาน ลองตามดูตัวอย่างของการถ่ายภาพ Light Trails และลองฝึกฝนกับจุดเริ่มต้นของคำแนะนำต่อไปนี้
อุปกรณ์.....ไม่ได้มีเพียงแบบเดียวของกล้องและชุดอุปกรณ์ที่คุณต้องการในการเก็บภาพ light trails อย่างไรก็ดีมันมีความสำคัญสำหรับกล้องที่ยอมให้คุณควบคุมการตั้งค่าที่ over ได้โดยทั่วไปคือยอมให้คุณตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ค้างนานได้ มันหมายความว่าคุ๖ต้องการกล้องที่มีความสามารถในการถ่ายภาพในโหมด manual และ/หรือ โหมดความเร็วชัตเตอร์ (หรืออะไรก็ตามที่ทำให้กล้องคุณอยู่นิ่งๆ) ขณะที่คุณถ่ายภาพด้วยความเร็วชัตเตอร์ที่ยาวโดยการใช้มือเปล่าถือกล้องถ่ายนั้นเป็นไปไม่ได้
มันไม่สำคัญแต่มันช่วยคุณได้ถ้าคุณมีเลนส์ฮูด (ช่วยกันเลนส์จากแสงแฟร์ที่เกิดจากแสงแวดล้อม) สายลั่นชัตเตอร์ หรือตัวควบคุมกล้องไร้สาย ความอดทน และเสื้อผ้าที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น ถ้าคุณต้องออกไปพบกลางคืนที่หนาวยะเยือก
หลักการพื้นฐาน
โดยทั่วไปสำหรับระดับการถ่ายภาพ light trails คือค้นหาจุดที่ซึ่งคุณเห็น light trails ที่มาจากรถ จุดที่กล้องดิจิตอลของคุณปลอดภัย ตั้งค่าการถ่ายภาพที่ใช้เวลาในการเปิดรับแสงนานบนกล้องของคุณ ในขณะที่รถวิ่งผ่านโดยมีแสงไฟส่องมา แน่นอนไม่มีอะไรยุ่งยากไปกว่านี้ แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยเบื้องหลังคือ การเปิดค่ารับแสงนาน เพื่อจะทำให้ลำแสงไฟของรถสร้างเส้นทางการเคลื่อนที่บนรูปภาพ

การทดลอง

ขณะที่มีคำแนะนำมากมายที่ถูกแบ่งปันในหัวข้อการถ่ายภาพ light trails สิ่งที่เป็นหลักที่ผมได้เรียนรู้กับการพยายามในการสร้างภาพในรูปแบบนี้คือ การทดลองที่ครอบคลุมภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลที่สวยงาม คือสิ่งที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวคุณเองโดยไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษใดๆ และสามารถได้ผลลัพท์ทันที (ไม่เหมือนเมื่อผมใช้กล้องฟิลม์ต้องรอเอาฟิลม์ไปล้างและต้องคอยกระบวนการล้าง และรอที่จะเห็นภาพพวกนั้น)
การตั้งค่าในการถ่ายภาพ
การถ่ายภาพ light trails ไม่ใช่เรื่องยาก มันง่ายมากในการค้นหาถนนที่มีรถวิ่งผ่านในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังตกดิน แต่การถ่ายภาพนั้นต้องตั้งใจในการใส่ความคิดในการเลือกสถานที่ คิดถึงระยะเวลาและการวางกรอบภาพ นี้คือคำแนะนำบางอย่างในการตั้งค่าถ่ายภาพของคุณ
•   ระยะเวลา/แสง......บางคนคิดว่าช่วงเวลาเที่ยงคืนคือเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพ light trails (และมันสามารถเป็นได้) อย่างไรก็ดี เวลาที่ได้ผลดีในการถ่ายภาพคือช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกดิน (ก่อนและหลัง) ถ้าคุณถ่ายในช่วงเวลานี้นอกจากคุณจะได้แสงไฟจากรถแล้วคุณยังได้แสงแวดล้อมบนท้องฟ้า ซึ่งเพิ่มชั้นบรรยากาศในรูปภาพของคุณอีกด้วย คุณอาจจะพบว่าช่วงตอนเย็นๆคุณจะเห็นการเคลื่อนไหวเล็กน้อยในการถ่ายภาพกับรถที่มากและการเคลื่อนที่ของผู้คน
•   การสร้างสรรค์ทัศนียภาพ.......บางครั้ง light trails ที่ได้ผลดีในการถ่ายที่เคยถ่ายและเห็นจากคนอื่นคือการถ่ายจากมุมทัศนียภาพมากกว่าความสูงของคนที่ยืนตามปกติ ก้มต่ำลงและหาสถานที่มองลงไปที่ฉากของคุณเพื่อจะสร้างภาพในมุมที่ไม่ธรรมดา
•   สถานที่......สิ่งที่ชัดเจนกับสถานที่คือ คุณต้องการสถานที่บางแห่งที่ใกล้กับถนน อย่างไรก็ตามให้เราคิดมากกว่านั้น เลือกสถานที่ที่เพิ่มความน่าสนใจในการถ่ายภาพ มันอาจจะเป็นที่ซึ่งแสงจากตึกส่องตามถนน หรือที่ซึ่งมีถนนหลายๆสายมาบรรจบเข้าด้วยกันที่สร้าง light trail ในทิศทางที่แตกต่างกัน บนถนนที่โค้งก็นำพาเส้นแสงผ่านไปในภาพได้ ใกล้ๆวงเวียนเส้นลำแสงก็จะมีรูปทรงเป็นวงกลม ในกึ่งกลางของถนนคู่ขนาน (บนเกาะกลางที่มีสัญญาณไฟจราจร) ดังนั้นคุณจะได้ภาพการจราจรที่มาจากสองทิศทาง และอื่นๆ
•   กรอบภาพ.....กฎทั่วไปของการวางองค์ประกอบภาพถูกใช้กับการถ่ายภาพแบบนี้ ภาพถ่ายต้องการจุดน่าสนใจ กฎสามส่วนสามารถนำมาใช้อย่างได้ผลดี การใช้เส้นแสงในการนำสายตาในภาพของคุณ ฉากหน้าและฉากหลังควรจะถูกเพิ่มเข้าไปแต่ต้องไม่ดึงความสนใจของภาพนั้น

การตั้งค่า

•   รูรับแสง และความเร็วชัตเตอร์ ผมคิดว่าผมสามารถให้ค่าความเร็วชัตเตอร์และค่ารูรับแสงที่ใช้งานได้ในทุกๆ สถานการณ์ แต่ขณะที่แสงแวดล้อมและความเร็วของรถจะมีความแตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์ ดังนั้นไม่มีค่ารับแสงที่ผสมผสานกันเพียงค่าเดียวจะทำงานได้ในทุกๆการตั้งค่า
ถ้าผมจะพูดแบบนี้ ผมพบว่าผมถ่ายภาพในความเร็วชัตเตอร์ระหว่าง 10-20 วินาที (ซึ่งมีเวลาให้รถได้วิ่งผ่านเข้ามาในกรอบภาพ) และค่ารูรับแสงในช่วงกลาง (เริ่มจากค่า f/8)
กุญแจสำคัญคือ เริ่มกับบางสิ่งในช่วงที่สูงกว่าและทดลองถ่ายภาพสองสามภาพเพื่อดูว่าค่ารับแสงเป็นอย่างไร คุณจะรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าการถ่ายภาพมัน under หรือ over และช่วงระยะเวลาการเปิดค่ารับแสงที่นานเพียงพอที่จะให้รถวิ่งผ่านเข้ามาในกรอบภาพในทิศทางที่คุณต้องการ
ถ้าคุณถ่ายภาพออกมา over ให้ปรับค่ารูรับแสงลง (เพิ่มตัวเลข f stop) หรือถ้าคุณถ่ายออกมา under ก็เปิดค่ารูรับแสงให้เพิ่มขึ้น (ลดตัวเลข f stop) ถ้าคุณต้องการให้แสงไฟของรถวิ่งผ่านกรอบภาพก็ให้ตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ยาว และถ้าคุณต้องการให้เส้นแสงน้อยก็ให้ตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ที่สั้น
จำไว้ให้ขึ้นใจว่า ค่ารูรับแสงมีผลกับความชัดตื้นชัดลึก ถ้าคุณต้องการใช้ค่ารูรับแสงที่ใหญ่คุณจะลดความชัดตื้นชัดลึกและถ้าคุณใช้ค่ารูรับแสงที่เล็กมันจะหลุดจากโฟกัส

•   ฮิสโตแกรม.....สิ่งหนึ่งที่เฝ้าดูแหล่งกำเนิดแสงในภาพ (ไม่ว่ามันจะมาจากไฟหน้ารถ ไฟถนน และอื่นๆ) ที่ทำลายภาพของคุณ แสงที่สว่างมากสามารถให้ไขว่เขว้และดึงสายตาของผู้ชมภาพออกจากจุดหลักของภาพ ทางที่เร็วที่สุดในการตรวสอบว่าพื้นที่ไหนของการถ่ายภาพมีค่าที่ over คือการดูจากค่า ฮิสโตแกรม ถ้าพื้นที่ที่ไม่รายละเอียดคุณจะเห็นตัวกราฟไปทางด้านขวาและมีความสูงของกราฟที่มาก
•   เลือกตั้งค่า ISO ที่ต่ำๆ.....สิ่งนี้จะช่วยให้ภาพของคุณมีค่านอยส์ที่น้อยเท่าที่จะเป็นไปได้
•   ถ่ายภาพด้วยไฟล์ RAW ถ้ากล้องคุณทำได้.......สิ่งนี้จะสามารถทำให้คุณควบคุมการปรับแต่งภาพที่หลังได้ ในการตั้งค่าไวท์บาลานซ์ที่ถูกต้อง (บางสิ่งที่มันสำคัญขณะที่คุณถ่ายภาพในสถานการณ์ที่มีแสงไฟมากมายซึ่งมีหลากหลายสีในภาพถ่าย)
•   โฟกัสภาพด้วย manual......ในสถานการณ์สภาพแสงน้อยกล้องสามารถที่จะพยายามลีอคโฟกัสที่ถูกต้อง สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือ กล้องของคุณจะเข้าๆ ออกๆในการโฟกัสขณะที่คุณจะกดปุ่มชัตเตอร์ ปรับไปเป็นโฟกัสแบบ manual และให้แน่ใจว่าการโฟกัสของคุณมีพลังในการถ่ายภาพนั้น
เวลาในการถ่ายภาพ
ไม่มีทางที่ถูกหรือผิดของเวลาในการถ่ายภาพแบบนี้ การกดชัตเตอร์ก่อนที่รถจะเข้ามาในกรอบภาพและปล่อยชัตเตอร์หลังจากที่มันวิ่งผ่านไปแล้วมันจะสร้างเส้นที่ไม่ขาดจากกัน แต่บางครั้งการถ่ายภาพกับเวลารับแสงที่สั้นกว่าขณะที่รถอยู่ในกรอบภาพก็ได้ผลเช่นเดียวกัน อีกครั้บหนึ่งมันคือการทดลองกับช่วงเวลาที่แตกต่างกันและดูผลที่ได้ว่าเป็นอย่างไร

การใช้โหมด B (Bulb)

กล้องดิจิตอลส่วนใหญ่มีโหมดที่เรียกวันว่า bulb โหมด B ที่ยอมให้คุณเปิดชัตเตอร์ได้นานเท่าที่คุณต้องการ สิ่งนี้สะดวกในการถ่ายภาพที่คุณคิดไว้ก่อนล่วงหน้า ถ้าคุณถ่ายภาพแบบนี้คุณต้องใช้สายลั่นชัตเตอร์เพื่อที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของกล้องขณะที่ม่านชัตเตอร์มันถูกเปิดอยู่

39
การแนะนำความเร็วชัตเตอร์ในการถ่ายภาพดิจิตอล

โพสโดย Darren Rowse แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/shutter-speed

ก่อนหน้านี้ ผมได้แนะนำเกี่ยวกับเรื่อง Exposure Triangle เป็นแนวความคิดที่จะหลุดพ้นออกจากโหมด Auto และสำรวจถึงการใช้งาน Manual ในการปรับแต่งค่าต่างๆ ในการถ่ายภาพ
สามหัวข้อหลักซึ่งคุณสามารถปรับแต่งได้คือ ค่า ISO รูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ ก่อนหน้านี้ผมได้แสดงให้ดูถึงการปรับค่า ISO และตอนนี้ผมต้องการให้คุณสนใจในเรื่องความเร็วชัตเตอร์
What is Shutter Speed?
ความเร็วชัตเตอร์คืออะไร?
ผมได้เคยเขียนไว้บางทีถึงความหมายว่า ความเร็วชัตเตอร์ คือ จำนวนของเวลาในการเปิดชัตเตอร์
ในการถ่ายภาพด้วยฟิลม์มันคือช่วงเวลาที่ฟิลม์จะรับภาพในขณะที่คุณกำลังถ่ายภาพ และเช่นเดียวกันกับการถ่ายภาพดิจิตอล ความเร็วชัตเตอร์คือช่วงเวลาที่ตัวรับภาพ เซนเซอร์จะเห็นภาพที่คุณกำลังถ่ายอยู่ ขอให้ผมแตกประเด็นหัวข้อของความเร็วชัตเตอร์ออกเป็นส่วนย่อยๆ เพื่อจะช่วยให้คนที่เป็นเจ้าของกล้องดิจิตอลเข้าใจเกี่ยวกับความเร็วชัตเตอร์

•   ความเร็วชัตเตอร์ถูกวัดเป็นหน่วยวินาที หรือบางครั้งก็เสี้ยววินาที ตัวหารของเศษส่วนโดยเฉพาะตัวส่วนที่ใหญ่กว่า คือความเร็วชัตเตอร์ที่เร็วกว่า (เช่น 1/1000 จะเร็วกว่า 1/30)
•   ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ คุณจะใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/60 วินาทีหรือเร็วกว่า เพราะว่าอะไรที่มีค่าต่ำกว่ามันจะทำให้ยากต่อการควบคุมกล้องไม่ให้สั่นไหว กล้องสั่นไหวเกิดขึ้นเมือกล้องกำลังเคลื่อนที่ขณะที่ชัตเตอร์เปิด และผลก็คือภาพของคุณจะเบลอ
•   ถ้าคุณกำลังใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ (อะไรก็ตามที่ต่ำกว่า 1/60) คุณจะต้องใช้ขาตั้งกล้อง หรือบางสิ่งที่ทำให้ภาพไม่สั่นไหว (กล้องหลายๆ ยี่ห้อ หลายรุ่น เริ่มีตัวป้องกันสั่นไหว)
•   ค่าความเร็วชัตเตอร์ที่มีพร้อมให้คุณตั้งค่าบนตัวกล้องจะทวีคูณ (โดยประมาณ) กับการตั้งค่า ผลก็คือเมื่อคุณมีทางเลือกสำหรับการตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ 1/500, 1/250, 1/125, 1/60, 1/30, 1/15, 1/8 และอื่นๆ ค่าที่เพิ่มทวีคูณนี้จะทำให้คุณได้คิดถึง รูรับแสงที่จะถูกตั้งทวีคูณสำหรับช่วงเวลาที่เปิดรับแสงเข้ามาด้วยเช่นกัน ผลคือ เมื่อเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ หนึ่งสต๊อปและลดรูรับแสงหนึ่งสต๊อปจะให้ค่า exposure ที่คล้ายกัน (เรื่องนี้เราจะคุยกันอีกในอนาคตอันใกล้)

•   กล้องบางตัวจะให้ตัวเลือกในการตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำ ไม่ได้เป็นเสี้ยววินาที แต่จะวัดเป็นวินาที (ตัวอย่างเช่น 1 วินาที 10 วินาที 30 วินาที และอื่นๆ) สิ่งนี้จะถูกใช้ในสภาพที่มีแสงน้อย เมื่อคุณต้องการถ่ายภาพที่มีความพิเศษ หรือเมื่อคุณพยายามจับภาพเคลื่อนไหว บางกล้องถ่ายภาพจะให้ตัวเลือกในการถ่ายในโหมด B (หรือ Bulb)  โหมด B จะปล่อยให้คุณเปิดชัตเตอร์ได้นานเท่าที่คุณต้องการ

•   เมื่อพิจารณาถึงความเร็วชัตเตอร์ในการถ่ายภาพคุณควรถามตัวเองก่อนว่ามีบางสิ่งในภาพกำลังเคลื่อนไหวหรือไม่ และคุณจะจับภาพการเคลื่อนไหวอย่างไร ถ้าการเคลื่อนไหวนั้นคุณมีทางเลือกคือให้การเคลื่อนไหวหยุดนิ่ง (ภาพหยุดนิ่ง) หรือปล่อยให้การเคลื่อนไหวนั้นเกิดเป็นภาพเบลอ (ให้ความรู้สึกถึงความเคลื่อนไหว)

•   หยุดการเคลื่อนไหวในภาพ (เหมือนกับภาพถ่ายนักโต้คลื่นด้านบน..ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) คุณจะต้องเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เร็วกว่า และถ้าต้องการให้การเคลื่อนไหวเบลอคุณจะต้องเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่ช้ากว่า ความเร็วที่แท้จริงคุณควรจะเลือกความเร็วที่ขึ้นอยู่กับตัวแบบที่คุณต้องการถ่ายและคุณต้องการให้มันเบลอมากน้อยแค่ไหน

•   การเคลื่อนไหวไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่เสมอไป ผมได้คุยกับเจ้าของกล้องดิจิตอลท่านหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้ซึ่งบอกผมว่า เขาใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่เร็วและไม่สามารถเข้าใจว่าทำไมคนทั่วไปต้องการ ความเคลื่อไหวในภาพของพวกเขา ช่วงเวลาไหนละที่การเคลื่อไหวเป็นสิ่งที่ดี ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณกำลังถ่ายภาพน้ำตกและต้องการแสดงให้เห็นถึงความเร็วของน้ำที่กำลังไหล หรือคุณกำลังถ่ายภาพรถแข่งและต้องการให้เห็นถึงความรู้สึกที่เร็ว หรือเมื่อคุณกำลังถ่ายภาพดวงดาวบนท้องฟ้าและต้องแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนที่ของดวงดาวในช่วงเวลาหนึ่ง ในสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นการเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าจะเป็นวิธีการสำหรับสิ่งเหล่านั้น อย่างไรก็ดีคุณต้องใช้ขาตั้งกล้อง หรือคุณจะถ่ายภาพโดยให้ตัวกล้องเคลื่อนไหว (มันจะให้การเบลอของภาพที่แตกต่างจาก การเคลื่อนไหวที่เบลอ)

•   ระยะโฟกัสและความเร็วชัตเตอร์ อีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องพิจารณาเมื่อเลือกความเร็วชัตเตอร์นั้นก็คือช่วงระยะโฟกัสของเลนส์ที่คุณใช้ เลนส์ที่มีระยะโฟกัสที่ยาว จะมีจุดที่ทำให้กล้องสั่นและนั่นคือสิ่งที่คุณต้องเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เร็วกว่า (ถ้าปราศจากคุณมีตัวกันสั่นในเลนส์หรือกล้องของคุณ) กฎที่ใช้สำหรับเลนส์ที่ไม่มีตัวกันสั่น คือเลือกความเร็วชัตเตอร์กับตัวหารของเศษส่วนที่ใหญ่กว่าระยะโฟกัสของเลนส์ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีเลนส์ 50mm ค่าความเร็วชัตเตอร์ 1/60 ก็ถือว่าโอเค แต่ถ้าคุณมีเลนส์ 200mm คุณควรจะถ่ายภาพที่ความเร็ว 1/250
ความเร็วชัตเตอร์ การนำไปใช้ร่วมกัน
จำไว้ว่า การคิดถึงเรื่องความเร็วชัตเตอร์ที่แยกจากอีกสององค์ประกอบของ Exposure Triangle (รูรับแสง และ ISO) ไม่ใช่ความคิดที่ดี ขณะที่คุณเปลี่ยนค่าความเร็วชัตเตอร์ คุณต้องเปลี่ยนค่าหนึ่งหรือสองอย่างเพื่อชดเชย  ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเร่งความเร็วของชัตเตอร์ไปหนึ่งสต๊อป (ตัวอย่างเช่น 1/125 ไปเป็น 1/250) คุณกำลังปล่อยให้แสงครึ่งหนึ่งผ่านเข้ามรในกล้อง เพื่อจะชดเชยสำหรับสิ่งนี้ คุณต้องเพิ่มค่ารูรับแสงหนึ่งสต๊อป (ตัวอย่างเช่น จากค่า f/16 ไปเป็น f/11) อีกทางเลือกหนึ่งที่คุณเลือกได้คือ ตั้งค่า ISO ที่เร็วกว่า (คุณควรจะเพิ่มค่าจาก ISO 100 ไปเป็น ISO 400)

40
การแนะนำเรื่องรูรับแสงในการถ่ายภาพดิจิตอล

โพสโดย Daren Rowse แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/aperture/

เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความที่เป็นเรื่องต่อหนื่องที่ช่างภาพดิจิตอลต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการถ่ายภาพที่ไม่ใช้โหมดออโต้ และเรียนรู้ว่าจะตั้งค่าที่เป็นแบบแมนนวลในการถ่ายภาพของพวกเขา ผมได้เน้นไปที่สามส่วนของ สามเหลี่ยมการตั้งค่าแสง ค่าความไวแสง ISO ค่าความเร็วชัตเตอร์ Shutter Speed และค่ารูรับแสง Aperture  ผมได้เขียนบทความสองเรื่องไปก่อนหน้านี้แล้วและวันนี้จะหันมาพูดถึงเรื่อง รูรับแสง
ก่อนที่ผมจะเริ่มกับการอธิบายเรื่องนี้ ลองให้ผมพูดแบบนี้  ถ้าคุณสามารถใช้ค่ารูรับแสงในการเก็บภาพที่มีการควบคุมเชิงสร้างสรรค์บนกล้องของคุณ ในความคิดของผม รูรับแสง คือ สิ่งที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมายในภาพถ่ายและเหมือนกับสิ่งที่เราเห็นด้านล่างนี้ การเปลี่ยนแปลงสามารถทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างมิติเดียวและหลายมิติในการถ่ายภาพ
รูรับแสงคืออะไร?
คำจำกัดความง่ายๆ รูรับแสงคือ “การเปิดเลนส์”
เมื่อคุณกดปุ่มชัตเตอร์บนตัวกล้อง รูรับแสงจะเปิดขึ้นเพื่อให้ภาพผ่านเข้ามาที่ตัวเซนเซอร์ที่คุณต้องการเก็บภาพนั้น รูรับแสงจะมีผลกับขนาดของรูที่เปิด ยิ่งรูรับแสงเปิดกว้างแสงก็จะเข้ามามาก ถ้ารูรับแสงเปิดแคบแสงก็จะเข้ามาน้อย
รูรับแสงจะถูกวัดด้วยค่า f-stops บ่อยๆ ที่คุณเห็นพวกมันถูกอ้างถึงใน Digital Photography School เกี่ยวกับ f/number ตัวอย่างเช่น f/2.8, f/4, f/5.6, f/8, f/22 และอื่นๆ การเปลี่ยนค่าจาก หนึ่ง f-stop ไปยังค่าอื่นที่ทวีคูณ หรือ ครึ่งหนึ่งของขนาดที่เปิดค่ารูรับแสงบนตัวเลนส์ (และปริมาณของแสงที่วิ่งผ่านเข้ามาในกล้อง) คิดไว้ในใจว่าการเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์จากหนึ่งสตอป์ไปเป็นทวีคูณหรือครึ่งหนึ่งของปริมาณแสงที่เข้ามา หมายถึงคุณเพิ่มหรือลดส่วนอื่นที่คุณปล่อยให้แสงวิ่งผ่านเข้ามา...
สาเหตุหนึ่งที่ช่างภาพมือใหม่หลายคนสับสนกับความกว้างของรูรับแสง (ที่ซึ่งแสงผ่านเข้ามา) คือการให้ค่า f/stop ที่มีตัวเลขน้อย และรูรับแสงที่เล็ก (ที่ซึ่งแสงผ่านเข้ามาน้อย) คือค่า f/stop ที่มากกว่า ดังเช่น f/2.8 ในความจริงจะมีค่ารูรับแสงที่ใหญ่กว่า f/22 มันดูเหมือนผิดทางเมื่อคุณได้ยินครั้งแรกแต่คุณจะชินไปเอง

การชัดตื้นชัดลึกและรูรับแสง

จำนวนของผลจากการเปลี่ยนค่ารูรับแสงในการถ่ายภาพของคุณซึ่งคุณต้องคิดไว้ในใจเหมือนกับคุณพิจารณาเรื่องการตั้งค่าแต่ให้สังเกตสิ่งหนึ่งคือ ความชัดตื้นชัดลึกที่คุณได้จากภาพถ่าย
ค่าชัดตื้นชัดลึก (DOF) คือปริมาณของการถ่ายภาพที่อยู่ในโฟกัส ถ้าค่าชัดตื้นชัดลึกมากหมายถึงภาพส่วนใหญ่ของคุณอยู่ในโฟกัสไม่ว่ามันจะอยู่ใกล้กับตัวกล้องหรือห่างจากตัวกล้อง (เหมือนกับภาพทางด้านซ้ายทั้งฉากหน้าและฉากหลังส่วนใหญ่อยู่ในโฟกัส ถ่ายด้วยค่ารูรับแสง f/22)
ค่าชัดตื้นชัดลึกที่เล็ก (หรือตื้น) หมายถึงบางส่วนของภาพจะอยู่ในโฟกัสและส่วนที่เหลือจะเลือนลาง (เหมือนภาพดอกไม้ด้านบนที่ผมโพสไว้ (ลองคลิ๊กเพื่อขยายภาพ)) ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ  คุณจะเห็นว่าบนสุดของยอดเกสรสีเหลืองอยู่ในโฟกัส ถึงแม้ว่าพวกมันมีขนาดแค่ 1 เซนติเมตรเท่านั้นแต่ส่วนที่อยู่ด้านหลังพวกมันไม่ได้อยู่ในโฟกัสเลย นี้คือชัดตื้นและมันถูกถ่ายด้วยค่ารูรับแสง f/4.5)
รูรับแสงมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กับชัดตื้นชัดลึก ค่ารูรับแสงที่ใหญ่ (จำไว้ว่ามันคือตัวเลขที่น้อย) จะลดค่าชัดตื้นชัดลึกในขณะที่ ค่ารูรับแสงที่เล็ก (ตัวเลขมาก) จะให้ค่าชัดตื้นชัดลึกที่มากกว่า มันสามารถสร้างความสับสนในตอนต้นๆ แต่วิธีที่ผมจำคือ ถ้าตัวเล็กน้อยหมายถึง ค่าชัดตื้นชัดลึกน้อย และถ้าตัวเลขมากหมายถึง ค่าชัดตื้นชัดลึกมาก  ลองให้ผมอธิบายด้วยภาพถ่ายสองภาพที่ผมถ่ายมาเมื่อต้นสัปดาห์ในส่วนดอกไม้ของผม
ภาพแรกด้านล่าง (คลิ๊กเพื่อขยาดูภาพ) (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ทางด้านซ้ายมือถ่ายด้วยค่ารูรับแสง f/22 และภาพที่สองถ่ายด้วยค่ารูรับแสง f/2.8 ความแตกต่างของสองภาพนี้เห็นได้ชัดเจน ภาพที่ถ่ายด้วย f/22 ทั้งดอกและใบจะอยู่ในโฟกัสและคุณจะเห็นรูปร่างของรั้วที่อยู่ด้านหลังได้
ภาพที่สอง ถ่ายด้วย f/2.8 ดอกไม้ทางด้านซ้ายอยู่ในโฟกัส (หรือบางส่วน) แต่ความชัดตื้นชัดลึกค่อนข้างตื้นมากและฉากหลังก็หลุดออกจากโฟกัสและตัวหน่อของดอกด้านขวาอยู่ในโฟกัสเพียงเล็กน้อยเนื่องจากมันอยู่ห่างจากตัวกล้องเมื่อมันถูกถ่าย
ทางที่ดีที่สุดคือให้หัวของคุณมีค่ารูรับแสงเพื่อจะให้กล้องของคุณมองเห็นและทดลอง ออกไปข้างนอกและค้นหาจุดที่คุณคิดว่าเข้าใกล้วัตถุนั้นได้ดีเท่ากับสิ่งที่อยู่ไกลและถ่ายภาพออกมาเป็นชุดๆกับค่ารูรับแสงที่แตกต่างจากเล็กที่สุดถึงใหญ่ที่สุด คุณจะเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและประโยชน์ของการควบคุมค่ารูรับแสง
ภาพถ่ายบางประเภทต้องการความชัดตื้นชัดลึกที่มาก (และค่ารูรับแสงที่เล็ก)
ตัวอย่างเช่น การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ คุณจะเห็นการตั้งค่ารูรับแสงที่เล็ก (ตัวเลขมาก) ถูกเลือกใช้โดยช่างภาพ นี้คือสิ่งที่ต้องแน่ใจว่า ฉากหน้าจนถึงเส้นขอบฟ้าอยู่ในระยะโฟกัส ในอีกทางหนึ่งการถ่ายภาพบุคคลมันเป็นสิ่งที่ง่ายที่จะให้ตัวแบบอยู่ในโฟกัสแต่ฉากหลังมันจะเบลอสวยงาม เพื่อให้แน่ใจว่าตัวแบบอยู่ในระยะโฟกัสเป็นหลักและส่วนอื่นๆ ไม่ดึงดูดความสนใจในลักษณะนี้คุณต้องเลิก รูรับแสงที่ใหญ่ (ตัวเลขน้อย) ให้ได้ความชัดตื้น
ช่างภาพมาโครเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้รูรับแสงกว้างเพื่อให้มั่นใจว่าวัตถุต่างๆที่พวกเขากำลังโฟกัสนั้นมีส่วนทำให้ผู้ชมภาพเพ็งไปที่จุดสนใจของภาพในขณะที่ส่วนที่เหลือไม่อยู่ในโฟกัสเลย

41
การตั้งค่า ISO ในการถ่ายภาพดิจิตอล

โพสโดย Darren Rowse แปลโดย Topstep07   

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/iso-settings/

Grant (ผู้อ่านของ DPS) ได้ถามเราว่า “ผมสับสนเกี่ยวกับ ISO การเลือกการตั้งค่าที่ดีที่สุดคืออะไร  ผมควรจะเลือกค่าที่ต่ำที่สุดใช่ไหม”  ขอบคุณมากสำหรับคำถามของ Grant ก่อนที่ผมจะตอบคำถามนี้ ลองให้ผมให้คำนิยามของ ISO
อะไรคือ ISO?
ในสมัยการถ่ายภาพด้วยฟิลม์ ISO (หรือ ASA) คือตัวบ่งชี้ถึงความไวแสงของฟิลม์ มันจะวัดเป็นจำนวน (คุณอาจจะเคยเห็นพวกฟิลม์ 100, 200, 400, 800 หรืออื่นๆ) จำนวนที่มีค่าต่ำคือความไวแสงต่ำของฟิลม์ และมีจุดเล็กๆ (grain) ที่พอใช้ในการถ่ายภาพ
ในการถ่ายภาพดิจิตอล ISO เป็นการวัดความไวแสงของภาพบนตัวเซนเซอร์ มีหลักการที่ใช้แบบเดียวกันกับฟิลม์ ค่าจำนวนที่ต่ำคือค่าที่กล้องมีความไวต่อแสงที่เข้ามา และมีจุดเล็กๆ (grain)
การตั้งค่า ISO สูงๆ เพื่อใช้ในการถ่ายภาพที่มีสภาพมืดเพื่อให้ได้ความเร็ว shutter ที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น กีฬาในร่ม เมื่อคุณต้องการหยุดการเคลื่อนไหวในท่าทางของนักกีฬา อย่างไรก็ดีการตั้งค่า ISO ที่สูงกว่า คุณก็จะได้ค่านอยส์ที่มากกว่าไปด้วย ผมได้แสดงภาพด้านล่างกับสองภาพขยายที่ถ่ายมา ภาพด้านซ้ายถ่ายด้วยค่า ISO 100 และภาพทางด้านขวาใช้ค่า ISO 3200 (ลองคลิ๊กเพื่อขยายดูภาพ)
(คุณสามารถเห็นภาพที่ขนาดใหญ่ได้ทั้งสองภาพ ภาพที่ถ่ายด้วย ISO 100 here for the 100 ISO และ ISO 3200 here for the 3200 ISO)
ค่า ISO 100 จะเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นค่าปกติ และมันจะให้ภาพที่สะอาดเรียบร้อย (มีค่า นอยส์และเกรน น้อยมาก) หลายๆ คนตั้งใจที่จะให้กล้องดิจิตอลของพวกเขาอยู่ในโหมด Auto เมื่อกล้องเลือกค่า ISO ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่คุณกำลังถ่ายภาพ (มันจะพยายามรักษาค่า ISO ให้ต่ำเท่าที่จะทำได้) แต่กล้องส่วนใหญ่จะให้โอกาสคุณได้เลือกค่า ISO ด้วยตัวคุณเอง
เมื่อคุณทำการปรับค่าบนตัวกล้องเองและเลือค่า ISO ที่แน่นอน คุณจะสังเกตเห็นว่ามันมีผลกระทบกับค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์เพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่ดี ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณปรับค่า ISO จาก 100 ไปเป็น 400 คุณจะสังเกตเห็นว่าคุณสามารถถ่ายภาพด้วยความเร็วชัตเตอร์ที่สูงกว่าและค่ารูรับแสงที่เล็กกว่า
คำถามที่ถามว่าเมื่อไรต้องเลือกค่า ISO

เมื่อเลือกการตั้งค่า ISO ผมมักจะถามตัวเองด้วยคำถามสี่คำถามดังนี้
1. แสง  (ตัวแบบได้รับแสงดีไหม?)
2. เกรน  (คุณต้องการภาพถ่ายที่มีเกรน หรือ ปราศจากค่านอยส์)
3. ขาตั้งกล้อง (ผมต้องใช้ขาตั้งกล้องไหม?)
4. การเคลื่อนไหวของตัวแบบ  (ตัวแบบของผมเคลื่อนไหว หรืออยู่กับที่)
ถ้ามีแสงมาก ผมต้องการให้มีเกรนน้อยๆ ผมก็จะใช้ขาตั้งกล้องและตัวแบบของผมก็นิ่งอยู่กับที่ ผมจะก็ใช้ค่า ISO ที่ต่ำได้ แต่ถ้ามันมืด ผมก็ต้องการเกรน ผมไม่มีขาตั้งกล้องหรือตัวแบบกำลังเคลื่อนไหว ผมก็จะพิจารณาในการเพิ่มค่า ISO เพื่อที่จะให้ผมสามารถถ่ายภาพด้วยความเร็ว shutter ที่เร็วพอจะเก็บภาพได้อย่างดี แน่นอนมันต้องแลกกันเมื่อมีการเพิ่มค่า ISO ก็จะมีค่านอยส์ที่เพิ่มด้วย
สถานการณ์ที่คุณจะต้องเพิ่มค่า ISO รวมถึงสิ่งเหล่านี้
•   การถ่ายภาพกีฬาในร่ม  เมื่อตัวแบบของคุณกำลังเคลื่อนไหวเร็ว ก็จะถูกจำกัดด้วยแสงที่มีอยู่
•   คอนเสริต์  มีสภาพแสงที่นอ้ย และบ่อยครั้ง เป็นพื้นที่ไม่มีแฟลช
•   ในงานแสดงศิลปะ ในโบสถ์ และที่อื่นๆ ในงานแสดงต่างๆ จะมีกฎที่ไม่ยอมให้ใช้แฟลช และภายในตัวอาคารก็จะมีแสงที่ไม่เพียงพอ
•   งานเลี้ยงวันเกิด การเป่าเค้กวันเกิดในห้องที่มืดสามารถให้บรรยากาศที่ดีในการถ่ายภาพแต่มันจะถูกกลบไปหมดเมื่อใช้แฟลชที่สว่างมาก การเพิ่มค่า ISO จะช่วยเก็บภาพในบรรยกาศนั้นได้ดีกว่า
ISO เป็นสิ่งสำหรับของการถ่ายภาพดิจิตอลที่ควรจะต้องเข้าใจถ้าคุณต้องการควบคุมค่าเกรนบนตัวกล้องดิจิตอล การทดสอบกับการต่างค่าที่แตกต่างและมันมีผลกระทบกับภาพถ่ายของคุณอย่างไรในวันนี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ รูรับแสง และความเร็วชัตเตอร์ ซึ่ง ISO เป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง Exposure Triangle

42
คำแนะนำในการถ่ายภาพบุคคลกับช่วงเวลาดวงอาทิตย์ตกที่ชายหาด

โพสโดย Madison Baltodano แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/tips-for-great-beach-sunset-portraits/

การถ่ายภาพบุคคลในช่วงดวงอาทิตย์ตกที่ชายหาดจะดูสวยงาม พวกมันจะสร้างพื้นหลังที่เป็นเอกลักษณ์ในขณะที่ดวงอาทิตย์ตกซึ่งจะมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในแต่ละช่วงเวลา กับชั่วโมงการเรียนถ่ายภาพบุคคลกับดวงอาทิตย์ตกชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าบางครั้งมันก็เป็นเพียงเรียนรู้ซ้ำๆ สำหรับบทความนี้จะแสดงให้คุณเห็นว่า การสร้างความหลากหลายอย่างไรในการถ่ายภาพที่แตกต่างไปจากการเรียนการถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตกที่ชายหาด และยังอธิบายอีกว่า การใช้แฟลชนอก (แฟลชที่ไม่ต่ออยู่บนกล้อง) อย่างไรในการเผยให้เห็นฉากหลังและการเก็บภาพที่ได้สีที่ถูกต้องที่คุณมองเห็น
ในการวาแผนที่ถูกต้อง อย่างแรกคุณต้องรู้แน่นอนก่อนว่าเวลาไหนที่ดวงอาทิตย์ตกหลังเส้นขอบฟ้าของมหาสมุทร เวลาและวันในเว็ปไซต์จะบอกเวลาที่แน่นอนของเมืองที่ต่างกันทั่วโลก สำหรับชั่วโมงที่ยาวนาน ลูกค้าคุณพบกับคุณที่ชายหาด 45 นาทีก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับสายตา แสงในช่วงเวลานี้เป็นแสงที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ มันถูกเรียกว่า ชั่วโมงทอง เพราะเนื่องจากมันให้สีที่อุ่นและเข้ม ช่วงเวลา 15 นาทีหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วมันจะให้แสงที่นุ่มอันแสนอัศจรรย์
ก่อนที่คุณจะเริ่มโพสท่ากับตัวแบบของคุณ คุณต้องตั้งค่ารับแสงที่ถูกต้องก่อน ปิดแฟลชทุกตัวปรับกล้องให้เป็นโหมด manual และปรับค่าให้เห็นดวงอาทิตย์ตก ถ้าคุณถ่ายภาพกับตัวแบบที่อยู่ด้านหน้าฉากหลังแบบนี้คุณจะเห็นว่าพวกเขาจะมีค่า under ในการรับแสง หรือไม่ก็เป็นภาพเงาดำ เพื่อที่จะได้ค่ารับแสงที่ถูกต้องสำหรับดวงอาทิตย์ตกและสำหรับตัวแบบของคุณ คุณต้องเพิ่มไฟไปที่ตัวแบบ แม้ว่าดวงอาทิตย์ตกจะอยู่ไกลออกไป แสงแฟลชของคุณก็จะไม่มีผลกับค่ารับแสงในฉากหลัง คุณสามารถใช้แฟลชที่ติดมาบนหัวกล้องสำหรับการถ่ายแบบนี้ แต่ถ้าใช้แฟลชที่อยู่นอกกล้องจะให้แสงที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าและนี้คือตัวอย่างที่ดี การติดตั้งแฟลชที่อยู่นอกกล้องคุณต้องการตัวแฟลช ขาตั้งแฟลช และตัวสั่งการแฟลช มีหลายทางที่แตกต่างในการทำแบบนี้แต่ผมแนะนำว่าการใช้ระบบสั่งแฟลชไร้สายแบบคลื่นวิทยุจะดีที่สุด ครั้นเมื่อคุณมีไฟที่ติดตั้งแล้ว วางขาตั้งไฟให้ห่างจากตัวแบบประมาณ 10-15 ฟุต และไปทางขวาจากตำแหน่งกล้องประมาณ 4-5 ฟุต นี้คือสิ่งที่ทำให้แสงส่องมาที่ตัวแบบจากด้านข้างแทนที่จะตรงเข้าไปยังตัวแบบแล้วทำให้ได้ภาพที่แบนๆ
(ดูภาพตัวอย่างการติดตั้งไฟ จากในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
เปิดสวิทช์แฟลชและปรับไปที่การตั้งค่าแบบ manual ตั้งค่ากำลังไฟแฟลชเท่ากับครึ่งหนึ่งของกำลังไฟทั้งหมดและลองถ่ายภาพดูก่อน ถ้าตัวแบบดูสว่างมากเกินไปก็ลองถอยหลังตัวแฟลชออกมาสักฟุตสองฟุต แต่ถ้าใบหน้าตัวแบบดูมืดก็ให้เพิ่มกำลังแฟลช หรือเคลื่อนตัวแฟลชเล็กน้อยให้เข้าใกล้ตัวแบบ ปรับแต่งกำลังไฟแฟลชหรือระยะตัวแบบกับตัวแฟลชจนกระทั่งได้ภาพที่ออกมาถูกต้อง แฟลชของคุณอาจจะไม่มีอะไรกรองแสง หรือยิงแฟลชผ่านร่มทะลุเพื่อให้ได้แสงที่นุ่มนวล
ดังนั้นเมื่อทุกๆสิ่งได้ทำการติดตั้งเรียบร้อยแล้วคุณก็สามารถที่จะจัดท่าของตัวแบบในการถ่าย หันหน้าหนีจากดวงอาทิตย์ตก และทำการถ่ายภาพเป็นชุดได้ การโพสท่ามีมากมาย ต่อไปก็ให้มองไปรอบๆและดูว่าอะไรสามารถนำมาเป็นฉากหลังได้บ้าง หินก้อนใหญ่ ต้นมะพร้าว และสันทราย หรือพีชที่มีสีเขียวสด ทั้งหมดนี้คือส่วนประกอบที่หลากหลายที่อยู่ในภาพ ถนนทางเดินที่นำไปถึงชายหาดก็สามารถเป็นจุดที่ดีเยี่ยม ลองใช้สองถึงสามฉากหลังที่แตกต่างกัน
ถึงเวลานี้ดวงอาทิตย์ได้ตกไปแล้ว และสีก็ได้ถูกเปลี่ยนอย่างมากจากรูปชุดแรกๆที่ถ่ายไป ปรับแต่งค่าไฟและการรับแสงเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่และถ่ายภาพอีกสองสามภาพที่อยู่ด้านหน้าในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ตกดิน
ปิดแฟลช ปรับแต่งค่ารับแสงและถ่ายภาพเงาดำที่สวยงามกับตัวแบบของคุณ
หลังจากที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า หมุนตัวแบบของคุณไปมองไปที่ดวงอาทิตย์และจับภาพที่มีแสงอ่อนนุ่มที่สวยงามและส่องมาบนใบหน้าของพวกเขา ให้แน่ใจว่าแฟลชของคุณปิดการใช้งานอยู่ขณะที่แสงธรรมชาติมันสมบูรณ์แบบและปรับแต่งค่ารับแสงตามความจำเป็น นี้คือช่วงเวลาที่ดีในการถ่ายภาพที่ไม่ได้ว่างท่าทางของกลุ่มตัวแบบที่กำลังเดินไปตามชายหาดและหัวเราะ หรือพ่อแม่ที่โยนลูกของพวกเขาขึ้นไปในอากาศ
สิ่งสุดท้าย พยายามค้นหาว่าที่ไหนที่ตัวแบบของคุณสะท้อนกับพื้นน้ำ ลองเก็บภาพตัวแบบกับเงาสะท้อนน้ำหรือเพียงแค่เท้าและเงาสะท้อนของพวกเขา
ในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมง กับสถานที่เพียงที่เดียว คุณสามารถเก็บภาพเป็นชุดที่มีความหลากหลายสำหรับลูกค้าของคุณ หรือเพื่อนซึ่งพวกเขาจะรักมัน เพียงแต่จำไว้ว่าให้มองหาพื้นหลังที่แตกต่าง หรือบริเวณที่เป็นเอกลักษณ์ของชายหาด และถ้าคุณจะถ่ายภาพพวกเขาบนพื้นทรายหรือต้องเปียกน้ำ ให้แน่ใจว่าคุณได้ทำมันเป็นสิ่งสุดท้ายเพื่อว่าเสื้อผ้าของพวกเขาจะได้ไม่เปียกหรือเต็มไปด้วยทรายในการถ่ายภาพที่เหลือ.....
คุณมีภาพถ่ายบุคคลกับชายหาดไหม? คุณมีคำแนะนำอื่นๆที่คุณสามารถแบ่งปันกับเราได้ไหม? โปรดเขียนสิ่งเหล่านั้นไว้ด้านล่าง

43
คำแนะนำอย่างรวดเร็วที่จะสร้างภาพยนต์ของคุณจาก การถ่ายภาพ Time-Lapse
โพสโดย Shiv Verma แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพและวีดีโอ ประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/time-lapse-photography-a-quick-guide-to-building-your-movie/
การถ่ายภาพ Time-lapse เป็นการแสดงให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยาวออกไปโดยการจับภาพจากกล้องและแสดงมันออกมาในช่วงเวลาสั้นๆ
ภาพ Time-lapse คือการเก็บภาพแต่ละภาพของตัวแบบที่มีการตั้งระยะเวลาที่มีความต่อเนื่อง ภาพแต่ละภาพจะถูกรวบรวมด้วยซอฟท์แวร์ ซึ่งมันจะบีบอัดเหตุการณ์นั้นเหลือแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าคุณจะไปนั่งจ้องก้อนน้ำแข็งให้มันละลายจนหมด มันจะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่า แต่ถ้าเป็น time-lapse ขบวนการตั้งแต่น้ำแข็งเป็นก้อนจนละลายเป็นน้ำจะใช้เวลาไม่กี่วินาที....
อะไรบ้างที่คุณต้องการในการถ่ายภาพ time-lapse?
กล้องถ่ายภาพ
กล้องพวกคอมแพ็คทำได้ ถ้าเป็นกล้อง DSLR และพวกกล้อง mirror-less จะยืดหยุ่นมากกว่า พวกมันไม่เพียงแต่เก็บภาพที่มีคุณภาพสูงแต่มันยังมีวิธีการที่เหมาะกับถ่ายภาพ time-lapse ในอีกแง่หนึ่ง พวกมันยังสามารถตั้งค่ารับแสงและการโฟกัสได้เอง พวกมันยังมีเลนส์หลายๆ แบบให้เลือกใช้มากมาย และมีอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้สำหรับการถ่ายภาพ time-lapse อีกด้วย
เลนส์
ทุกช่วงความยาวของเลนส์เหมาะกับการถ่ายภาพแต่ขึ้นอยู่กับตัวแบบที่คุณเลือก เลนส์ที่มีวงแหวนรูรับแสงแบบหมุนเองได้จะดีที่สุด ซึ่งใบช่องรูรับแสงจะไม่เป็นและปิดสำหรับการถ่ายแต่ละครั้ง


ตัวตั้งค่าช่วงเวลา
กุญแจสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ time-lapse คือการตั้งค่าช่วงเวลาที่ดีด้วยอุปกรณ์การตั้งค่า  นี้คืออุปกรณ์ที่สามารถสั่งให้กล้องของคุณลั่นชัตเตอร์กับช่วงเวลาที่แน่นอนและการกดชัตเตอร์ที่แม่นยำ มันอุปกรณ์ที่มีแบบทั้งภายนอก และภายใน
ขาตั้งกล้อง
การป้องกันภาพสั่นไหว หรือการลดการสั่นไหวของกล้องเป็นสิ่งดีแต่มันก็ไม่ได้แทนที่สำหรับขาตั้งกล้องดีๆในการถ่ายภาพ time-lapse ใช้ขาตั้งกล้องที่ไว้ใจได้
แบตเตอรี่และอุปกรณ์ไฟ AC ต่อพวง
เนื่องด้วยการถ่ายภาพ time-lapse ใช้เวลานาน แบตเตอรี่ในกล้องของคุณจะหมดไปก่อนที่การถ่ายจะเสร็จสมบูรณ์ นี้คือคำแนะนำที่จะช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ของคุณในนานขึ้น
•   แบตเตอรี่ก้อนเดียวในกล้องของคุณเป็นแหล่งพลังงานเดียวกับทุกๆ การทำงานของกล้อง บางฟังกชั่นก็ควรปิดเพื่อใช้สำหรับการถ่ายภาพ time-lapse หรือคุณสามารถลดพวกมันให้ เปิดขึ้นมาเมื่อต้องการ
•   ตัวการหลักที่ทำให้แบตเตอรี่เสียพลังงานมากคือ จดแสดงภาพ LCD และ Live View ใช้หน้าจอเพียงเท่าที่จำเป็นและให้พวกมันแสดงผลในความสว่างน้อยหรือใช้ฟังก์ชั่นที่กำหนดเอง กำหนดระยะเวลาการดูภาพที่จำกัดให้ต่ำที่สุดเพื่อประหยัดพลังงาน
•   อย่าใช้จอ LCD ในกล้องของคุณสำหรับการดูภาพและการลบภาพ ปล่อยให้ขั้นตอนนี้ทำบนเครื่องคอมพิวเตอร์หลังจากที่ได้ดาวน์โหลดภาพของคุณมาแล้ว
•   ถ้าคุณทำการถ่ายภาพที่ต่อเนื่องในบ้านของคุณ คุณสามารถใช้อุปกรณ์ AC พวงต่อเข้ากับกล้องของคุณได้ พวกอุปกรณ์พวงต่อ AC จะใช้แทนแบตเตอรี่ในกล้องของคุณ
รูปแบบสำหรับการถ่ายภาพ Time-lapse
โดยทั่วไป frame rate สำหรับภาพยนต์จะอยู่ระหว่าง 24 และ 30 เฟรมต่อวินาที คำแนะนำ ยิ่งเฟรมต่อวินาทีใหญ่เท่าไรยิ่งทำให้การเล่นภาพยนต์ราบรื่น
เมื่อใช้กล้อง DSLR  คุณจะควบคุมในการสร้าง time-lapse ได้อย่างดี การเลือกความเร็วชัตเตอร์ ความชัดลึก และช่วงเวลาระหว่าการถ่ายที่พอใจ จำไว้ว่า ยิ่งตัวแบบเคลื่อนที่เร็วกว่าหรือตัวแบบที่อยู่ในสิ่งที่คุณจะถ่าย คุณยิ่งต้องมีช่วงเวลาที่สั้นกว่าระหว่างการถ่ายอย่าไงก็ตาม คุณอาจจะถูกจำกัดด้วยสภาพแสงที่ต่ำ

นี้คือ คำแนะนำสำหรับการตั้งช่วงเวลา
1 Second   Air and Road Travel City Scenes with Traffic  Bicycle Rides
1 – 5 Seconds  Sunrise Sunset Slow Moving Clouds Crowd Scenes
15 to 30 Seconds   Moon going across the sky Stars and Milky Way
3 – 15 minutes   Growing Plants Home Building Projects
         
จุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับตัวแบบอะไรก็ตามที่จะสร้างภาพ time-lapse ของคุณกับช่วงเวลาที่สั้นกว่าที่คุณคิดว่าเหมาะสม คุณสามารถจะโยนภาพตัวเลือก หรือภาพที่ไม่สัมพันธ์กันทิ้งไปจากลำดับภาพถ้าคุณต้องการ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณตัดสินใจใช้ช่วงเวลา 30 วินาทีสำหรับการถ่ายภาพดวงจันทร์ แต่คุณต้องการให้ลำดับในช่วงเวลาในตอนท้ายเป็นไปอย่างราบรื่น ดังนั้นควรถ่ายที่ช่วงเวลา 15 วินาที คุณสามารถกลับไปที่แผนเริ่มต้นโดยการคัดเอาสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป
การเตรียมภาพถ่ายของคุณ
การใช้ซอฟท์แวร์ปรับแต่งภาพช่วยครอปหรือปรับขนาดของภาพให้ได้ความกว้าง 1920 พิกเซลและความสูง 1080 พิกเซล สำหรับ ภาพวีดีโอที่เป็น 1080p HD (ใช้ 1280 พิกเซล คูณด้วย 720 พิกเซล สำหรับวีดีโอที่เป็น 720p) ให้แน่ใจว่าการปรับขนาดภาพที่ทำไว้เป็นเหมือนกันหมดทุกๆภาพ ถ้าคุณไม่สะดวกในการทำแบบนี้ ใช้วิธีออโต้ปรับขนาดซึ่งมีอยู่ในซอฟท์แวร์ time-lapse เกือบทุกตัว
ตอนนี้ลำดับภาพเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถใช้หนึ่งในฟรีซอฟท์แวร์มากมายสำหรับระบบปฎิบัติการ Windows หรือ  Mac เพื่อสร้างวีดีโอของคุณ บางซอฟท์แวร์ที่มีชื่อเหล่านี้ VideoVelocity จาก CandyLabs, Photolapse จาก Stephan van der Palen and Time-Lapse Assembler สร้างโดย Dan Bridges. สำหรับ Apple Quicktime Pro 7 ราคา 30 เหรียญสหรัฐ สามารถใช้สร้างวีดีโอ time-lapse ได้ดีเยี่ยม
การใช้ Time Lapse Assembler สำหรับเครื่อง Mac
(โปรดดูภาพ Screen capture ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ ประกอบคำบรรยาย)
1.   เปิดตัว Time Lapse Assembler
2.   เลือกไดเร็คทอรี่ที่เก็บภาพที่เรียงลำดับไว้
3.   เลือก codec โดยใช้ h.264 หรือ mp4v สำหรับการทำไฟล์ภาพยนต์ .mov หรือ mp4v สำหรับทำไฟล์ภาพยนต์เป็น .mp4
4.   ปล่อยให้ frame rate เป็น 30fps
5.   กำหนดขนาดที่ต้องการปรับแต่ง
6.   ปรับแต่งให้ได้ขนาดที่เหมาะสม
7.   สำหรับ HD วีดีโอ คุณสามารถปรับความกว้างที่ 1920 หรือ 1280 (1920 สำหรับวีดีโอ 1080p และ 1280 สำหรับวีดีโอ 720p)
8.   เลือกระดับคุณภาพเป็น High (คุณสามารถใช้ค่าสูงสุดแต่การ render จะใช้เวลานานมาก)
9.   คลิ๊กไปที่ Encode
10.   จะมีหน้าต่างปรากฎขึ้นมาให้ทำการ Save ไฟล์ ให้ตั้งชื่อแล้วกดปุ่ม Save
(โปรดดูภาพ screen capture ในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย)
ตัวซอฟท์แวร์จะผลิตเป็นไฟล์ภาพยนต์ที่ใช้กับตัว Quicktime ได้ และสามารถดูหรือนำไปแก้ไขต่อใน iMovie หรือตัวซอฟท์ปรับแต่งภาพยนต์อื่นๆ ได้เช่นกัน
(ลองดูตัวอย่างวีดีโอในความละเอียดต่ำ)
นี้คือขั้นตอนการทำภาพ time lapse สำหรับ Quicktime Pro 7
1.   เปิด Quicktime
2.   ไปที่เมนูและภายใต้ไฟล์ คลิ๊กเปิดภาพที่เรียงต่อกัน (ให้แน่ใจว่ามีภาพเรียงลำดับในโฟลเดอร์นั้นแล้ว)
3.   คลิ๊กเลือกที่ภาพแรกสุดของและคลิ๊กเพื่อเปิด
(โปรดดูภาพ screen capture ในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย)
เลือภาพทที่อยู่ในลำดับ
4.   Quicktime จะโอนย้ายรูปภาพทั้งหมดเข้าไปไว้ใน และรวมไว้ในภาพต้นฉบับที่เรียงลำดับและระดับคุณภาพต้นฉบับ คุณจะไม่สามารถเห็นภาพทั้งหมดขณะที่มันใหญ่มากกว่าขนาดของจอ แต่คุณสามารถไปที่ Menu เลือก View เลือก Fit to Screen  ดังนั้นคุณจะเห็นภาพที่อยู่เต็มจอครั้งแรก
(โปรดดูภาพ screen capture ในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย)
การรวมภาพเข้าด้วยกัน


ถ้าคุณพยายามที่จะเล่นภาพต่อเนื่องคุณจะไม่เห็นภาพยนต์อย่างที่คุณต้องการ มันจะไม่ราบรื่นและมีการหยุดในช่วงเวลาที่นาน เพราะว่าแต่ละเฟรมภาพมันใหญ่มากและวีดีโอไม่สามารถแปลงสำหรับการแสดงภาพยนต์
5.   ทำการ save ไฟล์ โดยไปที่ File เลือก Save
6.   คุณจะเห็นตัวเลือกขณะที่คุณจะเลือกเป็น Quicktime ไฟล์
7.   ให้ save ไฟล์ไว้ใน Directory ต้นฉบับของภาพและตั้งชื่อไฟล์ไว้
The next steps will render a viewable video
ขั้นตอนถัดไปจะทำการแปลงเป็นวีดีโอ
1.   คุณจะต้อง export ภาพโดย ไปที่เมนู File  และ Export
2.   ให้คุณเลือกเป็น Save As และเลือกที่จัดเก็บ ให้ save ไว้ในโฟลเดอร์ไฟล์ต้นฉบับโดยให้ชื่อที่เกี่ยวข้องกัน (โปรดดูภาพ Screen Capture ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
3.   มีอีกสองขั้นตอนในการ export และปุ่มเลือก นั่นคือ การ export เป็น QuickTime Movie และในตัวเลือก Video Format ก็ให้เลือกใช้ H264. (โปรดดูภาพ Screen Capture ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
4.   การ Export จะใช้เวลาพอควรขอให้อดทน เมื่อการ render และ export เรียบร้อย คุณจะสามารถดูวีดีโอได้
ขอให้สนุกกับการทำ time-lapse

44
 การใช้ชัดตื้นชัดลึกเป็นเครื่องมือในการวางองค์ประกอบภาพ

โพสโดย Barty J Brady แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/using-depth-of-field-as-a-compositional-tool/

(ดูภาพต้นฉบับในเว็ปไซต์เพื่อประกอบคำบรรยาย....ในภาพแบบนี้คุณต้องการให้ต้นไม้ทุกต้นอยู่ในโฟกัส ความชัดลึกเป็นสิ่งจำเป็น)

มีการเขียนและไม่ได้เขียนมากมายเกี่ยวกับ “กฎ” ในการถ่ายภาพ ส่วนใหญ่พวกเขาจะแนะนำ ผมไม่แน่ใจว่ามีกฎเกี่ยวกับรูปแบบของศิลปะหรือไม่แต่บางคำแนะนำก็ช่วยเรา คุณคงเคยได้ยินกฎสามส่วนที่เชื่อมโยงกับการวางองค์ประกอบภาพ คุณคงเคยได้ยินเกี่ยวกับการวางองค์ประกอบภาพแบบ Golden mean (ก้นหอย) แต่คุณเคยคิดเกี่ยวกับชัดตื้นชัดลึกมีผลกับการวางองค์ประกอบภาพอย่างไร?
การวางองค์ประกอบภาพเป็นหนึ่งเทคนิคที่ง่ายที่สุดในการนำมาใช้เพื่อพัฒนาภาพถ่ายของคุณ มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ส่วนใหญ่มองข้าม คุณอาจจะไม่เคยคิดถึงมันแต่บางทีคุณก็ควรจะคิดถึง การวางองค์ประกอบภาพของคุณสามารถทำให้ภาพธรรมดามีพลัง เพียงแค่การเคลื่อนย้ายกล้องของคุณ
การวางองค์ประกอบภาพถูกนำมาใช้ตั้งแต่การเขียนภาพในหลายร้อยปีที่ผ่านมา การวางองค์ประกอบภาพในปัจจุบันเป็นเครื่องมือที่มาจากโลกของศิลปะ คนเขียนภาพได้มองถึงว่าคนจะเห็นภาพเขียนอย่างไรและใส่มันเข้าไว้เป็นระบบเดียวกันเพื่อให้คนจ้องดูภาพเขียนของพวกเขา พวกเขาใช้เทคนิคเส้นนำสายตา โค้งตัว S ความสมดุลและแบบแผน การทำซ้ำและเทคนิคอื่นๆ เพื่อให้ภาพเขียนของพวกเขาดูมีชีวิตและมีแรงผลักดัน บางทีพวกเขาก็ใช้การเขียนภาพให้ได้สัดส่วน การเขียนให้ได้สัดส่วนให้ความรู้สึกแบบสามมิติในการเขียนภาพและทำให้ภาพที่เป็นสองมิติเหมือนกับสามมิติได้ ลีโอนาโด้ ดาวินชี่ ใช้เทคนิคนี้ในการสร้างผลงานชิ้นเอกจนเป็นที่รู้จัก ภาพวาดการเลี้ยงอาหารมื้อสุดท้าย (The last Supper) และภาพวาดนางโมนา ลิซ่า ในบางครั้ง ลีโอนาโด้ ก็ใช้ความชัดตื้นชัดลึกที่จะวางองค์ประกอบในภาพวาดของเขาด้วย

(ดูภาพต้นฉบับในเว็ปไซต์เพื่อประกอบคำบรรยาย....ความลึกของการชัดตื้นชัดลึกเน้นให้เห็นความใหญ่ของภาพทิวทัศน์)

1. อะไรคือชัดตื้นชัดลึก
ความชัดตื้นชัดลึกคือการเปลี่ยนจากการโฟกัสที่คมชัดไปเป็นการโฟกัสที่อ่อนนุ่ม พื้นที่ของภาพที่ไม่ได้อยู่ในโฟกัส ขอบเขตของการโฟกัสที่คมชัดและมีพื้นที่มากแค่ไหนในส่วนที่ถูกโฟกัส ซึ่งทั้งหมดถูกเรียกว่า ความชัดตื้นชัดลึก คุณคงเคยได้ยินช่างภาพพูดถึงความชัดตื้น หรือความชัดลึก มันหมายถึงว่า เกือบทั้งหมดหรือทั้งหมดของภาพที่โฟกัสมีความคมชัด ส่วนชัดตื้นหมายถึงว่าบางส่วนของภาพอยู่ในโฟกัส
มันทำงานอย่างไร? ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ คุณต้องการให้ภาพทั้งหมดอยู่ในโฟกัสที่คมชัด สิ่งนี้เราเรียกว่า ชัดลึกและหมายถึงว่าภาพทั้งภาพอยู่ในโฟกัส สิ่งนี้จะดีสำหรับบางรูปแบบของภาพถ่าย ในบางทีคุณก็ต้องเพียงส่วนเล็กๆของภาพทั้งหมดให้อยู่ในโฟกัส ตัวอย่างเช่น การถ่ายภาพระยะใกล้ๆของดอกไม้ คุณต้องการให้ดอกไม้อยู่ในโฟกัสและทุกๆสิ่งที่อยู่รอบๆ ไม่อยู่ในโฟกัส สิ่งนี้เราเรียกว่า ชัดตื้น
(ดูภาพต้นฉบับในเว็ปไซต์เพื่อประกอบคำบรรยาย....ในภาพถ่ายของเมือง...ความชัดลึกจะใช้ได้ดีเมื่อคุณต้องการให้ทุกๆอย่างอยู่ในโฟกัส)

2. แล้วความชัดตื้นชัดลึกมีผลกระทบกับภาพของคุณอย่างไร?
คุณคงเคยเห็นภาพที่มีส่วนหนึ่งของดอกไม้อยู่ในโฟกัสที่คมชัดมากและส่วนที่เหลือก็ไม่คมชัดและเบลอ การถ่ายภาพบุคคลก็จะเป็นเหมือนแบบนี้ ตัวคนจะอยู่ในโฟกัสที่คมชัดและฉากหลังจะหลุดโฟกัส ทำไมคุณต้องการแบบนั้นละ?
เหตุผลใหญ่ที่สุด คือ ตาของคุณโดยธรรมชาติจะมองไปที่อะไรก็ตามที่อยู่ในโฟกัสของภาพ ดังนั้นถ้าคุณต้องการถ่ายภาพงานแต่งงาน และคุณมีภาพของเจ้าบ่าวเจ้าสาว แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ในโฟกัสและคนด้านหลังของทั้งคู่อยู่ในโฟกัส คุณคิดว่าผู้ชมภาพจะมองไปที่ไหน? พวกเขาก็จะมองดูคนด้านหลังของคู่บ่าวสาวอย่างแน่นอน เราลองสมมุติว่าถ้าบางสิ่งหลุดจากโฟกัสซึ่งคิดว่าเราไม่ได้ต้องการจะมองดูดังนั้นคุณสามารถใช้ความชัดตื้นที่จะนำผู้ชมให้มองไปที่ตัวแบบของคุณ ให้แน่ใจว่าไม่ว่าตัวแบบของคุณคืออะไร (ดอกไม้ ก้อนหิน แมลง เจ้าสาว ฯลฯ) มันต้องอยู่ในโฟกัสที่คมชัด ถ้าส่วนที่เหลือไม่ได้อยู่ในโฟกัส บางส่วนของภาพจะโดดเด่นขึ้นมาและผู้คนจะมองไปที่นั้นทันที
(ดูภาพต้นฉบับในเว็ปไซต์เพื่อประกอบคำบรรยาย....ทุกๆสิ่งอยู่ในโฟกัสทำให้ภาพมีอิทธิพลต่อผู้ชม)

3. เราจะได้ชัดตื้นอย่างไร?
ความชัดตื้นชัดลึกเกิดมาจากค่ารูรับแสงที่ถูกตั้งจากในกล้องของคุณ ค่ารูรับแสงถูกเรียกว่า F-Stop พูดในเชิงเทคนิค..ค่า F-Stop คืออัตราส่วนของจุดโฟกัสของเลนส์ มันจะมีอัตราส่วนองความยาวโฟกัสที่วิ่งผ่านเข้ามาในเลนส์ ทางเทคนิคผมรู้ แต่มันก็ไม่ยุ่งยาก
อะไรคือความยุ่งยากที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับค่า F มันทำงานอย่างไร? กฎเบื้องต้นคือ ตัวเลขที่น้อย เช่น f/2.8, f/4 คือความชัดคื้น หรือเพียงส่วนน้อยของภาพที่อยู่ในโฟกัส ถ้าคุณมีตัวเลขที่มาก เช่น f/8, f/11 ภาพส่วนใหญ่จะอยู่ในโฟกัส ดังนั้นถ้าคุณต้องการมองเห็นบางส่วนของภาพอยู่ในโฟกัสคุณควรใช้ค่า F-Stop เป็น 2.8 หรือ 4 ถ้าเลนส์ของคุณสามารถปรับค่าได้ถึง f/2.8 หรือ f/4 ลองสิ่งนี้ดู

• ตั้งค่ากล้องของคุณเป็นโหมด Manual
• วางกล้องบนขาตั้งกล้องเพื่อที่จะง่ายในการถ่ายภาพโดยปราศจากการเคลื่อนไหวของกล้อง
• โฟกัสไปที่ดอกไม้หรือบางสิ่งที่อยู่นิ่งๆ
• จัดองค์ประกอบภาพและเข้าใกล้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
• ตั้งค่ารูรับแสงเป็น f/2.8 และลองถ่ายภาพ
• ตั้งค่ารูรับแสงเป็น f/4 และลองถ่ายภาพที่สอง
• ลองปรับค่ารูรับแสงเป็น f/5.6 และถ่ายภาพที่สาม
• ลองถ่ายอีกสองภาพสุดท้ายโดยมีค่ารูรับแสงเป็น f/8 และอีกอันหนึ่งเป็น f/11
• ปรับความเร็วชัตเตอร์ตามที่ค่ารูรับแสงเปลี่ยนไปให้ได้ค่าที่ถูกต้องเหมือนกันทั้งหมด
เวลานี้ลองดูภาพถ่ายทั้งหมด อะไรที่คุณสังเกตเห็นเมื่อภาพที่ปรับด้วยรูรับแสง f/2.8 จะมีส่วนเล็กของภาพที่อยู่ในโฟกัส และค่ารูรับแสงที่ f/8 และ f/11 ภาพเกือบทั้งหมดจะอยู่ในโฟกัส และนี้ก็กลายเป็นทางเลือกในการวางองค์ประกอบภาพ คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าทุกๆภาพอะไรที่ควรจะอยู่ในโฟกัสและอะไรที่มันควรจะเบลอ
(ดูภาพต้นฉบับในเว็ปไซต์เพื่อประกอบคำบรรยาย.....ความชัดตื้นไปแยกหญ้าด้านหลังตัวแบบออกและทำให้ตัวแบบอยู่ในจุดโฟกัส)

4. สิ่งนี้จะเป็นเครื่องมือในการวางองค์ประกอบภาพอย่างไร?
ขณะที่คุณเป็นช่างภาพคุณจะมีความสามารถในการพิจารณาว่าอะไรที่ผู้คนต้องการมองเห็น โดยการใช้การชัดตื้นชัดลึกและให้เพียงบางส่วนของภาพอยู่ในโฟกัส คุณต้องทำให้แน่ใจแบบไม่มีข้อสงสัยว่าอะไรคือตัวแบบของคุณและที่ไหนที่คุณต้องการให้ผู้ชมมองเห็น ความชัดลึกในบางภาพมีความสำคัญ ในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ คุณจะต้องใช้ความชัดลึก การใช้ความชัดตื้นกับภาพวิวทิวทัศน์จะทำให้ภาพมีความสับสน ใช้การชัดตื้นชัดลึกในการบอกว่าที่ไหนที่คุณต้องการให้ผู้ชมได้มองเห็น อีกครั้งหนึ่ง การฝึกฝนบ่อยๆและมองดูผลลัพท์ ความชัดตื้นชัดลึกจะมาเป็นเครื่องการวางองค์ประกอบภาพที่ประเมินค่าไม่ได้
ผมพบว่าสิ่งที่รู้จักกันดีคือ “กฎ” ของการวางองค์ประกอบภาพเป็นสถานที่ที่ดีในการเริ่มต้น เมื่อผมมีการเตรียมภาพไว้แล้ว ผมจะคิดถึงว่าอะไรที่ผมต้องการให้อยู่ในโฟกัสและอะไรที่ผมต้องการให้หลุดจากโฟกัส หรือมากไปกว่านั้นอีก อะไรคือตัวแบบหรือจุดโฟกัส จากตรงนั้นผมมองหาค่ารับแสง แสง และอื่นๆและนั้นคือสิ่งที่ผมจะถ่ายภาพ สำหรับผมแล้ว ความชัดตื้นชัดลึกกลายเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ที่สำคัญและผมได้ใช้มันบ่อยเท่าที่ทำได้กับตัวแบบของผม ลองให้ผมได้รู้ว่าคุณคิดอย่างไร? คุณใช้ชัดตื้นชัดลึกในการวางองค์ประกอบภาพอย่างไร? ถ้าไม่ คุณจะลองมันไหม?ลองแสดงความคิดเห็นของคุณด้านล่างให้ผมได้รู้บ้าง (ดูภาพต้นฉบับในเว็ปไซต์เพื่อประกอบคำบรรยาย...ควมชัดตื้นจะแยกใบไม้ออกจากฉากหลังที่นุ่มนวล)

45
การถ่ายภาพอสังหาริมทรัพย์-คำแนะนำสำหรับการเริ่มต้น

โพสโดย Charlie Borland แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/real-estate-photography-a-guide-to-getting-started/

ภาพถ่ายจะไม่มีความสำคัญมากกว่าการขายอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันนี้ ตลาดด้านอสังหาฯได้ดีดตัวสูงขึ้นอีกครั้งและความต้องการอสังหาฯเพิ่มขึ้นก็ทำให้ความต้องการการถ่ายภาพเพิ่มขึ้นด้วย นี้คือข่าวดีสำหรับช่างภาพ แต่ก็เหมือนกับธุรกิจอื่นๆมันมีคู่แข่ง ถ้าคุณเป็นช่างภาพใหม่ของการถ่ายภาพอสังหาฯและสถาปัตยกรรมนืคือคำแนะนำที่จะทำให้คุณเริ่มต้นถูกทาง

กล้องและอุปกรณ์

กล้อง เลนส์ และขาตั้งกล้องเป็นสิ่งที่ต้องการในการเริ่มต้น แต่คุณต้องเรียนรู้ให้เร็วเพราะคู่แข่งของคุณเป็นมืออาชีพในการจัดแสงและการใช้เทคนิคของ Photoshop กล้องของคุณต้องสามารถใส่ตัวสายลั่น แฟลช เลนส์ต่างชนิด และตัวสั่งไร้สายได้ เลนส์มุมกว้างจำเป็นต้องมี สำหรับกล้องตัวคูณจะใช้เลนส์ในช่วง 10-22mm หรือ 12-24mm ถึงจะเหมาะและสำหรับกล้องฟูลเฟรมเลนส์ประมาณ 16-35mm จะเป็นเลนส์ที่ใช้งานได้ดี
เลนส์ทิวชิพ (Tilt-shift)ช่วยหลีกเลี่ยงเรื่องความโค้งของเส้นแนวตั้ง เช่น ขอบกำแพง และกรอบประตูที่เอนเข้าหรือออก มีเลนส์ทิวชิพหลายตัวจากค่าย Canon เช่น 17mm หรือ 24mm จากค่าย Canon, Nikon และค่ายอื่นๆ ขณะที่เลนส์พวกนี้น่าอัศจรรย์ในการใช้งาน แต่มันก็มีระยะความยาวที่ตายตัว ดังนั้นถ้าคุณต้องการทัศนียภาพตัวอย่างเช่น 19mm หรือ 27mm หรือบางอยู่ระหว่างสองค่านี้ เลนส์ซูม 16-35mm คือตัวเทียบได้กับเลนส์ทิวชิพ
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(ภาพนี้ก่อนปรับแต่งแสงให้เห็นเส้นแนวตั้งที่ไม่ตัดกัน ดูดีที่สุดโดยขอบของตัว fireplace จากการใช้เลนส์ 16-35mm ที่กดต่ำลงเพื่อเพิ่มฉากหน้าและมีพื้นที่เพดานน้อยลง)
เทคนิคการถ่ายภาพมีมากมายจากการเปิดค่ารับแสงที่กลมกลืน, HDR, แฟลชไร้สาย และการวาดภาพด้วยแสงกับการเปิดค่ารับแสงหลายแบบ ไม่ว่าจะใช้รูปแบบไหนก็ตามกล้องต้องไม่เคลื่อนที่เพื่อให้แน่ใจว่าภาพได้ถูกจัดให้อยู่ตรงกลางของการเปิดค่ารับแสงหลายแบบแล้ว การตั้งเวลาถ่ายภาพ การใช้สายลั่นชัตเตอร์ หรือตัวสั่งไร้สาย เราต้องแน่ใจว่ากล้องไม่ขยับ ตัว Application บน iOS หรือ Camranger จะเป็นตัวสั่งการทำงานบนกล้องและดูภาพได้ก่อนบนอุปกรณ์เหล่านี้ซึ่งทำให้ไม่มีการสัมผัสที่ตัวกล้องเลย

การเข้าถึงตัวอสังหาริมทรัพย์

ภาพแรกที่เป็นไปได้ที่ผู้ซื้อเห็นเมื่อเข้าไปดูการขายอสังหาฯออนไลน์คือ ภาพถ่ายภายนอก ภาพถ่ายเป็นสิ่งสำคัญดังนั้นใช้เวลาที่จะหามุมและแสงที่ดีที่สุด ลองถามตัวแทนขายว่าอะไรคือจุดเด่นสำคัญ พวกเขาต้องการภาพภายนอก จากด้านหน้าและหลัง การตกแต่งหรือลานบ้าน ทิวทัศน์และสวน สระน้ำหรืออ่างน้ำแร่ ยุ้งฉาง ร้านค้า หรืออาคารอื่นๆ แต่ละรูปแบบควรจะเน้นองค์ประกอบโดยใช้สิ่งล้อมรอบ เช่นสวยที่สวยงามนำไปถึงสวนที่มีความสงบร่มเย็น
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(ลูกค้าจะสนใจภายนอกที่อยู่ภายใต้ชานบ้าน ซึ่งผมเก็บภาพไว้ แต่ผมก็เก็บภาพนี้โดยแสดงให้เห็นถึงลานบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์ และให้เห็นความกว้างของสวนหลังบ้านด้วย)

แสงจากภายนอก

ตัวแบบภายนอกส่วนใหญ่จะได้ข้อดีจากแสงเช้าหรือตอนบ่ายแก่ๆ ซึ่งรวมถึงพวกอสังหาฯ การใช้ Google Maps และ Google Earth สามารถช่วยค้นเวลาที่ดีที่สุดของวันในการถ่ายภาพได้ การค้นหาเพียงไม่กี่นาทีและนำมาถึงความคิดว่า ตัวบ้านควรถ่ายตอนดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก หรือไม่ทั้งสองอย่าง
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(ภาพนี้แสงได้ตกกระทบด้านหน้าของตัวบ้านซึ่งสมบูรณ์แบบเมื่อมองเห็นหลังจากดวงอาทิตย์ตก)
ในช่วงฤดูหนาว  บ้านบางหลังจะหันไปทางทิศใต้ซึ่งไม่เคยได้เจอแสงอาทิตย์ตกมายังด้านหน้าบ้านเลย เพื่อหลีกเลี่ยงการถ่ายภาพที่ตรงกับดวงอาทิตย์ก็ต้องถ่ายภาพจากอีกด้านหนึ่งของตัวบ้าน
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(บ้านหลังนี้มีแนวพุ่มไม้ใหญ่ด้านหลังกล้องและแนวถนนกับรถยนต์ การถ่ายภาพาจากด้านซ้ายจะทำให้แสงดวงอาทิตย์ส่องมาด้านขวาเหนือหลังคาแต่ถ้าเคลื่อนมาด้านขวาจะได้ทัศนียภาพที่ดีกว่าและดวงอาทิตย์ก็ไม่ได้อยู่ในภาพด้วย)
ในวันที่ท้องฟ้ามีเมฆ  มันสามารถกำจัดปัญหาทุกอย่างเกี่ยวกับตำแหน่งของดวงอาทิตย์ แต่การถ่ายภาพในวันที่แสงแย่ๆคือการปรึกษากับตัวแทนขายเพื่อตัดสินใจ ข้อดีคือ คุณถ่ายภาพได้ทุกช่วงเวลาของวัน แต่ข้อเสีย คือฟ้าสีขาวๆสามารถลดคุณค่าของตัวแบบที่มีผลกระทบกับภาพบ้านที่มีการตกแต่งภายนอกที่ดีเยี่ยม
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(เทคนิคเวลาโพล้เพล่และตอนค่ำ)
เทคนิคช่วงเวลาโพล้เพล่หรือตอนค่ำ จะมีการร้องขอโดยเจ้าของโครงการเพราะว่ามันช่วยการขายตัวอสังหาฯ ภาพจะถูกถ่ายจากด้านนอกและจากมุมที่ดีที่สุดที่แสดงให้เห็นถึงตัวบ้าน เทคนิคอีกอย่างคือ เปิดไฟในบ้านจากทุกๆ ห้องและถ่ายในเวลาที่เหมาะสมหลังจากอาทิตย์ตกดินสภาพแสงของท้องฟ้าจะสมดุลกับไฟตามห้องต่างๆ สิ่งที่ดีกว่าในการจัดการเรื่องนี้คือ เพิ่มไฟเข้าไปในห้องและการทำในลักษณะนี้หมายความว่า เราไม่ต้องคอยเพื่อจะได้ความสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างแสงไฟในห้องและแสงจากด้านนอก

ถ่ายภาพภายใน

บ้านมีหลายทรวดทรง ขนาด สไตล์และสภาพแวดล้อม บ่อยครั้งที่ผมบอกลูกค้าของผมว่าผมไม่ได้ทำธุรกิจทำความสะอาดบ้านดังนั้นผมจะให้รายการงานกับคำแนะนำของผมในการเตรียมบ้านก่อนที่จะถ่ายภาพ ภายในบ้าน ผมถ่ายภาพภายในจากห้องหลัก ห้องนั่งเล่น ห้องครัว บริเวณห้องอาหาร ห้องนอนหลัก ห้องน้ำหลัก ห้องเหล่านี้จะต้องถูกถ่ายไว้ มันสามารถที่จะเป็นห้องสมุด ห้องทำงาน ห้องเก็บเสื้อผ้าขนาดใหญ่ และอีกมาก ลูกค้าสามารถที่จะบอกคุณว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่พวกคิดไว้ ถัดไปคือค้นหาทัศนียภาพที่ดีที่สุดสำหรับห้องแต่ละห้อง
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(ห้องอาบน้ำหลัก)
ผมได้บรรยายการทำงานของผมโดยใช้สิ่งที่อยู่ภายใน เช่น เฟอร์นิเจอร์  หน้าต่าง และรูปแบบห้อง เพื่อสร้างสิ่งที่มองเห็นได้ ผมพยายามหลีกเลี่ยงการวางองค์ประกอบบางสิ่งที่ใหญ่ๆ ในฉากหน้าที่บังสายตาจากการมองทะลุไปทั่วห้อง
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(นี้คือภาพถ่ายทดสอบครั้งแรกที่ผมถ่ายในห้องนี้และฉากหน้าที่เห็นเก้าอี้ก็บังการมองเห็นภาพทั่วห้อง)
(โดยการหมุนเจ้าตัวเก้าอี้และจัดกล้องให้ต่ำที่พอเหมาะ สายตาของเราสามารถกวาดไปทั่วห้องอย่างง่ายดาย ภาพนี้มีเส้นแนวตั้งที่ถูกต้องด้วย)

กล้องที่ตั้งสูงและขอบแนวตั้ง

นี้คือข้อตกลงกว้างๆ ระหว่างลูกค้ากับช่างภาพว่า ถ้ามันเป็นกฎมันจะต้องระบุไว้ว่า เส้นแนวตั้งต้องถูกต้อง ภายในบ้านส่วนใหญ่ขอบหรือมุมของกำแพง กรอบประตู และหน้าต่างจะมีด้านข้างที่เป็นแนวตั้งและขอบเหล่านี้จะต้องตั้งตรงอย่างถูกต้อง เมื่อคุณใช้เลนส์ทิวชิพปัญหาเหล่านี้จะถูกแก้ไข แต่การเลื่อนกล้องขึ้นหรือลงกับเลนส์ไวน์ที่ไม่ใช่ทิวชิพจะทำให้เส้นขอบแนวตั้งเบนเข้าหากันหรือโค้งออกและพวกมันจะดูไม่เป็นเส้นตรง
การใช้โดยการเปิดกว้างคือให้กล้องใช้ตัววัดระดับน้ำที่วางอยู่บนหัวกล้องเพื่อทำให้เส้นขอบตรงซึ่งมันเป็นวิธีการแก้ปัญหาง่ายๆ แต่มันก็ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเมื่อใช้เลนส์ที่ไม่ใช่ทิวชิพ ระดับของตัวกล้องที่ตั้งสูงเท่ากับหน้าอกสามารถให้ผลลัพท์ตัวแบบที่ดีในฉากหน้า เหมือนกับตัวเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกตัดออกจากด้านล่างและมีพื้นที่บนเพดานห้องที่มากกว่า การทำให้กล้องต่ำลงจะช่วยแก้ไขปัญหานี้แต่ต่ำแค่ไหนที่คุณสามารถจะทำได้และยังคงมีผลกับภาพถ่าย
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(ภาพถ่ายนี้คือหนึ่งในภาพที่สอนนักเรียนทางออนไลน์ Simone Brogini ได้ถ่ายภาพนี้ กล้องของเขาอยู่ที่ความสูงระดับหน้าอกและระดับที่เลี่ยงเส้นที่แยกออก ปัญหาที่ผมได้ให้ความเห็นคือ เฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ฉากหน้าถูกตัดออกและมีพื้นที่เพดานมากเกินไปซึ่งทำให้ขาดความน่าสนใจ)
(Simone ได้ถ่ายภาพห้องนี้ในแบบเดียวกัน มันดูดีแต่ผมก็ได้แนะนำเขาอีกว่าในความคิดของผมความสูงของกล้องจะต้องต่ำลงอีกนิดขณะที่ตัวเตียงและเฟอร์นิเจอร์เหลือเพียงหนึ่งส่วนสามของกรอบภาพและตัวกำแพงและหน้าต่างใช้เพียง สองส่วนสาม)
ดังนั้นอะไรคือความสูงของกล้องที่สมบูรณ์แบบละ? มีหลายๆ ความเห็น บางคนก็แนะนำว่า ระดับหน้าอกขณะที่บางคนก็บอกว่าอยู่ที่ระดับลูกบิดประตูหรือต่ำกว่า ทั้งหมดนี้เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นแนวตั้งที่แยกออก ผมแนะนำที่ระดับความสูงเท่าหน้าอกและใกล้เคียงและแก้ไขเส้นแนวตั้งโดยการใช้วิธีอื่นเหมือนกับเลนส์ทิวชิพหรือการแก้ไขเลนส์ให้ถูกต้องใน Photoshop หรือ Ligthroom
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(ภาพนี้แสงให้เห็นถึงการใช้เครื่องมือแก้ไขเลนส์ให้ถูกต้อง เตียงและเฟอร์นิเจอร์อยู่ในสองส่วนสามของกรอบภาพและให้การมองเห็นตัวห้องอย่างเต็มที่)

การกำหนดค่ารับแสงที่ดี

การตั้งค่ารับแสงที่สมบูรณ์ในการถ่ายภาพภายในเป็นสิ่งที่ท้าทายเมื่อต้องสร้างความสมดุลของแสงที่สว่างจากหน้าต่างกับความมืดที่อยู่ภายใน คุณจะต้องเจอกับความเปรียบต่างในหลายๆครั้ง หนึ่งคือเมื่อถ่ายภาพในขณะที่แสงภาพนอกอยู่ต่ำ ในช่วงแสงตอนเที่ยงด้านนอกจะสว่างกมากกว่าช่วงอื่น หรือหลังดวงอาทิตย์ตก หรือช่วงที่มีเมฆมาก ให้เปิดไฟทุกๆดวงในห้องเพื่อเพิ่มความสว่างในห้องภายใน และถ้าแสงสว่างจากด้านนอกอยู่ต่ำกว่า ไฟล์ RAW สามารถช่วยจับภาพได้ในภาพเดียว
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(ในห้องนี้มีเพดานที่มืด และพื้นที่มืดด้วย แสงแฟรจากหน้าต่างที่มีความเปรียบต่างมากสำหรับการเก็บภาพหนึ่งภาพ (ดูการแก้ไขที่ถูกต้องด้านล่าง)
(ในช่วงวันที่มีเมฆครึ้ม การตั้งค่าแสงสำหรับถ่ายภายในเป็นสิ่งที่ดีเท่ากับแสงที่มาจากหน้าต่าง แฟลชจะช่วยสะท้อนเพดานทางด้านขวา)
เพื่อให้แน่ใจว่าผมมีการตั้งค่าแสงสำหรับภาพที่ดีเยี่ยม ผมจะพิจารณาถึงค่าแสงพื้นฐานของผมคือ การที่กราฟฮิสโตแกรมมีข้อมูลอยู่ตรงกลาง ดังนั้นเมื่อผมถ่ายภาพคร่อมแบบ บวก ลบหนึ่งสต๊อปที่เพิ่มขึ้นกับค่าแสงที่หลากหลายดังนั้นผมก็จะมีภาพที่หลากหลายค่าแสงที่ผมต้องการ Lightroom และ Photoshop และโปรแกรมรูปแบบเดียวกันของค่ายอื่นจะยอมให้คุณเลือกค่าความสว่างและมืดของเงาและไฮไลท์บนภาพๆเดียว แต่ถ้าความเปรียบต่างมีมาก ผมสามารถที่จะผสมภาพที่ถ่ายคร่อมมารวมเป็นสุดท้ายที่ดีเยี่ยมได้
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(การปรับแต่งแปรงใน Lightroom สามารถที่ดึงความสว่างของหน้าต่างให้ลดลงได้)

แสงภายใน

เหมือนกับการยิงแสงไปที่ตัวแบบในการถ่ายภาพบุคคล การถ่ายภาพภายในสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากการจัดไฟได้เหมือนกัน HDR สามารถจัดการเรื่องความเปรียบต่าง แต่ไม่สร้างไฮไลท์และเงาในพื้นที่ไม่มีทิศทางของแสง ถ้าคุณมีตู้เสื้อผ้ที่มืดกลืนกับกำแพงที่มืด การเพิ่มไฟเข้าไปสามารถที่จะดึงรายละเอียดเหล่านั้นขึ้นมาได้
การถ่ายภาพภายในจะมีแหล่งของแสงอยู่สองแหล่ง แสงจากหน้าต่าง และแสงที่เกิดขึ้นภายใน ทั้งสองเป็นแหล่งแสงที่คงที่ คุณสามารถเพิ่มแสงคงที่ หรือใช้ไฟแฟลชได้ แสงคงที่ ไม่เหมือนแฟลชเพราะมันคือแสงของตะเกียงบนโต๊ะหรือแสงจากหน้าต่างการเปลี่ยนค่ารับแสงเพื่อให้แสงจากหน้าต่างมืดลงก็คือการเปลี่ยนค่ารับแสงที่สว่างของแสงคงที่ แฟลชไม่ใช่แสงคงที่ ถ้าคุณเปลี่ยนค่าความเร็วชัตเตอร์เพื่อให้แสงจากหน้าต่างมืดลง ค่าแสงแฟลชจะไม่เปลี่ยนและในเหตุผลนี้เอง แฟลชหรือไฟแฟลชจะให้ความยืดหยุ่นเมื่อส่องสว่าง
การถ่ายภาพสำหรับสถาปัตยกรรม หรือหนังสือนิตยสารจะมีเวลามากในการถ่ายทำพวกโครงการอสังหาฯ กับเทคนิคการจัดแสง แต่สำหรับช่างภาพถ่ายอสังหาฯ เวลาจะถูกจำกัด่ การใช้แฟลชเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบ ช่างภาพบางคนมีความสามารถในการใช้แฟลชตรงที่มาจากแฟลชหัวกล้องเพื่อให้แสงสว่างกับภาพในขณะที่คนอื่นใช้แฟลชในตัวกล้องในการสะท้อนแสง
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(นี้คือแสงที่ส่องมาจากหน้าต่างทางด้านซ้ายและเพดาน ปล่อยให้พื้นที่ด้านหน้ามืด)
(การเพิ่มการสะท้อนของแฟลชที่ถือด้วยมือไปทางด้านขวาของกล้อง ช่วยทำให้ส่วนพื้นที่มืดสว่างขึ้น)
สิ่งที่นิยมใช้กันก็คือการใช้แฟลชหลายตัวที่ไร้สายทำการติดตั้งตัวแฟลชไปรอบๆห้องสำหรับรูปแบบของแสง ความนิยมที่เติบโตขึ้นคือการ วาดภาพด้วยแสง ในพื้นที่ที่ถูกเลือกและการตั้งค่าแสงจะถูกผสมผสาน
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(ภาพนี้คือวิธีการใช้ การวาดภาพด้วแสง ในการถ่ายภาพภายใน)
สิ่งที่มีผลกับแสงด้านนอกผสมกับแสงภายในคือ “ความสมดุลสีของแสง” นี้คือสิ่งที่แตกต่างจากการตั้งค่า White Balance ในกล้อง ค่า White Balance ในกล้องจะถูกตั้งในทางที่เฉพาะเจาะจงในภาพหรือตั้งค่าเฉลี่ยกับแหล่งของแสง
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(สีฟ้าตุ่นๆด้านบนและด้านขวาล่างของหน้าต่างและบนพื้นด้านซ้าย)
ถ้าคุณมีการผสมผสานแสง เช่น แสงสีของหน้าต่างในช่วงกลางวันผสมกับสีของหลอดไฟไส้บนเพดาน และแสงไฟนีออนจากในครัว คุณจะมีสีที่แตกต่างที่ผสมกันไปหมด ตู้ข้างกำแพงจนถึงหน้าต่างจะเป็นสีฟ้าขณะที่ตู้ข้างกำแพงไปที่โคมไฟจะเป็นสีเหลืองอำพันและเพดานในครัวจะมีสีเขียว
(ดูภาพตัวอย่างจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
(ภาพสุดท้ายที่แสดงสีที่ถูกต้องในแต่ละพื้นที่และยังแก้ไขแนวตั้งและเอาแสงแฟรของหน้าต่างออกด้วย)
ในบางกรณี ผลของการผสมสานของแสงจะถูกทำให้น้อยที่สุดและเพิ่มความตั้งใจมากขึ้น คุณต้องป้องกันการผสมผสานของสีและกรณีต่างๆ โดยทำการจับคู่สีแสงภายในให้เป็นสีเดียวกันหรือใช้การแก้ไขสีให้ถูกต้องใน Photoshop ตามพื้นที่ที่ต้องการ

ตัวผลงานสุดท้าย

เมื่อคุณทำตามโจทย์การบ้านสมบูรณ์แล้ว คุณต้องส่งมอบไฟล์ภาพ ลูกค้าอาจจะมีความต้องการที่แตกต่าง แต่สำหรับผมคือความต้องการภาพที่มีความละเอียดต่ำสำหรับในงานบนเว็ปและความละเอียดสูงสำหรับการพิมพ์ภาพ
ให้แน่ใจว่าได้ทำการเก็บไฟล์ของคุณในรูปแบบไฟล์ที่เหมาะสมและขนาดที่ต้องการใช้ ในการให้บริการที่หลากหลายจะระบุว่าอะไรคือรูปแบบและขนาดที่ยอมรับ ผมใช้ Photoshop และ save สำหรับเว็ปไซต์เพื่อให้ได้ความละเอียดต่ำและ TIFF สำหรับความละเอียดสูง การส่งไฟล์ภาพสุดท้ายให้กับลูกค้าจะถูกทำโดยใช้ Dropbox หรือการให้บริการออนไลน์ในรูปแบบเดียวกัน

สรุป

สิ่งที่ควรจำในการถ่ายภาพอสังหาริมทรัพย์
•   คุณไม่ได้ถ่ายภาพสำหรับตัวคุณเอง คุณถ่ายภาพสำหรัลลูกค้าผู้ซึ่งต้องการผลงานคุณภาพระดับมืออาชีพ
•   ไม่ต้องหาเครื่องมือที่ดีที่สุด ใช้แต่เพียงเครื่องมือที่ทำให้งานออกมาดีก็พอ
•   เชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์การถ่ายภาพ เช่น มุมภาพ ทัศนียภาพ และองค์ประกอบภาพ
•   เชี่ยวชาญเทคนิคการตั้งค่าแสง HDR, แสงเสริมเพิ่มเติม การจับคู่สี และการตั้งค่าแสงที่ผสมผสาน
•   ระวังเมื่อปรับแต่งภาพอสังหาฯ เช่นการเอาสายไฟออก หลีกเลี่ยงการตีโจทย์ผิดของตัวอสังหาฯ
มีรูปแบบและเทคนิคหลายอย่างที่คุณสามารถใช้ถ่ายภาพสถาปัตยกรรมและภาพอสังหาริมทรัพย์และคุณควรเชี่ยวชาญกับมัน การถ่ายภาพอสังหาฯ คือการถ่ายภาพสถาปัตยกรรมและคุณสามารถถ่ายภาพบ้านสำหรับตัวแทนขายอสังหาฯ ซึ่งมีค่า 200 เหรียญสหรัฐ หรือภาพตัวแบบของบ้านสำหรับผู้สร้างบ้านมีค่าถึง 1000 เหรียญสหรัฐหรือมากกว่า เริ่มจากสิ่งเล็กๆแต่วางแผนทำงานใหญ่......

Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 8