Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - topstep07

Pages: 1 [2] 3 4 ... 8
16
สี่ Ps  คำแนะนำสำหรับการพัฒนาการถ่ายภาพแนวชีวิตสัตว์ป่า

โพสโดย Richard Beech แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/the-4-ps-tips-for-improving-your-wildlife-photography/

การถ่ายภาพแนวชีวิตสัตว์ปาเป็นประสบการณ์ของสิ่งที่น่าประทับใจในการถ่ายภาพแบบหนึ่งที่คุณสามารถลองได้  จุดเด่นของสัตว์ที่อยู่ในป่าเป็นสิ่งที่โลดโผน ระทึกขวัญ และสามารถบันทึกการเคลื่อนไหวที่สามารถให้ผลคุ้มค่ากับการถ่ายภาพ อย่างไรก็ตาม ชีวิตสัตว์ป่าก็มีตัวแบบที่ท้าทาย ดังนั้นการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าบางครั้งก็ทำให้ผิดหวังได้เช่นกัน
เพื่อช่วยให้คุณได้สิ่งที่น่าสนใจของการถ่ายภาพชนิดนี้ นี้คือคำแนะนำที่จะช่วยพัฒนาการถ่ายภาพสัตว์ป่า

#1 การเตรียมตัว Preparation

ไม่ว่าสัตว์ป่าชนิดไหนที่คุณเลือกมาถ่ายภาพคุณจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้จักนิสัย การใช้ชีวิตประจำวันและการเคลื่อนไหว ให้อ่านชีวิตของตัวแบบก่อนล่วงหน้า หรือค้นหาในออนไลน์สำหรับวีดีโอ หรือไฟล์เสียงซึ่งสามารถช่วยคุณเรียนรู้ได้มากขึ้นกับตัวแบบที่คุณได้เลือกไว้ ถ้าเป็นไปได้ลองคุยกับผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ผู้ซึ่งรู้ที่อยู่และเวลาไหนเหมาะสมของสัตว์ป่าเหล่านั้น  ถ้าคุณกำลังมุ่งหน้าไปสู่สวนสาธารณะแห่งชาติ หรือเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเพื่อถ่ายภาพ เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครจะช่วยให้คุณรู้ว่าจุดที่จะดูสัตว์หรือให้คำแนะนำเบื่องต้นได้
เพราะว่าคุณมีเวลาที่จำกัดในการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า ให้เรียนรู้การใช้อุปกรณ์กล้องของคุณซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก การทำความคุ้นเคยกับการทำงานของกล้องและเลนส์ก่อนที่คุณจะออกไปยังสถานที่จริงเพื่อว่าคุณจะไม่พลาดการถ่ายที่สำคัญซึ่งเกิดจากตั้งค่าที่ไม่ถูกต้อง
ก่อนที่คุณออกไป ให้แน่ใจว่าคุณเก็บอุปกรณ์ที่ต้องการใช้และมีการ์ดหน่วยความจำสำรองและแบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็มแล้ว สำหรับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า เลนส์เทเลโฟโต้คือสิ่งที่จำเป็น แต่อย่ามองข้ามการนำเลนส์มุมกว้างเพื่อเก็บภาพสัตว์ของคุณซึ่งเป้นส่วนหนึ่งของวิวทิวทัศน์ด้วย บางครั้งการถ่ายภาพสัตว์ป่าที่ดีที่สุดแสดงถึงสัตว์ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมของมัน และไม่จำเป็นต้องตีกรอบถ่ายภาพหน้าเต็มของสัตว์เหล่านั้น ถ้าคุณกำลังใช้เลนส์เทเลฯ ขาตั้งกล้องสามขาหรือขาเดียวสามารถช่วยให้กล้องสั่นไหวน้อยลง ขาตั้งกล้องแบบขาเดียว (Monopod) จะยืดหยุ่นในการเคลื่อนย้ายมากกว่า ขาตั้งแบบสามขา (Tripod) เมื่อคุณกำลังถ่ายภาพที่ติดตามสัตว์ป่าที่มีการเคลื่อไหว แต่ยังคงสามารถเพียงพอที่ทำให้กล้องนิ่งและได้ภาพที่คมชัด
ตรวจสอบรายงานสภาพอากาศสำหรับวันที่คุณกำลังจะออกไปถ่ายภาพ แต่ไม่จำเป็นที่จะเลื่อนออกไปในวันที่อากาศแย่ สัตว์ต่างๆยังคงใช้ชีวิตในช่วงฝนตกหรือวันที่มีพายุ และมันเป็นไปได้ที่จะได้ถ่ายภาพบางพฤติกรรมในสภาพแวดล้อมของมัน คุณสามารถซื้อตัวป้องกันชนิดพิเศษสำหรับกล้องและเลนส์จากสภาพอากาศที่เปียก บางที แค่ถุงพลาสติกกับหนังสติ๊กสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
ก็คงเหมือนกับการถ่ายภาพในแนวอื่นๆ แสงเป็นกุญแจหลัก และแสงที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าคือช่วงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและตก สัตว์ต่างๆจะมีความกระตือรือร้นมากในช่วงเวลานี้ของวัน บางครั้งก็กำลังหาอาหาร ดังนั้นให้แน่ใจว่าคุณตื่นแต่เช้าและพร้อมถ่ายภาพในช่วงแสงสีทองขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น การถ่ายภาพในช่วงดวงอาทิตย์ตกสามารถเปลี่ยนตัวแบบธรรมดาให้เป็นบางสิ่งที่พิเศษได้ ลองค้นหาโอกาสในการเก็บภาพชีวิตสัตว์ป่าแบบเงาดำ (silhouettes) ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังตก (ลองดูภาพด้านล่าง ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)

#2 การฝึกฝน Practice

เหมือนกับการถ่ายภาพแบบอื่นๆ การวางองค์ประกอบภาพสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างภาพที่ดีและภาพที่เยี่ยมยอดได้ เมื่อการวางองค์ประกอบในการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าให้จำคำแนะนำการวางองค์ประกอบภาพพื้นฐานเอาไว้ให้ดี เช่น กฎสามส่วนที่ทรงอิทธิพล ถ้าตัวแบบของคุณกำลังมองไปทางด้านซ้ายหรือขวา ให้เรามีเนื้อที่ว่างๆเหลือในกรอบภาพซึ่งอยู่ด้านที่ตัวแบบกำลังมองไป คำแนะนำนี้ยังคงใช้ได้เช่นเดียวกันถ้าสัตว์เคลื่อนที่ไปด้านใดก็ให้เปิดพื้นที่ในภาพสำหรับพวกมันในการเคลื่อนที่ไว้ด้วย
ลงต่ำให้อยู่ระดับสายตา (หรือต่ำกว่า) กับสัตว์ที่จะทำให้เกิดภาพที่มีชีวิตชีวา การถ่ายภาพสัตว์จากการยืนแล้วมองลงมาที่พวกมันจะทำให้ขาด คุณสมบัติ “ภาพที่ต้องร้องว้าว” เนื่องจากมุมที่เราอยู่เป็นมุมที่เราใช้ในการมองสัตว์ป่า การนอนราบไปกับพื้นเพื่อว่าคุณจะได้อยู่ระดับสายตา หรือมองขึ้น ซึ่งทำให้สัตว์ที่คุณเลือกเป็นตัวแบบจะดูใหญ่และมีพลัง และสามารถเพิ่มองค์ประกอบอื่นๆให้กับภาพสุดท้ายของคุณด้วย
กฎของการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าขั้นพื้นฐานคือ ตาของตัวแบบต้องอยู่ในโฟกัส อย่างไรก็ตาม ระบบออโต้โฟกัสในกล้องของคุณสามารถหลอกในการล๊อคโฟกัสในจุดอื่นของสัตว์ได้อย่างง่ายๆ หนทางที่จะช่วยในสิ่งนี้คือการตั้งค่ากล้องให้อยู่ในโหมด การโฟกัสจุดเดียว (AF-S สำหรับคนใช้กล้องนิคอน) เลือกจุดกึ่งกลางเป็นจุดโฟกัสในช่องมองภาพ ทำการล๊อคโฟกัสไปที่ดวงตาโดยการกดปุ่มชัตเตอร์ไปครึ่งหนึ่ง และเมื่อเรายังไม่ได้ปล่อยปุ่มชัตเตอร์ที่กดไว้ ให้คุณทำการจัดองค์ประกอบภาพ แล้วค่อยถ่ายภาพ เพิ่มเติมในการโฟกัสที่สมบูรณ์แบบบนดวงตา  สัตว์ป่าส่วนใหญ่มีแววตาในดวงตาของมัน แฟลช หรือ speedlight ที่อยู่บนกล้องของคุณสามารถทำให้เกิดประโยชน์สำหรับการเพิ่มแสงในดวงตาที่มืดเมื่อคุณทำการถ่ายภาพสัตว์ในระยะประชิด
การจะได้โฟกัสที่ถูกต้องกลายเป็นสิ่งที่ยากเมื่อการถ่ายภาพสัตว์ที่มีการเคลื่อนที่ สำหรับสัตว์ป่าที่เคลื่อนที่ให้เลือกระบบออโต้โฟกัสเป็นแบบต่อเนื่อง เช่น AI Server (AF-C) และเลือกจุดโฟกัสเดียวในช่องมองภาพ ติดตามการเคลื่อนไหวโดยให้จุดโฟกัสลงที่ตัวแบบให้แน่ใจมันยังคงโฟกัสตามตลอดเวลาไม่ใช่โฟกัสไปที่ฉากหน้า หรือฉากหลัง
ถ่ายภาพด้วยโหมด Aperture Priority ซึ่งมันมีประโยชน์มากสำหรับการถ่ายภาพสัตว์ป่า โดยการใช้รูรับแสงกว้างที่สุด (เช่น f/2.8) คุณจะสามารถใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่จำเป็นนการทำให้ภาพคมชัด ยิ่งชัดตื้นชัดลึดยิ่งแคบจากการใช้รูรับแสงที่กว้าจะช่วยให้ฉากหลังเบลอ และอีกอย่างหนึ่งจะช่วยแยกตัวแบบและทำให้มันโดดเด่นในภาพด้วย
อย่ากลัวในการเพิ่มค่า ISO เล็กน้อยเพื่อที่จะให้ความเร็วชัตเตอร์เร็วขึ้น ถ้าถ่ายภาพในสภาพแวดล้อมที่แสงหายาก เช่นในป่าที่หนาทึบ การทีมีน้อยส์เล็กน้อยในภาพยอมรับได้ (และมันง่ายในการแก้ไขถ้าคุณต้องการ)มากกว่าภาพที่ไม่เข้าโฟกัส หรือภาพที่เบลอ

#3 ความพยายามมานะอุสาหะ  Perseverance

ขณะที่เราปฎิเสธไม่ได้ว่าจำนวนครั้งที่แน่นอนของความโชคดีที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่เป็นกุญแจในการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าคือ ความอดทน ไม่จำเป็นในการอดทนเพื่อต้องการสำหรับตัวแบบของคุณปรากฎขึ้นแต่ความอดทนในการเก็บภาพอย่างสมบูรณ์คือสิ่งที่คุณมองเห็น
เมื่อคุณพบสัตว์ที่ออกมาจากป่า เฝ้ามองมันนานเท่าที่ไปได้และไม่ใช่จากด้านหลังช่องมองภาพ ใช้เวลากับมันและเรียนรู้วิถีชีวิตมัน ขณะที่เฝ้ามองสัตว์ พยายามเก็บภาพในพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ในสัตว์ประเภทนั้น จดบันทึกพฤติกรรมที่สามารถสร้างภาพชีวิตสัตว์ป่าที่กระตุ้นความสนใจ สิ่งที่สำคัญที่สุด สนุกกับประสบการณ์การเฝ้ามองสัตว์ป่าเท่าๆ กับการถ่ายภาพ
คำแนะนำที่รวดเร็วหนึ่งอย่างคือ ปล่ยอให้มันมีเสียง (ขณะที่เงียบอยู่ ไม่ใช่เสียงของกล้อง) เกิดขึ้นให้น้อยที่สุดเมื่อคุณกำลังถ่ายภาพสัตว์ป่า แต่งกายให้เหมาะสม ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง และที่สำคัญที่สุดถ้าเป็นไปได้ให้เปลี่ยนโหมดมือถือของคุณเป็นระบบสั่น ไม่มีอะไรจะเลวไปกว่าขณะที่จะถ่ายภาพซึ่งตัวแบบของคุณเกิดตกใจโดยเสียงของโทรศัพท์ดังขึ้น
บางทีก็มีช่วงเวลาที่ดีของการรอคอยและการเฝ้ามอง พยายามอย่าไปโฟกัสที่ตัวแบบเดียว มองไปรอบๆขณะที่คอยตัวแบบของคุณกลับมา คุณไม่เคยรู้หรอกว่าบางครั้งมีบางสิ่งที่ดีน่าสนใจมากกว่าคอยอยู่รอบๆ
ถ้าคุณต้องการฝึกฝนมากกับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าแต่ไม่มีเวลามากนัก สวนสาธารณะสามารถเป็นสถานที่ที่เยี่ยมในการไปเยือนช่วงมื้อเที่ยงหรือหลังเลิกงาน สวนสาธารณะดึงดูดสัตว์ป่าหลายอย่างเข้ามาเช่น ห่าน หงส์ หรือกวางและบ่อยครั้งคุณสามารถเข้าไปใกล้กว่าในการถ่ายภาพ เป็นในสระน้ำสามารถสร้างโอกาสสำหรับภาพการเคลื่อนไหวและมันยังเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝนทักษะของคุณที่ไม่ต้องไปไหนไกล

#4 ความหลงใหล ความชอบ Passion

การถ่ายภาพสัตว์ป่าจากดีไปถึงยอดเยี่ยม คุณต้องการความชอบและหลงใหลเกี่ยวกับโลกของธรรมชาติที่คุณกำลังถ่ายภาพ ใช้เวลาในการชื่นชมธรรมชาติและชีวิตสัตว์ป่าในทุกๆ รูปแบบเมื่อไรก็ตามที่คุณพบมัน คุณไม่ต้องออกไปในที่ต่างถิ่นเพื่อจะถ่ายภาพสัตว์ป่าที่เยี่ยมยอด ยกตัวอย่างเช่น การถ่ายภาพมาโครซึ่งมีโอกาสถ่ายภาพสัตว์ป่าหลายชนิดรวมถึง แมงมุม เต่าทอง และแมลงวัน ขณะที่บางคนผู้ซึ่งกลัวสัตว์เหล่านี้อย่างมาก ผมรู้สึกซาบซึ้งกับแมงมุมสวยๆ และตั้งแต่ผมถ่ายภาพพวกมัน ผมพบว่าผมหลงรักพวกมันมากกว่าที่จะกลัว
คุณสามารถทำการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เพียงเล็กน้อยของสวนในบ้านคุณเองเพื่อดึงดูดสัตว์ป่าต่างๆ ให้มาหาคุณ การทำสวนสำหรับสัตว์ป่าให้ดูเป็นมิตรทำได้โดยไม่แพงและประโยชน์ที่ได้รับสำหรับสัตว์ป่าท้องถิ่นมีสูงมาก การเพิ่มสระหรือสวนดอกไม้คือสองสิ่งที่ดีสำหรับสภาพแวดล้อมและยังเปิดโอกาสการถ่ายภาพให้คุณอีกด้วย
สิ่งที่สำคัญที่สุด ให้คุณระมัดระวังเมื่อกำลังถ่ายภาพแนวชีวิตสัตว์ป่า อย่าให้ตัวคุณหรือสัตว์ป่าอยู่ในความเสี่ยงและอย่าไปรบกวนสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของพวกมันเพียงเพื่อคุณต้องการถ่ายภาพ ให้ความเคารพกับสัตว์ป่าทุกๆ ชนิด เรียนรู้จักตัวแบบของคุณให้ดีและจะได้รางวัลกับภาพถ่ายที่ยอดเยี่ยมเพื่อไปอวดให้คนอื่นๆ ได้ดู และบันดาลใจให้พวกเขาได้ช่วยกันดูแลสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในโลกนี้ให้มากขึ้นเหมือนกับตัวคุณ

17
 สิบคำแนะนำที่แน่นอนสำหรับการถ่ายภาพนกขณะบิน

โพสโดย Prathap DK แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/10-surefire-tips-for…/

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ทำการสำรวจภายใน blog ของผมเองเกี่ยวกับเรื่องการถ่ายภาพนกขณะบินซึ่งเป็นที่ต้องการมากหลังจากหัวข้อนี้
มันไม่ประหลาดใจเลยเพราะว่านั้นคือความพิเศษของนกที่พวกมันต้องผืนกับแรงโน้มถ่วงและยกตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า มันช่างอัศจรรย์อะไรเช่นนี้
และนี้คือ 10 คำแนะนำที่แน่นอนที่จะช่วยคุณในการถ่ายภาพนกบินที่ดีกว่าเดิม ยิ่งคุณฝึกฝนมาก ภาพถ่ายของคุณก็จะจบลงอย่างสวยงาม

1. เรียนรู้พฤติกรรมการบินของนก

โดยปกติเราคาดเดานิสัยการบินของนกได้ มันต้องการการสังเกต ยิ่งคุณสังเกตมากเท่าไร คุณก็จะเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการบินของนกได้ ทำไมมันสำคัญในการเรียนรู้พฤติกรรมการบินของนก?
การติดตามนกขณะที่มันบินอยู่คือเคล็ดลับส่วนหนึ่งของการถ่ายภาพนกขณะบิน ถ้าคุณรู้พฤติกรรมการบินของนกดังนั้นคุณจะสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าการเคลื่อนไหวต่อไปจะเป็นอย่างไรและคอยจนได้การเคลื่อนไหวที่ลงตัวที่จะได้ภาพที่ดีที่สุด

2. มุมมองเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด

โดยทั่วไปแล้วความแตกต่างระหว่างภาพที่ดีและไม่ดีคือเรื่องของมุมมอง การถ่ายภาพนกขณะบินอยู่เหนือศีรษะของคุณให้ความแตกต่างของผลกระทบที่ได้มากกว่านกที่บินผ่านไป
การถ่ายภาพนกที่กำลังบินตรงมาคุณจะให้ความแตกต่างจากนกที่บินผ่านจากคุณไป ลองให้ระดับการถ่ายภาพอยู่ในระดับสายตาของนกที่กำลังบินซึ่งมันจะให้ผลที่ดูใกล้ชิดกว่า

3. เริ่มจากนกที่กำลังบินช้าๆ

มันสามารถนำไปถึงผลลัพท์ที่สับสนได้ถ้าคุณเลือการถ่ายภาพนกขณะบินโดยปราศจากความเข้าใจทางด้านเทคนิคที่ชัดเจน
การถือกล้องด้วยมือเปล่าและเทคนิคการโฟกัสไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีอะไรจะแทนที่กับการทำงานหนักเมื่อมันต้องใช้การฝึกฝนสำหรับเทคนิคนี้ หนทางที่ดีที่สุดคือเริ่มกับนกที่บินช้าๆเหมือนกับพวกนกกระยาง และนกกระสา
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ Great White Egret in flight in Bharatpur Bird Sanctuary or Keoladeo National Park in Bharatpur, Rajastan)
นกกระยางและนกกระสามีอยู่มากมายและมันไม่ยากเกินไปที่จะนำสิบคำแนะนำนี้ในการฝึกฝน เมื่อถ่ายภาพนกเหล่านี้และคุณก็จะกลายเป็นช่างภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

4. ใช้การตั้งค่าของกล้องที่ถูกต้อง

ทำชีวิตของคุณให้ง่ายขึ้นกับการตั้งค่าแบบนี้
• Aperture Priority mode
• Matrix/Evaluative metering
• Auto ISO settings up to whatever ISO settings you are comfortable with for your camera
• Shutter Speed of at least 1/500th of a second or faster
• AF-C focus mode for Nikon users and AI-Servo mode for Canon
• Highest frames per second burst mode setting
• 9-point or 21-point zone focus or 3-D tracking
ถ้าคุณไม่สามารถตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์เท่ากับ 1/500 หรือเร็วกว่าได้ขณะที่ถือกล้องถ่ายภาพ ดังนั้นให้คอยแสงที่เหมาะสม ไม่มีจุดที่จะทำให้เกิดน้อยส์ หรือภาพถ่ายที่ได้รับค่าแสงที่แย่
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับGrey Heron landing on a misty morning in Bharatpur Bird Sanctuary in Bharatpur, Rajastan)
ถ้าคุณใช้ขาตั้งกล้องที่มั่นคง และใช้หัว gimbal ด้วยแล้ว คุณสามารถสร้างสรรค์การถ่ายด้วยแบบ การเคลื่อนไหวเบลอๆ หรือการแพนกล้องถ่ายกับความเร็วชัตเตอร์ที่ช้า

5. เลือกจุกโฟกัสที่เหมาะสม
การเลือกจำนวนจุดโฟกัสที่ถูกต้องคือจุดวิกฤตในการประสบความสำเร็จในการถ่ายภาพนกขณะบิน กล้องส่วนใหญ่จะมีทางเลือกของจุดโฟกัสมากมายซึ่งจะอ้างถึงขอบเขตการโฟกัส
บ่อยๆ ที่ผมเลือกแบบ 9 จุด หรือไม่ก็ 21 จุดโฟกัสมากกว่า 51 จุด ในความคิดคือการใช้ให้น้อย แต่เพียงพอของจุดโฟกัสแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ง่ายกว่าสำหรับการโฟกัสแบบระบบออโต้และสำหรับการจัดองค์ประกอบเมื่อคุณอยู่ในพื้นที่จริง ถ้าคุณไม่มีระบบการกำหนดขอบเขตโฟกัส ดังนั้นคุณอาจจะใช้จุดโฟกัสทั้งหมดที่มันมี กับกล้อง DSLR รุ่นใหม่ การโฟกัสแบบ 3-D ดูเหมือนมีการพัฒนาที่น่าพิจารณานำมาใช้ คุณอาจจะต้องพยายามลองมันด้วย (ลองดูในหนังสือคู่มือกล้องของคุณ)

6. ติดตามก่อนที่คุณจะถ่ายภาพ

โดยส่วนมากแล้วแนวโน้มการเริ่มถ่ายภาพการเคลื่อนไหวเมื่อเราเห็นนกกำลังขึ้นบินหรือกำลังบินออกไป นั้นคือธรรมชาติแต่มันผิด
การถ่ายภาพนกขณะบินต้องใช้ความอดทน หลังจากที่เฝ้าคอยเป็นเวลานานคุณไม่ต้องการที่จะเสียโอกาส เมื่อคุณเห็นนกขณะบิน ให้ติดตามนกจนกระทั่งระบบโฟกัสออโต้มีเวลาเพียงพอที่จะจับโฟกัส เมื่อมันล๊อคโฟกัสแล้ว คุณสามารถ่ายมันเท่าไรก็ได้ที่คุณสามารถเท่าที่คุณต้องการโดยปราศจากการเสียการโฟกัสไป
คำแนะนำข้อ 1 และ 7 บวกกับข้อแนะนำนี้จะช่วยคุณให้ประสบความสำเร็จในการถ่ายภาพนกขณะบิน

7. คอยจนกระทั่งคุณได้สิ่งที่ดีที่สุดหรือ ฉากหลังที่มีความเปรียบต่าง

โอเค สมมุติว่าคุณได้ตามนกและโฟกัสล๊อคที่ตัวนกแล้ว แต่เลนส์ยังคงกำลังหมุนหาโฟกัสอยู่ ถ้าคุณเข้าใจระบบการโฟกัสทำงานอย่างไร คุณจะควบคุมมันในการถ่ายภาพได้ดีกว่า จำไว้ว่าระบบโฟกัสต้องการความเปรียบต่างระหว่างตัวแบบกับฉากหลังที่ดีเพียงพอ มันเป็นสิ่งที่ง่ายมากๆ สำหรับระบบออโต้โฟกัสในการล๊อคโฟกัสเมื่อนกกำลังบินโดยที่มีฉากหลังสะอาดเหมือนเช่น ท้องฟ้าสีฟ้า กับการฝึกฝน คุณจะค้นพบว่าความสามารถของระบบออโต้โฟกัสในกล้องคุณซึ่งมันจะเปลี่ยนให้คุณสามารถถ่ายภาพนกขณะบินได้ดีขึ้น

8. การถ่ายภาพนกบินขึ้นและร่อนลงพื้น

นกส่วนใหญ่จะทำการขับถ่ายก่อนที่พวกมันจะขึ้นบินเพื่อเป็นการลดน้ำหนัก สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมากในการถ่ายภาพนกบินขึ้นฟ้า แน่นอน มันขึ้นอยู่กับตำแหน่งของคุณและทิศทางของแสงที่เหมาะสม
ทิศทางของลมจะเล่นบทบาทหลักในการถ่ายภาพนกบินขึ้นฟ้าและการร่อนลงที่ดี เมื่อนกบินเข้าหาลมขณะที่มันบินขึ้นและร่อนลงพื้น มันจะดีมากที่คุณยืนหันหลังให้ลม เหมือนกับคุณหันหลังให้กับดวงอาทิตย์
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ Purple Heron landing in Bharatpur Bird Sanctuary or Keoladeo Nationa Park in Rajastan )

9. สร้างสรรค์ภาพแบบเงาดำ

การถ่ายภาพนกแบบเงาดำในขณะบินมันง่ายมากกว่าที่คุณคิดเสียอีก
ท้องฟ้าที่สว่างไสว ซึ่งทำให้คุณรับค่าแสงที่ดีเพียงพอต่อความเร็วชัตเตอร์และทำให้เกิดความเปรียบต่างสำหรับระบบออโต้โฟกัสในการล๊อคโฟกัส
อะไรคือสิ่งสำคัญในการถ่ายภาพเงาดำนั้นก็คือ รูปร่างของตัวนก เพราะว่านกมันจะมืด หรือไม่มีจุดเด่น คุณจะได้รูปทรงของนกที่ชัดเจน ถ้ารูปทรงไม่ชัดเจนคุณจะไม่สามารถทำให้มันเกิดผลได้ ไม่ว่าท้องฟ้าจะสวยมากสักแค่ไหนก็ตาม

10. ให้ความสนใจไปที่การวางองค์ประกอบภาพ

ไม่ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนตามที่คุณคิดในการให้ได้การวางองค์ประกอบภาพที่เหมาะสมในการถ่ายภาพนกขณะบิน คุณก็ควรจะทำตามคำแนะนำของกฎสามส่วนเพื่อว่าคุณจะได้มีพื้นที่หายใจในภาพ หรือพื้นที่ว่างของนกที่บินไปในทิศทางของมัน...
มันเป็นเรื่องที่ดีในการใช้กฎสามส่วนเพราะว่าคุณต้องการให้นกอยู่ในด้านซ้ายของกรอบภาพ ถ้ามันกำลังบินไปตรงไปทางขวาเพื่อว่าคุณจะไม่ตัดปีกมันออกและในทำนองกลับกัน
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ Perfect reflection of a seagull taking off during sunset in a lake in Grayslake, IL, US.)
ผมรักภาพสะท้อนในทะเลสาบที่นิ่งและปีกสีขาวของนกนางนวลตัดกับความมืดในฉากหลัง ถ้านกบินขึ้นจากพื้นดิน คุณต้องให้นกอยู่ในระดับต่ำกว่า หนึ่งส่วนสามในตำแหน่งของภาพเพื่อว่ามันจะบินขึ้นในทางด้านบน ให้นกอยู่ในระดับที่สูงกว่าหนึ่งส่วนสามของภาพ ถ้ามันกำลังบินขึ้นทางด้านล่าง

สรุป

ถ้าคุณฝึกฝนในสิบคำแนะนำนี้ขณะที่ถ่ายภาพนกขณะบิน คุณจะถ่ายภาพได้ดกว่าเดิมอย่างแน่นอน มันใช้เวลาสักหน่อยในการฝึกฝนและทำให้มันเป็นสิ่งที่สองของนิสัยคุณ แต่มันมีค่าในการลอง
ถ้าคุณชอบภาพนกขณะบินของผม พวกมันคือผลงานการถ่ายภาพของผมมากว่าเจ็ดปี สิ่งที่สำคํยในการจดจำไว้คือ ไม่มีช่างภาพคนไหนจะได้ภาพสวยงามทุกครั้งที่พวกเขาและเธอกดปุ่มชัตเตอร์ มันจะเป็นร้อยครั้งหรือพันครั้งของภาพที่ผิดหวังก่อนที่จะได้ภาพที่ดีหนึ่งภาพนำมาฝากให้ชมกัน ขอให้คุณมีความอดทน....

18
 คำแนะนำและเทคนิคการถ่ายภาพแสงเทียน

โพสโดย Ziv Haparnas แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://www.picturecorrect.com/…/candlelight-photography-ti…/

เทียนเป็นแหล่งกำเนิดแสงที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองซึ่งมีผลในภาพถ่ายแสงเทียนที่ทำให้ดูภาพแล้วต้องหายใจลึกๆ อุณหภูมิของแสงเทียนจะแตกต่างจาก แสงแฟลช แสงตอนกลางวัน หรือ แสงจากหลอดไฟทั่วไป การใช้แสงเทียนเป็นสิ่งที่ยากและต้องการประสบการณ์ ในบทความนี้จะเผยให้คุณเห็นความคิดพื้นฐานซึ่งคุณสามารถเริ่มต้นทดลองทำได้
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....“Candle” captured by Leland Francisco)
เทียนสามารถนำไปใช้ได้ในหลายทาง
1. เทียนสามารถสร้างแหล่งกำเนิดแสงที่ส่องแสงให้กับวัตถุในภาพแต่ไม่ปรากฎตัวมันเองอยู่ในภาพ
2. เทียนสามารถถูกใช้เป็นแหล่งกำเนิดแสง และมีส่วนร่วมกับตัวแบบในภาพถ่ายได้
3. เทียนสามารถเป็นตัวแบบหลักของภาพถ่ายได้
จำไว้ว่าต้องกำจัดแหล่งกำเนิดแสงอื่นๆ....เป้าหมายของแสงเทียนในภาพคือ ความสำเร็จที่สร้างผลงานในลักษณะเฉพาะตัวที่แสงเทียนทำได้ เช่น แสงอุ่นๆ เพื่อให้สำเร็จในขั้นสูงสุดคุณควรจะแน่ใจว่าไม่มีแหล่งกำเนิดแสงอื่นๆเข้ามารบกวนในการถ่ายภาพของคุณ การทดสอบง่ายๆคือ เป่าเทียนให้ดับและให้แน่ใจว่ามันมืดสนิท ซึ่งมันหนีไม่พ้นที่จะต้องบอกว่า คุณต้องแน่ใจว่าคุณได้ปิดแฟลชของคุณแล้ว ในบางสถานการณ์ แสงเสริมจากแหล่งกำเนิดแสงเล็กๆ สามารถนำมาใช้ได้ หลังจากทดลองและได้รับประสบการณ์กับการถ่ายภาพแสงเทียนแล้วคุณจะได้รับรู้ว่าเมื่อไรควรให้มีแสงอื่นๆเข้ามารวมอยู่ในภาพซึ่งอยู่ในมุมและความเป็นจริงเป็นจัง
แสงเทียนจะไม่แรงเหมือนกับแหล่งกำเนิดแสงอื่นๆ มันอ่อนกว่าแสงแฟลช สำหรับเหตุผลนี้ การถ่ายภาพแสงเทียนจะอยู่ในสภาพแสงที่น้อย การใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าในการถ่ายภาพ ดังนั้นมันได้รับการแนะนำว่าคุณต้องใช้รูรับแสงที่กว้างสุดและใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่น้อย ซึ่งมันก็จบลงด้วยการใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้า
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...“Red” captured by Alberto Roseo (Click Image to See More From Alberto Roseo)

มีบางสิ่งที่คุณควรจะพิจารณา
• การสั่นของกล้อง นี้คือสิ่งที่สามารถกำจัดได้ด้วยการใช้ขาตั้งกล้อง โดยให้วางกล้องอยู่บนที่พื้นมั่นคงและใช้ตัวตั้งเวลาในการถ่ายภาพ
• การเคลื่อนไหวของตัวแบบ... ถ้าตัวแบบเคลื่อนไหวในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งชัตเตอร์ได้เปิดขึ้น ภาพจะปรากฎเป็นรอยเปื้อน ให้แน่ใจว่าตัวแบบที่คุณกำลังถ่ายภาพไม่เคลื่อนไหวและไม่มีคนมารบกวน สิ่งอื่นๆของการเคลื่อนไหว คือการเคลื่อนไหวของตัวแสงเอง
• เปลวไฟริบหรี่ แม้ว่ามันจะยากในการกำจัดปรากฎการณ์นี้ให้หมดไป และบางครั้งการริบหรี่ของแสงจะน่ายินดีที่ทำให้ได้ภาพแสงเทียนที่ดี มันถูกแนะนำว่าให้คุณป้องกันการเกิดแสงริบหรี่ สิ่งนี้สามารถทำโดยให้แน่ใจว่าไม่มีลมพัดเข้ามา ซึ่งเทียนอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงและเทียนก็ส่องแสงและไหม้อยู่อย่างนั้นสักระยะหนึ่ง
พิจารณาถึงความเร็วชัตเตอร์ที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ยาก เมื่อแสงของเทียนสว่างอยู่ แต่ก็ยังต้องให้ความสนใจกับพื้นที่เล็กๆและอ่อนไหวที่อยู่ไกลไปจากเทียน การวัดแสงโดยรอบของกล้องส่วนใหญ่และการใช้ความเร็วชัตเตอร์แบบออโต้จะผิดพลาด ลองถ่ายภาพสองสามภาพกับความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าและเร็วและตรวจดูผลลัพท์ที่ได้
ปริมาณของแสงในภาพขึ้นอยู่กับจำนวนของเทียนที่ใช้ เมื่อเทียนไม่ใช่แหล่งกำเนิดแสงที่แรง คุณควรจะเทียนสักสองสามเล่ม บางครั้งคุณอาจจะใช้เทียนจำนวนเล็กน้อยให้ปรากฎในภาพแต่คุณยังคงต้องการแสงเทียนที่มากในการถ่ายภาพ ในบางกรณีคุณสามารถใช้เทียนพิเศษเพื่อให้เพิ่มแสงเข้าไปในภาพแต่ให้เทียนเหล่านั้นไม่อยู่ในการวางองค์ประกอบภาพ เมื่อคุณทำแบบนี้ต้องแน่ใจเทียนที่เพิ่มเข้ามาต้องวางในทางที่สมเหตุสมผล ตัวอย่างเช่น ให้แน่ใจว่าพวกมันไม่สร้างเงาโดยไม่ปรากฎอยู่กับเทียนที่อยู่ในภาพ
แสงคือศิลปะ การใช้แสงเทียนเป็นแหล่งกำเนิดแสงคือศิลปะโดยตัวมันเองและต้องการประสบการณ์ มีกฎพื้นฐานสำหรับการวางตำแหน่งของเทียน ตัวอย่างเช่น มันควรจะวางเทียนให้ใกล้กับกล้องมากกว่าตัวแบบ ไม่เช่นนั้นภาพที่ได้จะเป็นภาพเงาดำของตัวแบบ มุมของแสงที่แตกต่างสามารถสร้างเงาและผลที่แตกต่างด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพคนและเทียนถูกวางไว้ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าใบหน้า คุณจะได้ภาพคนที่ดูแล้วน่ากลัว ในอีกทางหนึ่ง ถ้าวางเทียนไว้ในมุมที่สูงระดับเดียวกับใบหน้า คุณจะได้ภาพที่ดูอบอุ่นและนุ่มนวล มันเป็นการยากที่จะกำหนดกฎการวางตำแหน่งของเทียนและตำแหน่งที่ดีเยี่ยมขึ้นอยู่กับผลที่คุณกำลังมองหา เทียนมากกว่าหนึ่งเล่มสามารถนำมาใช้แต่ละตำแหน่งที่แตกต่างเพื่อสร้างความซับซ้อน และกำจัดเงาที่ไม่ต้องการ คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ ถ่ายมาหลายๆภาพและทดลองกับตำแหน่งและมุมของเทียนที่แตกต่างกัน
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ... “Keeper of the Light” captured by Roy Chan)

19
 ห้าเหตุผลที่คุณควรเรียนรู้การถ่ายภาพแบบเปิดค่ารับแสงนาน

โพสโดย Kevin Choi แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย

http://digital-photography-school.com/5-reasons-you-should…/

การถ่ายภาพแบบเปิดรูรับแสงนานเป็นสิ่งที่น่าสนใจและเป็นเทคนิคขั้นสูงของการสร้างสรรค์ภาพอย่างมาก มันต้องการให้คุณใช้การถ่ายภาพแบบ manual หรือบางครั้งก็เป็นแบบ Shutter Priority เพื่อควบคุมความเร็วของชัตเตอร์
Shutter priority Mode เป็นรูปแบบของกล้อง Nikon ที่ใช้ตัวอักษร “S” และสำหรับระบบของ Canon ใช้ “Tv” ทั้งคู่มีความหมายแบบเดียวกัน เมื่อคุณหมุนปุ่มไปที่ระบบ Shutter priority คุณสามารถเลือกความเร็วของชัตเตอร์ขณะที่กล้องจะเลือกค่ารูรับแสงที่เหมาะสมให้เอง
จริงๆแล้วถ้าคุณต้องการความยืดหยุ่นเพียงเล็กน้อย คุณควรใช้โหมด manual ซึ่งทั้งความเร็วชัตเตอร์และค่ารูรับแสงจะถูกควบคุมด้วยตัวคุณเอง ซึ่งมันช่วยให้คุณควบคุมความเร็วชัตเตอร์ที่นานขณะที่ควบคุมความชัดลึกชัดตื้นด้วย
ถึงตรงจุดนี้คุณควรจะถามตัวคุณเองว่าทำไมคุณต้องการถ่ายภาพแบบเปิดค่ารับแสงนาน มันจะไม่เป็นการถ่ายภาพที่เสี่ยงต่อการที่ภาพจะขาดรายละเอียดใช่ไหม? เพราะว่ามันมีเครื่องมือและเทคนิคที่เกี่ยวข้องในกระบวนการสร้างภาพ เช่น การใช้ฟิลเตอร์ ND หรือใช้วิธีการชดเชยแสงเพื่อให้ได้ค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ที่ถูกต้องร่วมกันเพื่อให้แสงผ่านได้อย่างพอเหมาะในช่วงเวลาที่ยาวกว่าปกติโดยปราศจากความเสี่ยงที่ภาพจะขาวโพล่นขาดรายละเอียดทั้งหมด
ดังนั้นทำไมคุณควรเรียนรู้การถ่ายภาพโดยเปิดค่ารับแสงนานมันทำอย่างไร?

1. คุณสามารถบันทึกภาพในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า

บางสิ่งที่อยู่ในลักษณะนี้หมายถึงการเคลื่อนที่ที่ถูกบันทึกถึงการคลายออกที่อยู่หน้ากล้อง ตัวอย่างเช่น การเคลื่อนที่ของก้อนเมฆที่วิ่งผ่านท้องฟ้าในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์เพื่อสร้างความสวยงามของการเบลอในช่วงเวลาที่ผ่านไปเพียงเล็กน้อย เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณถ่ายภาพสะพานที่ยื่นออกไปที่ทะเลโดยมีคลื่นซัดไปซัดมาโดยการบันทึกภาพในช่วงเวลาที่ยาวกว่า ผมสุดท้ายที่ได้มันจะให้ภาพที่ดูเหมือนหมอกที่สวยงาม

2. คุณสามารถทำให้น้ำตกกลายเป็นเหมือนปุยไหมที่อ่อนนุ่ม

ถ้าคุณรักการถ่ายภาพแนวธรรมชาติ มันจะมีตัวแบบที่แตกต่างกันหลายล้านชนิดซึ่งคุณสามารถถ่ายภาพโดยใช้เทคนิคการเปิดค่ารับแสงนานได้ น้ำตกก็ถูกถ่ายในรูปแบบนี้อยู่บ่อยครั้งโดยใช้ค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าซึ่งมันให้ผลน้ำตกที่เป็นเส้นน้ำไหลลงมาแบบอ่อนนุ่ม และเน้นให้ภาพรวมทั้งหมดดูเหมือนภาพฝัน “น้ำตกเส้นไหมที่อ่อนนุ่ม”

3. คุณสามารถเก็บภาพของเส้นทางของแสง

เทคนิคการเปิดค่ารับแสงนานยังคงเหมาะกับการถ่ายภาพกลางคืนอีกด้วย คุณสามารถถ่าย star trails, light trails, light painting หรือแม้แต่ พลุ ตัวแบบที่กล่าวมาทั้งหมดต้องการความเร็วชัตเตอร์ที่เปิดนานซึ่งยอมให้ตัวเซนเซอร์เก็บแสงที่เคลื่อนไหว ในหัวข้อนี้ ถ้าทำอย่างถูกต้อง คุณสามารถเก็บภาพรูปแบบของแสงที่สวยงามในภาพอย่างง่ายๆ

4. คุณสามารถกำจัดผู้คนบนท้องถนนที่น่ารำคาญให้หายไปได้

มุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ที่ทำได้ถ้าคุณเตรียมตัวที่จะใช้เทคนิคการเปิดค่ารับแสงนาน มันไม่ยาก เพียงแต่คุณต้องการฟิลเตอร์ ND สิ่งแรกที่ผมมีอยู่ในใจคือภาพถ่ายแนวสตรีท ถ้าพูดกันตรงๆคุณสามารถถ่ายภาพถนนที่มีความวุ่นวายในตอนกลางวันได้ คุณต้องการถ่ายภาพเมื่อไม่มีผู้คนอยู่รอบๆ ในช่วงกลางวันในถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนเนี้ยนะมันดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าคุณรู้วิธีการใช้ฟิลเตอร์ ND คุณจะสามารถทำได้
ฟิลเตอร์ ND 10 stop เหมือนกับ Lee big-stopper คือสิ่งที่คุณต้องการ เริ่มแรกคุณสามารถวัดค่าแสงสำหรับภาพที่จะถ่าย จากนั้นก็ใส่ฟิลเตอร์นี้เข้าไปด้านหน้าเลนส์ 10 stop ฟิลเตอร์จะยอมให้คุณใช้ค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าลงได้ถึง 10 stop จากสิ่งที่คุณวัดค่าได้ก่อนหน้านี้โดยที่ไม่มีฟิลเตอร์ ซึ่งมันง่ายมากที่จะทำให้ผู้คนที่อยู่ในภาพหายไป ถ้าคุณทำมันอย่างถูกวิธี คุณจะได้ภาพในเมืองที่ไม่มีผู้คนอยู่เลย เหมือนกับฉาก postapocalyptic มันเป็นภาพที่น่าทึ่งมาก

5. คุณสามารถสร้างภาพศิลปะขาวดำได้โดยง่าย

อีกเหตุผลหนึ่งที่คุณควรถ่ายภาพโดยเปิดค่ารับแสงนานคือการเพิ่ม องค์ประกอบภาพขาวดำ ภาพขาวดำในบางทีมีพลังมากกว่าภาพสี
มันคือความเปรียบต่างระหว่างเฉดสีเทาเรียงจากสีขาวบริสุทธิ์ไปถึงสีดำเข้ม รูปทรง และรูปแบบ ทุกๆสิ่งมองดูแล้วน่าสนใจมาก ข้อเสียที่ใหญ่สุดของภาพขาวดำคือ พวกมันขาดสี อย่างไรก็ตามมันก็คือข้อดีที่เยี่ยมสุด เพราะการปราศจากสี ทำให้มุมมองขององค์ประกอบภาพเป็นสิ่งสำคัญและทำให้เรื่องราวที่อยู่ด้อยกว่าปรากฎเด่นขึ้นมา...
คุณยังมีเหตุผลที่น่าสนใจในการถ่ายภาพแบบเปิดค่ารับแสงนานหรือไม่ ถ้ามีโปรดแบ่งปันในช่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างได้เลยครับ

20
จัดไปเลยครับ...พี่กิ๊ก....ตามสบายครับ...ผมแค่เป็นคนกลางเท่านั้นเองครับ รับมา แปลไป ส่งต่อ.....ครับ 5555

21
เข้าใจความแตกต่างระหว่าง Photoshop และ Lightroom

โพสโดย Simon Ringsmuth แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/understanding-difference-photoshop-lightroom/

หนึ่งในคำถามที่ส่วนใหญ่ผมได้ยินจากผู้คนที่เริ่มถ่ายภาพคือ “โปรแกรมอะไรที่ผมควรใช้ในการปรับแต่งภาพ?” มีทางเลือกที่ไม่ต้องเสียตังค์มากมายเช่น iPhoto, Picasa, GIMP และโปรแกรมที่ต้องเสียตังค์ เช่น AfterShot และ Pixelmator แต่โปรแกรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Photoshop และ Lightroom
ยังมีคำถามตามมาอีกซึ่งดูเหมือนเป็นเหตุผลกัน “อะไรคือความแตกต่างระหว่างโปรแกรม Photoshop และ Lightroom?” ขณะที่ทั้งสองโปรแกรมก็ทำหน้าที่คล้ายกันหลายอย่าง และทั้งสองก็ถูกใช้โดยกลุ่มคนที่ถ่ายภาพ พวกเขาแต่ละคนก็ในใช้ในแต่ละวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันและมีแนวทางที่แตกต่างในการใช้งาน การเข้าใจว่าอะไรที่พวกมันเหมือนกันดีเท่ากับอะไรที่แตกต่าง สามารถช่วยคุณให้เลือกซอฟท์แวร์ที่เหมาะสมสำหรับความต้องการของคุณได้
(ดูภาพประกอบคำบรรยาย....”ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่าง Photoshop และ Lightroom คุณไม่ใช่คนเดียวที่ไม่แน่ใจอย่างแน่นอน”

ความเหมือนกัน

ตัวแกนหลักของทั้งสองโปรแกรมทำในสิ่งที่สำคัญเหมือนกันคือ การแก้ไขภาพ พวกมันทำหน้าที่ในงานต่างๆ อย่างไรดีเท่ากับคุณใช้แต่ละโปรแกรมอย่างไรด้วยมันมีความแตกต่าง แต่ถ้าคุณมองหาซอฟท์แวร์ง่ายๆที่ยอมให้คุณเปลี่ยนแปลง ดึง บิดและเพิ่มในภาพถ่ายของคุณ แต่ละโปรแกรมจะมีความเพียงพอในการทำสิ่งเหล่านั้น ทั้งสองโปรแกรมมีความสามารถในการจัดการไฟล์หลายประเภท เช่น JPEG, PNG, TIFF และไฟล์ที่เป็นที่นิยมมายาวนานของช่างภาพหลายๆ คน นั้นก็คือไฟล์ RAW ในความเป็นจริงทั้งสองโปรแกรมใช้ตัว Adobe Camera Raw (ACR) ในการปรับแต่งภาพไฟล์ RAW เป็นตัวหลัก ดังนั้นคุณสามารถทราบถึงความเหมือนกันในการควบคุมและปรับแต่งต่างๆในสองโปรแกรมเมื่อต้องการทำบางอย่างในการปรับแต่ง การทำงานกับ curve และการแก้ไขสำหรับเลนส์ที่บิดเบี้ยว
ทั้ง Photoshop และ Lightroom เป็นส่วนสริมที่มีพลังสำหรับช่างภาพดิจิตอล แต่การเข้าใจว่าแต่ละโปรแกรมมีความพิเศษเฉพาะตัวอย่างไรสามารถช่วยให้คุณเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมตามที่คุณต้องการได้
ทั้งสองโปรแกรมมีชุดการแก้ไขและเครื่องมือการปรับที่เหมาะสมที่ทำให้คุณทำได้ทุกสิ่งจากการปรับแต่งขั้นพื้นฐานเหมือนกับการตัดขอบภาพและการปรับค่ารับแสง ทางเลือกขั้นสูงเช่นการทำงานกับ brush, Tone curve และฟิลเตอร์ คุณจะพบกับตัวเสริมมากมายที่ให้มาแล้วในทั้งสองโปรแกรมซึ่งทำให้คุณดัดแปลงการแก้ไขเช่นการทำภาพ ขาวดำ, sepia และรูปแบบแนวศิลปะอื่นๆ ทั้งสองโปรแกรมเป็นโปรแกรมปรับแต่งภาพที่ทรงพลัง ผมรู้จักช่างภาพบางคนที่ใช้ Lightroom เพียงอย่างเดียวและไม่เคยแตะ Photoshop เลย และยังมีอีกหลายคนที่ใช้เวลาทั้งวันกับ Photoshop และไม่เคยเปิด Lightroom เลย อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะเข้าใจว่าอันไหนดีกว่าสำหรับคุณ มันจะช่วยให้คุณเห็นว่าพวกมันมีความแตกต่างจากกันอย่างไร

ความแตกต่าง  #1: การจัดการไฟล์

สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในตัว Lightroom ที่แตกต่างจาก Photoshop คือมันไม่ใช่ตัวปรับแต่งภาพที่แท้จริง แต่มันจะเคลื่อนย้ายไฟล์ภาพของคุณไปในที่จัดเก็บในที่ต่างๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ  มันจะจัดเก็บสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไว้ในส่วนที่เป็นไฟล์แยกจากกันที่เรียกว่า Catalog ซึ่งมันจะจัดเรียงเหมือนหนังสือตำราที่มีคำสั่งสำหรับแต่ละภาพที่ได้รับการปรับแต่งไปแล้ว เมื่อคุณมีการใช้การปรับแต่งบางชนิด เช่นการใช้ radial filter หรือปรับตัว brush ตัว Lightroom จะเก็บค่า log ของการเปลี่ยนแปลงลงใน database ขณะที่ออกจากตัวภาพต้นฉบับที่ไม่มีการปรับแต่ง มันเป็นเทคนิคที่ถูกเรียกว่า การปรับแต่งที่ไม่ทำลายต้นฉบับ ซึ่งมันตรงข้ามกับวิธีการใน Photoshop อย่างสิ้นเชิง
ยกตัวอย่างเช่น หลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้ส่งภาพคุณพ่อผม (ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ที่ผมได้ถ่ายไปซึ่งผมได้ทำการปรับแต่งในโปรแกรม Lightroom ขณะที่ไฟล์ต้นฉบับของผมไม่เปลี่ยนแปลง ผมสามารถกลับไปและแก้ไขภาพนี้ได้อีกตามที่ผมต้องการ การปรับแต่งในโปรแกรม Lightroom คือกลุ่มของคำสั่งสำหรับการปรับเปลี่ยนไฟล์ คล้ายกับตำราซึ่งมีชุดคำสั่งในการทำอาหารเหมือนพวกเค้กหรือหม้อปรุงอาหาร หลังจากที่คุณทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเสร็จสิ้นแล้วในโปรแกรม Lightroom ภาพจะถูกส่งออกซึ่งมันสามารถนำไปพิมพ์ แชร์ หรือไปโพสออนไลน์ เพราะว่าภาพต้นฉบับที่ไม่มีความเสียหายใดๆยังคงอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ และไม่มีการแตะต้อง คุณสามารถย้อนกลับไปที่โปรแกรม Lightroom ในจุดที่อยู่ในอนาคตและทำการปรับแต่งอีกครั้งตามที่คุณต้องการ
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้คือตัว catalog มันจะเล็กมากมันมีขนาดเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมกกะไบต์บนตัว hard disk ของคุณ แม้ว่าคุณจะมีรูปภาพหลายพันภาพในโปรแกรม Lightroom ก็ตาม
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....แผนผังขั้นต้นการทำงานของโปรแกรม Lightroom คำสั่งในการปรับแก้ไขถูกจัดเก็บในไฟล์ catalog และไม่มีการเปลี่ยนสิ่งใดๆในภาพต้นฉบับของคุณ)
โปรแกรม Photoshop จะทำงานที่แตกต่างกัน เมื่อคุณมีการปรับแต่งไฟล์ภาพ เช่น JPG, PNG, หรือ ไฟล์ RAWในโปรแกรม Photoshop คุณจะทำงานบนตัวไฟล์ต้นฉบับ ถ้าปราศจากคุณทำการ save เป็นตัว copy ใน Photoshop PSD ไฟล์ ซึ่งมีขนาดไฟล์หลายพันเมกะไบต์ ไฟล์ PSD จะเก็บสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ถูกทำในภาพ และเมื่อต้องการนำภาพนี้ไปแชร์มันจะต้องถูก save ให้เป็นรูปแบบสุดท้ายก่อนคือ JPG, PNG, หรืออื่นๆ ถ้าคุณต้องไม่ให้มีการทำลายภาพต้นฉบับในโปรแกรม Photoshop คุณจะต้องมีสามไฟล์ที่แยกจากกัน หนึ่ง ภาพต้นฉบับที่เป็นไฟล์ RAW  สอง ตัวไฟล์ PSD และสุดท้ายคือ copy ที่เป็นรูปแบบแชร์จาก PSD การทำงานจะเหมือนกับภาพนี้ (ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....แผนผังขั้นต้นของการทำงานโปรแกรม Photoshop ถ้าคุณต้องการแก้ไขภาพในครั้งต่อไปมันต้อง save ไฟล์แยกเป็นอีกหนึ่ง PSD ไฟล์
(ดูภาพประกอบสคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....เพียงไฟล์ catalog หนึ่งไฟล์ใน Lightroom จะเก็บค่าคำสั่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับภาพหลายพันภาพ........ไฟล์ PSD เพียงภาพเดียวจะเก็บค่าคำสั่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับเพียงภาพเดียวเท่านั้น)
การทำงานของทั้งสองโปรแกรมดูเหมือนจะคล้ายกันกับสิ่งที่เห้น แต่มีสิ่งที่แตกต่างตัวหลักสิ่งหนึ่ง ในโปรแกรม Lightroom การเปลี่ยนแปลงแก้ไขทั้งหมดของคุณสำหรับทุกๆภาพถ่ายจะถูกเก็บไว้ในไฟล์ catalog ไฟล์เดียว และมีขนาดเล็ก ในโปรแกรม Photoshop การเปลี่ยนแปลงแก้ไขทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในแต่ละภาพเท่านั้น  สิ่งนี้หมายถึงว่ามันใช้พื้นที่มากใน hard disk ของคุณที่จะจัดเก็บการทำงานหลายๆ ภาพในโปรแกรม Photoshop และจบด้วยการที่คุณมีไฟล์ภาพหลาย version อีกด้วย  ดังนั้นทำไมคุณถึงเลือกใช้โปรแกรม Photoshop แทนที่จะใช้ Lightroom?”

ความแตกต่าง #2: เครื่องมือการแก้ไขปรับแต่ง

โปรแกรม Lightroom เปรียบเหมือนรถสารพัดประโยชน์ที่คุณอาจเห็นอยู่ในฟาร์ม มันเร็ว ว่องไว และสามารถใช้ได้หลากหลายหน้าที่เหมือนตัวลากวัตถุเล็กๆ และยกรถพ่วง แต่มันไม่สามารถเทียบได้กับรถบรรทุกใหญ่ในฟาร์มที่ต้องทำงานใหญ่ๆ และงานหนักเช่นการขนถ่ายพวกกองฟางหญ้าแห้งใหญ่ๆ การลากรถบรรทุกม้า หรือการพรวนดินผ่านโคลนและหิมะ
เกือบหลายสิบปีที่ผ่านมา บริษัท Adobe ได้ตระหนักว่าไม่ใช่ทุกๆคนต้องการความสามารถของโปรแกรม Photoshop โดยเฉพาะช่างภาพผู้ซึ่งกลับมาจากงานถ่ายภาพต่างๆ กับภาพหลายพันภาพที่ต้องแก้ไขอย่างรวดเร็ว นี้คือยุคใหม่ของช่างภาพดิจิตอลที่มีความต้องการในเครื่องมือปรับแต่งภาพของโปรแกรม Photoshop ที่จำเป็นที่สุด ในการใช้งานง่ายในชุดเดียว ซึ่งก็ได้ผลลัพท์มาอยู่ในโปรแกรม Lightroom
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ.....โปรแกรม Photoshop ใช้ layer ซึ่งสามารถทำให้ผู้เริ่มต้นรู้สึกกลัว แต่มันได้ถูกนำเสนอความสามารถหลายชนิดอย่างไม่น่าเชื่อกับโปรแกรม Lightroom อย่างง่ายๆ ซึ่งไม่สามารถเทียบกันได้)
โปรแกรม Photoshop จัดเก็บชั้นของตัวฟิลเตอร์ ตัว brush และเครื่องมืออื่นๆอย่างไม่ฉลาดนัก ซึ่งยอมให้คุณทำการสร้าง layer ที่แตกต่างในการแก้ไขของคุณ ตัวอย่างเช่น ภาพที่อยู่ทางด้านขวาจะแสดงให้เห็น layers มากมายที่ผมใช้ในการปรับแต่งภาพของรูปปั้น และแต่ละ layer สามารถแก้ไขที่แยกออกจากกัน มันดูเหมือนว่ามีมากมาย แต่มันไม่ธรรมดาสำหรับศิลปินดิจิตอลที่ต้องใช้ layer จำนวนมากเมื่อทำการแก้ไขภาพหนึ่งภาพ โปรแกรม Lightroom  ซึ่งแตกต่าง จะทำงานในรูปแบบตรงไปตรงมาไม่มี layer กับเครื่องมือปรับแต่งบางตัวและมีความซับซ้อนน้อยกว่า ทั้งสองโปรแกรมเก็บบันทึกประวัติการทำงานและยอมให้คุณย้อนกลับไปในสิ่งที่คุณได้แก้ไขมา แต่การทำงานกับ layer จะให้การควบคุมทั้งหมดที่แน่นอนกับสิ่งที่คุณได้แก้ไขภาพไปแล้ว
ในบางกรณี ลองดูว่าคุณต้องการเพิ่ม vignette ในภาพถ่ายบุคคล...ในโปรแกรม Lightroom มันง่ายโดยไม่แตะต้องในส่วนที่ควรจะต้องแก้ไข และตัว vignette จะเกลี่ยจากจุดศูนย์กลางออกไป มันเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่รวดเร็วไม่ต้องกังวลซึ่งมันมีประโยชน์สำหรับการเรียงลำดับภาพ และถ้าคุณต้องการควบคุมคุณสามารถคลิ๊กไปที่ Radial Filter เพื่อตัวเลือกที่มากขึ้น

(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ.....”ภาพหลังการแก้ไข”)
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ.....”ภาพก่อนการแก้ไข”)

การทำสิ่งเดียวกันในโปรแกรม Photoshop จะต้องมีการเพิ่ม layer พิเศษที่รูปของคุณซึ่งเรียกว่า Adjustment layer เช่น Level ซึ่งคุณสามารถปรับแต่ง level ความมืดของภาพในส่วนของ Highlight และในภาพรวม และทำการ mask ที่ layer ในส่วนมืดที่อยู่นอกกรอบ คุณสามารถปรับเปลี่ยนตัว opacity ของ layer (ผลกระทบของความสว่าง) หรือ Blend mode หรือคุณสามารถใช้ Dodge and Burn layer และนั้นเป็นเพียงแค่เริ่มต้น  ขณะที่การเพิ่มขั้นตอนที่ซับซ้อนมากอาจจะดูเหมือนหมดหวัง ยิ่งคุณเรียนรู้มากเท่าไรในการใช้เครื่อง Photoshop ยิ่งทำให้การควบคุมดีขึ้นในการที่ควบคุมการแก้ไขปรับแต่งในภาพรวมทั้งหมด
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ..... ในโปรแกรม Lightroom การเพิ่ม vignette มันง่ายเพียงแค่คลิ๊กที่ปุ่ม ในโปรแกรม Photoshop มันจะซับซ้อนกว่านี้แต่คุณจะควบคุมได้มากกว่าอีกด้วย)
กับทางเลือกและลูกเล่นทั้งหมด (รวมถึงการสนับสนุนสำหรับ text, กราฟฟิกสามมิติ และงานวีดีโอ)  โปรแกรม Photoshop จะเป็นตัวโปรแกรมในการแก้ไขภาพได้ทุกสถานการณ์ โปรแกรม Lightroom จะเป็นตัวกลั่นกรองเครื่องมือของโปรแกรม Photoshop ที่ถูกใช้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีเหตุผลเดียวมันคือมันได้รับการร้องขอจากหลายๆ คน

ความแตกต่าง #3: กระบวนการทำงาน

โครงหลักและตัวเลือกไฟล์ ไพ่ที่เหนือกว่าของโปรแกรม Lightroom ขึ้นมันเป็นพี่ใหญ่ในกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบสำหรับช่างภาพ ตั้งแต่มันถูกออกแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อระดับมืออาชีพและผู้สนใจการถ่ายภาพ มันจะดูแลทุกสิ่งจากการนำภาพในการ์ดความจำเข้าไป จัดระเบียบ การแก้ไข การแชร์ และสุดท้ายคือการพิมพ์ภาพ Lightroom ยังสนับสนุนพวก คำหลักและโฟลเดอร์เสมือนที่ช่วยคุณเก็บภาพถ่ายของคุณและคุณยังสามารถใช้มันในการสร้าง slideshow หรือทำหนังสือรูปภาพได้ด้วย ช่างภาพหลายๆ คน โดยเฉพาะระดับมืออาชีพ จะอยู่กับมันเป็นอาทิตย์ หรือเดือนโดยปราศจากการเปิดโปรแกรม Photoshop เพราะว่าโปรแกรม Lightroom จะดูแลทุกๆสิ่งที่พวกเขาต้องการ
(ดูภาพตัวอย่างประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ตัว Lightroom Library จะทำให้คุณจัดเรียง จัดผังและบริหารรูปภาพทั้งหมดของคุณได้)
ในอีกด้านหนึ่งคือ โปรแกรม Photoshop ซึ่งไม่มีการโอนไฟล์ จะไม่ทำการจัดการภาพ และแน่นอนไม่สามารถทำ slideshow หรือ หนังสือภาพถ่ายได้ แต่อีกครั้งหนึ่ง มันคงต้องแลกกับสิ่งที่คุณจะต้องยอมรับมัน ไม่มีสิ่งไหนที่สามารถทำได้ใกล้เคียงกับโปรแกรม Photoshop ในแง่ของการแก้ไขภาพที่ทรงพลัง อย่างไรก็ตามคุณสามารถใช้ตัว Adobe Bridge ในการรับมือกับกระบวนการทำงานเหมือนกับการนำไฟล์ภาพเข้ามาและจัดระเบียบในรูปแบบสื่อดิจิตอลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ ซึ่งเมื่อมันคู่กับตัว Photoshop มันจะครอบคลุมกระบวนการทำงานมากกว่าตัวโปรแกรม Lightroom มันไม่ได้มีลักษณะกระทัดรัดเพรียวลมเหมือนการทำงานในโปรแกรม Lightroom แต่มันก็ได้นำเสนอวิธีการทำงานที่ออโต้ขณะที่มันไม่ยอมรับการทำงานในรูปแบบไฟล์ของ PSDs, JPEGs และรูปแบบไฟล์ภาพอื่นๆ ด้วยมือ
บางครั้ง สิ่งที่เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือใช้ทั้งสองโปรแกรม ผมใช้ Lightroom ในการนำไฟล์ภาพเหล่านี้จากกล้องของผมเข้ามาในโปรแกรมแล้วก็ทำการแก้ไขในเบื้องต้นและใช้โปรแกรม Photoshop เพื่อเพิ่มบางสิ่งที่น่าสนใจเข้าไป

แล้วโปรแกรมไหนที่เหมาะกับคุณละ?

เวลานี้คุณจะตระหนักว่ามันเป็นเพียงคำถามที่คุณสามารถตอบได้ และมันยังมีความหมายถึงการใช้เงิน150 เหรียญสหรัฐกับโปรแกรม Lightroom หรือหลายครั้งกับจำนวนค่าใช้จ่ายในโปรแกรม Photoshop  อยากจะขอบคุณ Adobe ที่ทำให้การตัดสินใจง่ายมากขึ้นกับการที่ได้ปล่อยตัว Creative Cloud และคุณสามารถได้โปรแกรมทั้งสองตัวในราคา 10 เหรียญสหรัฐ ต่อเดือน ถ้าคุณไม่ชอบวิธีการสมัครใช้งานตัวซอฟท์แวร์ คุณยังคงสามารถซื้อตัวโปรแกรม Lightroom แยกต่างหากได้ และ Adobe เองก็ยังคงขายในแบบ standalone version อีกด้วยและสำหรับ version ต่างๆ ในอนาคตด้วย บทความนี้มันจะยาวมากๆ และดูเหมือนผมได้ขูดแค่ผิวด้านหน้า แต่ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจได้ดีกว่าว่าอะไรที่โปรแกรมพวกนี้มีความเหมือนกันและต่างกัน  แล้วคุณละ? อะไรคือความแตกต่างที่คุณคิดระหว่างสองโปรแกรมนี้ และ อะไรคือวัตถุประสงค์ในแต่ละสิ่งที่สนองความต้องการของคุณ? ทิ้งข้อความของคุณไว้ในช่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างนะครับ

22
คำแนะนำการถ่ายภาพวิวทะเลสำหรับผู้เริ่มต้น

โพสโดย Barry J Brady แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/beginners-guide-seascape-photography/

(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...ภาพวิวทะเลค่อนข้างเป็นภาพเชิงนามธรรม การเคลื่อนไหวของน้ำทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวา)

ภาพวิวทะเลดูเหมือนจะเป็นส่วนย่อยของภาพวิวทิวทัศน์ มันคือความจริง แต่ผมรู้สึกว่าภาพวิวทะเลมีเทคนิคที่เฉพาะเจาะจงสำหรับพวกมันเองซึ่งต้องการความคิดเมื่อคุณกำลังถ่ายมัน ตัวอย่างของภาพทะเลสามารถเป็นภาพชายหาดที่ดูอบอุ่น ฟ้าสีฟ้าและมีต้นมะพร้าว นั้นคือภาพทั่วๆไปที่ผมพยายามและหลีกเลี่ยง สำหรับบางสิ่งที่มันดูน่าตื่นเต้นเร้าใจมากกว่า คุณต้องพยายามถ่ายตอนดวงอาทิตย์ตกและพยายามจับบางสิ่งที่มีเอกลักษณ์มากกว่าภาพทั่วไปในโพสการ์ด เมื่อคุณทำได้ถูกต้อง ภาพวิวทะเลของคุณควรจะเป็นภาพที่ต้องสูดลมหายใจลึกๆ และน่าตื่นเต้นเมื่อมองดูมัน มันควรจะแสดงความเป็นตัวตนของมัน แต่ไม่เหมือนกับการถ่ายภาพที่หลายคนสามารถถ่ายมันได้ หมายความว่า คุณต้องค้นหาสำหรับบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ หรือจุดมุมมองที่ไม่ธรรมดาตามแนวชายฝั่ง
ปลอดภัยไว้ก่อน....นะครับ
การถ่ายภาพวิวทะเลมันมีอันตราย บ่อยๆที่คุณจะต้องปีนบนความลื่นและบนหินที่มีความคม กระแสน้ำอาจจะขึ้นและคลื่นก็เข้ามาใกล้มากขึ้นๆเรื่อยๆ ต้องระวังสิ่งที่อยู่รอบๆและเฝ้าดูด้วยความระมัดระวังว่ามีอะไรเกิดขึ้นรอบๆตัวคุณบ้าง โอกาสครั้งหนึ่งของผม ผมถูกดักอยู่บนก้อนหินโผล่ขึ้นมากับทะเลที่ล้อมรอบตัวผม การที่จะกลับขึ้นฝั่งคือการบรรเทาและประสบการณ์ที่แสนสาหัสในโอกาสนั้น ผมเคยที่เปียกโชกโดยคลื่นและเกือบสูญเสียกล้องของผมลงในทะเลมากกว่าหนึ่งครั้ง ใช่ละ..ภาพวิวทะเลมันเป็นสิ่งอันตรายไม่มาก แต่ผลที่ได้จะมีค่ามาก ดังนั้นกฎข้อแรก ปลอดภัยไว้ก่อน ถ้าเป็นไปได้ให้ออกไปกับผู้ติดตามเพื่อว่าทั้งสองคนจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันในกรณีจำเป็น ดังนั้น อย่าออกจากการปฎิเสธความรับผิดชอบ นี้คือคำแนะนำในการตั้งค่าอย่างไรเพื่อให้ภาพวิวทะเลที่ดีเยี่ยม
ข้อพิจารณาถึงสถานที่:

1. กระแสน้ำขึ้นน้ำลง

ถ้าคุณยังไม่รู้การเคลื่อนไหวของน้ำขึ้นน้ำลง หรือช่วงเวลาของน้ำขึ้นน้ำลง มันเป็นความคิดที่ดีในการค้นหามัน แต่ละเมืองชายฝั่งจะมีตารางเวลาน้ำขึ้นน้ำลงหรือแผนผังติดไว้ นี้คือข้อมูลที่สำคัญที่จะต้องรู้ก่อนที่เราจะออกไปถ่ายภาพ คุณสามารถหาได้ง่ายๆ ในGoogle “tide table for (city or town)” (ตารางน้ำขึ้นน้ำลงสำหรับ (เมือง หรือเมืองเล็กๆ) และเวลาทั้งหมดของน้ำขึ้นน้ำลงและสัดส่วนควรจะมีอยู่ในข้อมูลนั้น นี้คือสิ่งสำคัญเพราะคุณอาจจะค้นหาสถานที่ที่มีน้ำขึ้นน้ำลงน้อย เพียงเพื่อกลับไปตอนน้ำขึ้นน้ำลงสูงขึ้นและพบว่าก้อนหินที่คุณวางแผนไว้จะถ่ายภาพมันกำลังจมอยู่ใต้น้ำ น้ำขึ้นน้ำลงมีผลกับการเคลื่อนไหวของกระแสน้ำและขนาดของคลื่นอีกด้วย ถ้าน้ำขึ้นน้ำลงสูงขึ้น ที่นั้นจะไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวของน้ำมากตามที่คุณต้องการ มันเป็นความคิดที่ดีมากถ้าได้มีโอกาสคุยกับช่างภาพท้องถิ่น หรือชาวประมงเพื่อที่จะรู้ข้อมูลของการเคลื่อนที่ของน้ำขึ้นน้ำลงอย่างไร
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...น้ำขึ้นน้ำลงที่กำลังมาทำให้ผมติดกับอยู่บนก้อนหินที่โผล่ขึ้นมา)

2. สภาพอากาศ

พื้นที่ชายฝั่งส่วนใหญ่ไม่สามารถคาดการณ์กับสภาพอากาศได้ พายุสามารถก่อนตัวได้อย่างรวดเร็วเหนือเมืองชายฝั่ง ให้แน่ใจว่าได้ตรวจสอบสภาพอากาศจากการพยากรณ์สำหรับสามหรือสี่ชั่วโมงก่อนที่คุณวางแผนออกไปถ่ายภาพและหนึ่งหรือสองชั่วโมงหลังจากการถ่ายภาพเสร็จแล้ว บางครั้งสภาพอากาศก็มีลมแรงสามารถเป็นเหตุให้สภาพแวดล้อมกลายเป็นสิ่งที่ยากในการถ่ายภาพ หนึ่งในโปรแกรมที่ผมชอบบนเครื่อง iPhone ก็คือ Accuweather ผมใช้มันบ่อยๆเมื่อผมอยู่ในสถานที่ที่ผมไม่คุ้นเคย มันใช้งานง่ายและได้ผล 90% เมื่อไรก็ตามที่คุณใช้มัน

3. สถานที่

คุณต้องตัดสินใจว่าที่ไหนที่คุณต้องการถ่ายภาพ คุณต้องการถ่ายภาพจากชายหาด บนก้อนหิน หรือหน้าผา? นี้คือสิ่งที่ต้องคำนึงว่าอะไรเป็นอุปกรณ์ประจำตัวที่คุณจะต้องนำไปด้วยกับคุณ (รองเท้าปีนเขา กางเกงขายาว หรืออื่นๆ) มันเป็นความคิดที่ดีที่คุณจะเอาเสื้อกันหนาวหรือเสื้อกันฝนพิเศษถ้ามันเปียกหรือเย็นลงอย่างรวดเร็ว ให้แน่ใจว่าคุณเห็นที่ซึ่งดวงอาทิตย์กำลังขึ้น ไม่มีอะไรทำให้ผิดหวังมากไปกว่าเงาของยอดแหลมกว่า 80% อยู่ในภาพที่มีเงาของดวงอาทิตย์ด้านล่าง จำไว้ว่าให้ดูช่องที่ซึ่งน้ำทะเลอาจจะวิ่งขึ้นมา ช่องเหล่านี้และรองน้ำตามหินชายฝั่งทำให้เกิดอันตรายได้ขณะที่น้ำลดลงเมื่อน้ำขึ้นน้ำลงหมดไป แต่ขณะที่น้ำขึ้นน้ำลงขึ้นมาพวกมันเป็นไปไม่ได้ที่จะข้ามมา ถ้าคุณข้ามร่องน้ำในช่วงน้ำขึ้นน้ำลงลดลงและพยายามกลับไปตอนน้ำขึ้นน้ำลงกำลังขึ้น คุณอาจจะถูกดักไว้ขณะที่น้ำจะลึกเกินกว่าที่ข้ามได้
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...แสงที่งดงามและการเคลื่อนไหวของน้ำทำให้ภาพดูยิ่งใหญ่)

4. แสง

มันง่ายที่จะลืมเรื่องไฟติดหัวหรือไฟฉายเมื่อคุณกำลังเดินตามชายหาดในช่วงแสงอาทิตย์ที่อบอุ่น คุณอาจจะอยู่ในสถานที่นั้นจนกระทั่งมืดและเมื่อคุณตัดสินใจที่จะกลับไป คุณจะรู้ว่ามันมืดมากและเส้นทางที่ไปมันเปลี่ยนเพราะกระแสน้ำขึ้นน้ำลงได้ขึ้นมา อย่าลืมที่จะนำไฟติดหัวหรือไฟฉายไปกับคุณเมื่อไรก็ตามที่ออกไปถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในทุกๆรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายภาพวิวทะเล ผมได้หลงทางในกลุ่มก้อนหินบนชายฝั่งในบางครั้งและมันน่ากลัวเล็กน้อย โชคดีที่ผมจะพกไฟติดหัวไว้ในกระเป๋ากล้องตลอด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดังนั้นมันช่วยผมให้ค้นพบทางกลับไปยังถนนหรือรถของผม

ข้อพิจารณาในการถ่ายภาพ

1. ความเร็วชัตเตอร์

ขึ้นอยู่กับภาพวิวทะเลที่คุณกำลังจะถ่าย คุณจะมีเพียงสองทางเลือก คุณสามารถหยุดนิ่งการเคลื่อนไหวของคลื่นหรือคุณสามารถให้การเคลื่อนไหวของน้ำดูเบลอ ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพวิวทะเลที่มีก้อนหินเป็นฉากหน้ารวมอยู่ด้วยและมีน้ำวิ่งล้อมรอบก้อนหิน ดังนั้นคุณต้องการให้น้ำเบลอ นี้คือสิ่งที่จะทำให้น้ำดูนุ่มนวลและภาพจะดูเหมือนฝัน เพื่อทำให้สิ่งต่างๆช้าลงคุณสามารถใช้ตัวฟิลเตอร์ neutral density เพื่อให้กับเวลาการเปิดค่ารับแสงนานขึ้น นี้คือสิ่งที่มีผลทำให้น้ำดูนุ่มนวลราวกับเป็นไอหมอก ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ที่คุณต้องการถ่าย คุณต้องตัดสินใจว่าจะให้น้ำมีความนุ่มอย่างไร การหยุดนิ่งการเคลื่อนไหวของน้ำ คุณจะต้องถ่ายที่ความเร็ว 1/1000 วินาที หรือเร็วกว่า ผมพบว่าการหยุดนิ่งของน้ำที่เคลื่อนไหวไม่มีชีวิตชีวาเท่ากับความอ่อนนุ่ม  มันจะมีประโยชน์มากถ้าการหยุดนิ่งการเคลื่อนไหวถ้าคุณกำลังถ่ายภาพการเสิฟ หรือกีฬาทางน้ำอื่นๆ

2. รูรับแสง

เหมือนกับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์อื่นๆ คุณต้องการให้ทุกๆสิ่งจากฉากหน้าถึงฉากหลังอยู่ในโฟกัส หมายถึงว่าคุณต้องใช้ค่ารูรับแสงที่ f/8 หรือเล็กกว่า (ตัวเลขมากขึ้น) สิ่งนี้จะยอมให้คุณมีความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าลง และทำให้น้ำนุ่มนวลในภาพของคุณ ให้แน่ใจว่า คุณได้โฟกัสจากกล้องไว้แล้วและจัดองค์ประกอบภาพ ดังนั้นให้คุณเปลี่ยนกล้องมาเป็นการโฟกัส manual การทำแบบนี้เมื่อแสงเริ่มมีการเปลี่ยนทิศทาง เลนส์ของคุณจะไม่เปลี่ยนหาจุดโฟกัสใหม่ตามไปด้วย
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...ค้นหาดูเงาสะท้อนในภาพวิวทะเลไว้ด้วย)

3. สีหรือขาวดำ

ภาพวิวทะเลจะทำงานได้ดีในภาพขาวดำ คุณสามารถถ่ายภาพมาเป็นสีและเปลี่ยนมันทีหลังในโปรแกรม Photoshop หรือ Lightroom ได้ โปรแกรมการปรับแต่งภาพทั้งสองอย่างจะมีเครื่องมือการปรับแต่งภาพขาวดำที่ดีเยี่ยม และคุณสามารถปรับแต่งได้มากมายกับภาพของคุณ ถ้าคุณถ่ายมาเป็นภาพขาวดำ คุณไม่สามารถปรับไปเป็นภาพสีได้  คุณต้องพยายามจินตนาการภาพขาวดำและรู้ว่ามันทำงานได้ดีกว่าในภาพสี ให้แน่ใจว่าคุณยังคงถ่ายภาพเป็นภาพสีอยู่

4. ขาตั้งกล้อง

คุณต้องการขาตั้งกล้องในการถ่ายภาพวิวทะเล คุณอาจจะต้องถ่ายภาพหลังดวงอาทิตย์ตกดินและไม่มีทางเป็นไปได้ที่คุณจะถือกล้องถ่ายด้วยมือเปล่าแล้วได้ภาพที่ดีเยี่ยม ความคมชัดเป็นกุญแจในการถ่ายภาพวิวทะเล บางส่วนของภาพจะเบลอ (น้ำ) แต่ส่วนอื่นๆ ของภาพควรจะชัด (ก้อนหินม เมฆ และอื่นๆ)  ดังนั้นให้มั่นใจว่าทุกๆสิ่งคมชัดโดยการใช้ขาตั้งกล้องและสายลั่นชัตเตอร์ถ้าเป็นไปได้ ให้ระวังถ้าคุณตั้งกล้องอยู่บนขาตั้งกล้องบนทรายที่ชายฝั่ง เมื่อน้ำทะเลขึ้นมามันจะทำให้ขาตั้งกล้องของคุณเคลื่อนหรืจมลงในทรายอาจะไม่ทำให้มั่นคงเพียงพอที่จะทำให้ขาตั้งกล้องตั้งคงที่ ตรวจสอบภาพถ่ายบ่อยๆว่าก้อนหิน และเมฆมีความคมชัด
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...ขาตั้งกล้องเป็นสิ่งจำเป็นในสภาวะที่มีแสงน้อย)
ตัวแบบอะไรก็ตาม...
ไม่มีความขาดแคลนภาพในการถ่ายภาพวิวทะเล บางสิ่งต่อไปนี้เป็นความคิดที่มองเห็นได้ในแต่ละที่ของชายหาด
•   ประภาคาร....มันสนุกมากในการถ่ายและถ้าเป็นไปได้ให้ถ่ายพวกมันในตอนช่วงเริ่มเย็น เมื่อไฟของประภาคารเริ่มเปิด
•   โขดหินต่างๆ....การเคลื่อนไหวของน้ำและหินบนชายหาดทำให้ภาพวิวทะเลดูเยี่ยมมาก
•   การสะท้อน...ถ้าน้ำขึ้นน้ำลงเคลื่อนออกไปจากชายหาด คุณสามารถเก็บภาพที่น่าอัศจรรย์กับการสะท้อนของท้องฟ้าที่ฉายลงมายังพื้นทรายของชายหาด
•   สีของแสง....ถ้าคุณตั้งค่ารับแสงที่เหมาะคุณสามารถมีรูปภาพฟ้าที่มีสีอุ่นๆ และน้ำสีฟ้าในภาพเดียวกัน นี้ทำให้ภาพดูสวยงามมาก
•   พายุ...นี้คือเล่ห์กลอย่างหนึ่ง แต่บางครั้งการถ่ายพายุที่รุ่นแรงมากเหนือทะเลสามารถสร้างภาพที่น่าอัศจรรย์ได้
ถ้าคุณอาศัยอยู่ใกล้กับทะเลหรือวางแผนจะไปเที่ยวทะเล ลองถ่ายภาพแบบนี้ดูด้วยตัวคุณเอง  ผลลัพท์ของมันสามารถสร้างความพึ่งพอใจและคุณจะประหลาดใจว่าทำไมมันง่ายอย่างนี้ที่จะได้ภาพที่ดี เมื่อคุณรู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร สิ่งที่สำคัญคือให้แน่ใจว่าคุณปลอดภัยและระมัดระวังสิ่งที่อยู่ล้อมรอบตัวคุณตลอดเวลา อย่ากลัวที่จะออกไปข้างนอกแล้วลองถ่ายภาพแบบนี้ มันสนุกมากและมันมีค่ามากเช่นกัน
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...ฉากหน้าที่น่าสนใจจะทำให้ภาพนี้มีจุดที่ดึงดูด)

23
ห้าคำแนะนำสำหรับช่างภาพวิวทิวทัศน์มือใหม่

โพสโดย Barry J Brady แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/5-tips-newbie-landscape-photographers/

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามถ้าคุณเป็นช่างภาพที่นานแล้วหรือเพิ่มเริ่มต้น ช่างภาพส่วนใหญ่ต้องการเรียนรู้ว่าจะถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ให้สวยได้อย่างไร ครั้งหนึ่งคุณมีภาพหลายภาพของดวงอาทิตย์ตกและบางภาพของดวงอาทิตย์ขึ้น คุณอาจจะคิดว่าคุณรู้ว่าต้องทำอย่างไรดังนั้นคุณก็ออกไปยังโลกกว้างในตอนเช้ามืดก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น และลองถ่ายภาพภูเขาหรือภาพวิวทะเล ทันใดนั้นมันไม่ง่าย การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ต้องการมากกว่าการติดตั้งง่ายๆ และการรอคอยที่จะถ่ายภาพ บางครั้งคุณต้องย้อนกลับไปที่นั่นสี่หรือห้าครั้งเพื่อให้ภาพที่คุณต้องการ
ภาพถ่ายวิวทิวทัศน์เป็นสิ่งเย้ายวนใจ เมื่อภาพถ่ายมีความสมบูรณ์การมองไปที่ภาพนั้นจะเป็นเหมือนเราเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้น พวกเขาจะสัมผัสและรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอากาศบนภูเขาหรือความอบอุ่นของทะเลทราย ดังนั้นคุณอาจจะต้องถามตัวเองว่า “ผมจะถ่ายภาพเหมือนกับภาพนั้นได้อย่างไร” หรือ “ฉันคิดว่าภาพถ่ายวิวทิวทัศน์มันยาก สำหรับฉันมันดีพอหรือยัง?”  บทความนี้จะตอบคำถามเหล่านี้และหวังว่ามันจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย ความจริงก็คือ การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันต้องการการทุ่มเทและกระตือรือร้น มันจะต้องตื่นแต่เช้ามืดก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น หรือจะต้องอยู่เย็นมากๆ หรือก่อนเวลาเช้าหลายชั่วโมง มันต้องการความรู้ที่ดีเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ ลองมาดูว่าคุณสามารถเริ่มต้นกับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ให้ดีกว่าเดิมได้อย่างไร

1. จะค้นหาสถานที่ถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ดีๆ ได้อย่างไร?

ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คุณอาศัยอยู่ คุณอาจจะขับรถไปในที่ที่มีภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามซึ่งมันไม่ไกล หรือคุณอาจจะต้องไปนอกเมืองหรือชานเมือง อะไรที่ผมทำบ่อยๆ ก่อนที่ผมจะไปสถานที่ใหม่ๆแต่ละที่คือ ค้นหาสถานที่สำหรับวิวทิวทัศน์ใน google ผมจะทำการค้นหาด้วยคำว่า landscape scene Canadian rockies และดูว่าผลที่ได้มีอะไรบ้าง บางครั้งคุณจะเห็นสถานที่ที่คุณไม่รู้จักในพื้นที่นั้นและคุณสามารถเริ่มมีความคิดว่าคุณสามารถถ่ายอะไรได้บ้าง คุณสามารถทำสิ่งเดียวกันนี้ในเว็ปพวก 500px หรืออย่างเช่น Flickr ค้นหาอย่างรวดเร็วสำหรับชื่อของสถานที่ที่คุณกำลังจะไปและดูว่าผลที่ได้มีอะไรบ้าง จากที่นั้นคุณสามารถตีกรอบให้แคบลงมาว่า ภาพแบบไหนที่คุณต้องการถ่าย  บางครั้งคุณอาจจะต้องถ่ายจากภูเขาสูงที่มองลงมายังเมือง วิวทะเล หรือป่าที่อยู่ด้านล่าง  เมื่อคุณเริ่มมีความคิดว่าจะถ่ายอะไรแล้วคุณต้องคำนวณเรื่องแสง เครื่องมือที่ดีของผมคือ ตัว The Photographer’s Ephemeris. อะไรที่ผมลงรักโปรแกรมนี้คือผมสามารถวางหมุดลงบนแผนที่และทันทีคุณจะเห็นที่ที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นและตก พร้อมกับดวงจันทร์ด้วยเช่นกัน มันบอกถึงทิศทางของดวงอาทิตย์และเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกที่จะเกิดขึ้น คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าเวลาไหนของวันที่จะดีที่สุดในการถ่ายภาพในการวางแผนของคุณ

2. เวลาไหนของวันดีที่สุดในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์?

Golden hour เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับสีในภาพวิวทิวทัศน์ คุณสามารถถ่ายในช่วงเวลา blue hour เพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่สวยงามได้เช่นกัน ผมชอบมันสำหรับการถ่ายภาพวิวเมือง แสงไฟของเมืองจะตัดกับความงามของท้องฟ้า เวลา Golden hour เป็นตัวแนะนำ คุณต้องถ่ายภาพช่วงดวงอาทิตย์ขึ้นและตก แต่ให้วางแผนไว้ก่อนล่วงหน้า ไม่มีอะไรน่าผิดหวังไปกว่าการไปถึงที่หมายแล้วพบว่าดวงอาทิตย์กำลังตกและตัวแบบอยู่ในร่มเงา ถ้าเป็นไปได้ควรไปถึงที่หมายก่อนถึงเวลาที่จะถ่ายและเฝ้าดูว่าแสงจะมาจากที่ไหน ซึ่งเป็นหนทางที่คุณรู้แน่นอนว่าคุณจะตั้งกล้องถ่ายมันที่ไหน

3. อุปกรณ์อะไรบ้างที่ผมต้องการสำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์?

กล้องถ่ายภาพ
แน่นอน นี้คือส่วนที่สำคัญที่สุดของทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การที่ได้ภาพวิวทิวทัศน์ที่ดีเยี่ยมไม่จำเป็นต้องมีกล้องที่เก็บภาพได้ละเอียดสูงถึง 40 ล้านพิกเซล คุณสามารถถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ด้วยกล้อง DSLR ที่มีความละเอียด 10 ล้านพิกเซลหรือมากกว่าก็ได้แล้ว เหตุผลก็คือคุณไม่ต้องการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ด้วยกล้องที่มีความละเอียด 4 ล้านพิกเซลซึ่งคุณอาจจะถ่ายภาพได้ดีเยี่ยม ภายหลังคุณอาจจะต้องการไปพิมพ์ภาพถ่ายสวยๆ และใหญ่ๆและแขวนไว้บนผนังแต่ถ้าความละเอียดต่ำ คุณอาจจะพิมพ์ภาพในขนาดที่เล็กลงมาได้
ขาตั้งกล้อง
ใช่...คุณต้องการขาตั้งกล้อง ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพดวงอาทิตย์ขึ้น หรือตก ปริมาณของแสงจะมีน้อยมาก คุณต้องการถ่ายภาพที่มีความเร็วชัตเตอร์ที่ลากยาวดังนั้นคุณต้องการให้กล้องตั้งอยู่บนอะไรสักอย่างที่มั่นคง ขาตั้งกล้องที่มั่นคงแข็งแรงจะสร้างความแตกต่าง ความยอดเยี่ยมของขาตั้งกล้องคือ เมื่อคุณได้จัดองค์ประกอบภาพแล้ว คุณสามารถถอนตัวกล้องออกไปได้และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับองค์ประกอบภาพที่คุณจะถ่ายในแต่ละครั้ง ถ้าปราศจากการเคลื่อนย้ายขาตั้งกล้อง
สายลั่นชัตเตอร์
ผมใช้เวลาในการเลือกซื้อสายลั่นชัตเตอร์ (ตัวควบคุมการกดชัตเตอร์) เมื่อผมถ่ายภาพในช่วงเริ่มต้นแต่เมื่อผมมีมันแล้ว ผมก็มานั่งแปลกใจตัวเองว่าทำไมผมคิดนานจังที่จะมีมันตัวสายลั่นชัตเตอร์จะช่วยให้คุณมีอิสระมากกว่า คุณสามารถถือมันไว้ในมือและยืนห่างจากตัวกล้องและกดปุ่มชัตเตอร์เมื่อไรก็ตามที่คุณต้องการ ผมชอบที่จะสังเกตภาพรวมทั้งหมดมากกว่าที่จะมองผ่านช่องมองภาพของตัวกล้อง ผมติดตั้งตัวสายลั่นชัตเตอร์ (ผมชอบแบบเป็นสาย) ยืนห่างออกมา และเริ่มถ่ายภาพ ให้แน่ใจว่าคุณได้ล๊อคการโฟกัสโดยหมุนปุ่มบนกล้องของคุณไปเป็นการโฟกัสแบบ manual แล้ว (หรือใช้ปุ่มด้านลังในการโฟกัส) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตก ถ้าคุณได้ไม่ทำไว้เกิดอะไรขึ้นเมื่อเป็นช่วงกลางคืน กล้องจะพยายามล๊อคโฟกัสและมันจะทำให้เสียเวลา สิ่งที่ดีที่สุดคือตั้งค่าโฟกัสขณะที่วิวนั้นยังมีแสง คลิ๊กลงไปที่โฟกัสแบบ manual และก็ถ่ายภาพ
ตัวฟิลเตอร์
ตัวฟิลเตอร์Graduated Neutral Density  ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับช่างภาพวิวทิวทัศน์  มันยังคงเป็นจริงอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีในปีที่ผ่านมา ช่างภาพหลายคนเริ่มที่จะใช้วิธีการผสมภาพ มันหมายถึงว่าคุณจะถ่ายภาพที่มีแสงสว่างในส่วนของวิวภาพ และคุณจะถ่ายในส่วนที่มืดในวิวภาพ บ่อยครั้งส่วนที่สว่างคือส่วนของท้องฟ้าและส่วนที่มืดคือฉากหน้า หลังจากนั้นก็ใช้โปรแกรม Photoshop คุณสามารถผสมภาพสองภาพที่มีการถ่ายในสภาพแสงที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน นี้คือเทคนิคที่ได้ผลดีในการหลอกสภาพแสงและบางครั้งมันสามารถทำได้ดีกว่าตัวฟิลเตอร์อีก ผมใช้การรวมภาพของทั้งสองเทคนิค ผมจะถ่ายกับตัวฟิลเตอร์ โดยถ่ายภาพที่มีค่ารับแสงที่แตกต่างและดูว่ามันทำงานได้ดีที่สุดในภายหลังเมื่อนำภาพมารวมกันในโปรแกรม
สิ่งสำคัญคือให้แน่ใจว่าคุณได้ภาพที่ดีที่สุดขณะที่คุณอยู่ในพื้นที่ ไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่าการกลับมาในตอนเช้ามากหรือในตอนเย็นที่สายแล้วกับภาพที่คุณเห็นแล้วมันใช่ไม่ได้ เนื่องจากการตั้งค่าไม่ถูกต้อง การตั้งค่ารับแสงที่ถูกต้องในกล้องเป็นกุญแจสำคัญ มันต้องฝึกฝนซึ่งการพยายามในครั้งแรกอาจจะไม่ดีเท่าที่ควร ให้ทำต่อไป คุณจะเรียนรู้วิธีการดูแสงอย่างไร และการตั้งค่าที่ถูกต้องถ้าคุณได้ฝึกฝนอย่างเพียงพอ
เลนส์
สำหรับส่วนที่เหลือคือ เลนส์มุมกว้างจะทำงานได้ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์  คุณต้องการเก็บภาพให้ได้กว้างที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อที่จะทำให้ภาพดูยิ่งใหญ่และเก็บกวาดทุกสิ่ง และเลนส์มุมกว้างจะได้ผลดีกับสิ่งนี้ ระมัดระวังอย่าใช้เลนส์ตาปลา ความโค้งอาจจะไม่ได้ผลกับภาพวิวทิวทัศน์ เมื่อคุณใช้เลนส์มุมกว้างมันเป็นความคิดที่ดีที่จะมีฉากหน้าที่น่าสนใจ หมายถึงว่ามีบางสิ่งที่ฉากหน้าที่เหมือนการทอดสมอให้กับภาพ ถ้าคุณไม่มีฉากหน้าที่น่าสนใจไม่เป็นไรคุณยังคงสามารถได้ภาพถ่ายที่ดีได้ คุณจะพบว่าภาพที่มีฉากหน้าที่น่าสนใจจะทำงานได้ดีกว่า คุณอาจจะถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ด้วยเลนส์ซูมมันทำงานได้ดีแต่ก็ไม่ใช่ทุกภาพ ลองใช้ดูแล้วถ้าไม่ได้ผลก็กลับไปใช้เลนส์มุมกว้างเหมือนเดิม

4. ตั้งค่าอะไรบ้างที่ใช้ในการถ่ายภาพ?

การตั้งค่ารับแสง
ไม่มีสูตรตายตัวว่าจะต้องตั้งค่าแบบไหนถึงจะได้ภาพถ่ายวิวทิวทัศน์ที่ดีที่สุด มีเพียงคำแนะนำไม่กี่อย่าง สิ่งแรก...คุณต้องให้ทุกๆสิ่งอยู่ในโฟกัสซึ่งหมายถึงว่าค่ารูรับแสงของคุณควรจะเป็น f/8, f/11 หรือ f/16 เมื่อตั้งค่าหนึ่งค่าใดแล้ว คุณต้องการตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ต่อมา คุณอาจจะลดความเร็วชัตเตอร์ลงเป็นเพียงไม่กี่วินาทีเพื่อให้การรับแสงที่พอเหมาะ มันโอเคนะ  การรับแสงที่ยาวจะทำงานได้ดีเมื่อมันมีการเคลื่อนไหวของน้ำหรือเมฆในภาพของคุณ น้ำจะดูนุ่มนวลและอ่อนนุ่มเหมือนกันกับเมฆ บางครั้งต้นไม้ในภาพของคุณอาจจะโบกไปมาจากลมพัดเบาๆและการเบลอของภาพทำให้ได้ผลดีเหมือนกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องตั้งค่าคือค่า ISO ของคุณ ผมแนะนำว่าไม่ควรถ่ายด้วย ออโต้ ISO สิ่งนี้จะสร้างปัญหาในหลายรูปแบบโดยเฉพาะตอนดวงอาทิตย์ตก กล้องของคุณจะมองเห็นแสงกำลังหายไปและมันจะพยายามดัน ISO เพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยสำหรับแสงที่หายไป นี้คืออาจจะทำให้เกิดดิจิตอลน้อยส์ มันไม่ดีแน่สำหรับภาพวิวทิวทัศน์ของคุณ ตั้งค่า ISO ของคุณเป็น 100 (หรือต่ำสุดเท่าที่กล้องของคุณทำได้) และให้มันคงที่อยู่ตรงนั้น  เพียงแต่คุณปรับค่าความเร็วชัตเตอร์เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้ภาพนั้น แน่นอนคุณต้องการขาตั้งกล้องที่ไว้ใจได้
ค่า White Balance
นี้คือทางเลือกที่สร้างสรรค์ เริ่มการถ่ายภาพของคุณด้วยค่าไวท์บาลานซ์ที่เป็น daylight หลีกเลี่ยงการใช้ค่าออโต้ไวท์บาลานซ์ เพื่อที่ลองและทำให้สีของภาพเป็นธรรมชาติที่สุด คุณต้องการความลึกองสีในภาพของคุณเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นลองปรับไปเป็น daylight คุณสามารถใช้ไวท์บาลานซ์ในการสร้างสรรค์ เช่น ใช้ค่า fluorescent เพื่อจะเพิ่มสีแดงคล้ำในภาพ Cloudy และ Shade จะเพิ่มสีส้มหรือแดง และ Tungsten จะเพิ่มสีฟ้า ถ้าคุณต้องการจะเน้นสีใดสีหนึ่งในภาพของคุณก็ให้คุณหมุนไปที่ค่าไวท์บาลานซ์ไปที่นั่น ดังนั้น ถ้าคุณกำลังถ่ายดวงอาทิตย์ตก ให้ใช้ cloudy หรือ shade สำหรับสีแดง และส้ม ถ้ามันไม่ได้ผลดีในภาพ ปรับกลับมาที่ daylight มันจะปรับสีในภาพให้ถูกต้อง

5. ต้องทำอะไรถัดไป?

หลังจากที่คุณกลับมาจากการถ่ายภาพแล้ว ดาวน์โหลดภาพของคุณและมองภาพแบบผ่านๆ โดยปกติคุณจะทำสิ่งนี้ในช่วงกลางคืน ดังนั้นมันดีที่สุดที่จะปล่อยมันไว้จนกระทั่งวันถัดไปก่อนที่คุณจะเริ่มปรับแก้ไขพวกมัน อะไรก็ตามที่คุณใช้ในการปรับแต่งภาพ (Lightroom หรือ Photoshop) คุณสามารถทำงานกับมันได้ ถ้าคุณมีการถ่ายภาพแบบ bracket คุณสามารถรวมภาพได้ใน Photoshop คำแนะนำเพียงสิ่งเดียวในที่นี้คือการใช้เวลาในการปรับแต่งภาพ เลือกภาพที่ดีที่สุดในการนำมาปรับแต่ง คุณอาจจะพบว่าคุณถ่ายภาพมา 100 ภาพแต่มีเพียงสามหรือสีภาพที่น่าเอามาปรับแต่ง มันโอเคนะ  การปรับแต่งภาพที่ดีที่สุดและใช้เวลาในการทำภาพเหมือนกับภาพที่คุณเห็นมาแล้ว สำหรับคำแนะนำอย่างรวดเร็วที่จะได้ภาพในบทความนี้ คุณสามารถหาดูในรายการของบทความใน Photoshop ในการใช้เทคนิคขั้นสูง
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...ภาพซ้อนกัน...ฉากหน้าคือภาพที่ถ่ายมาก่อนในช่วงเย็นและภาพดวงดาวเป็นมาต่อมา สิ่งนี้เกิดขึ้นจากการซ้อนภาพใน Photoshop)

ดังนั้น เพื่อสรุปทั้งหมดนี้ การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์คือการรวมกันของความชำนาญและความอดทน ความชำนาญใช้เวลาในการพัฒนา และความอดทนสามารถทำให้คุณคอยสำหรับภาพที่ใช่ ในการเก้าวเดินอย่างรวดเร็วในโลกของดิจิตอล มันมีบางสิ่งที่ต้องสงบในการถ่ายภาพแนววิวทิวทัศน์  คุณควบคุมสภาพอากาศไม่ได้ คุณควบคุมเรื่องแสงไม่ได้ คุณอยู่ตรงนั้นและกดปุ่มชัตเตอร์ถ้าสภาพแวดล้อมมันใช่ ความสวยงามคือถ้าสภาพแวดล้อมมันถูกต้อง รางวัลคือสิ่งที่แปลกจนไม่น่าเป็นจริงได้ คุณจะได้ภาพที่ดีเยี่ยมและคุณจะใช้เวลาที่เงียบสักพักในธรรมชาติ สนุกกับความสวยงามของดวงอาทิตย์ขึ้นและตก คำแนะนำที่สำคัญคือการใช้เวลาของคุณ อย่าเร่งรีบ  อย่ารีบเก็บของจนกระทั่งคุณแน่ใจว่าคุณไม่สามารถได้ภาพที่ดีกว่าสิ่งที่เพิ่งถ่ายไปก่อนหน้านี้  ออกไปและสนุกกับมัน แม้ว่าแสงอาจจะไม่สวยงามหรือสภาพอากาศไม่เหมือนที่หวังไว้ ใช้มันเหมือนเป็นการฝึกฝนและมันจะดีขึ้นในไม่ช้า คุณจะเก็บภาพที่น่าตื่นเต้นเหล่านั้นอย่างง่ายดาย

24
เราจะดึงข้อมูลภาพถ่ายกลับมาอย่างไรหลังจากที่ข้อมูลหายไปแล้ว
โพสโดย Joe Keeley แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-recover-photos-after-a-data-loss/
สิ่งที่ยากสิ่งหนึ่งสามารถเกิดขึ้นกับคุณได้ในขณะที่คุณเป็นช่างภาพคือ ข้อมูลหาย แต่มันมีทางที่จะแก้ไขได้ คำแนะนำนี้จะชี้ให้เห็นว่าเราจะกู้ข้อมูลรูปภาพทั้งหมดกลับมาได้ง่ายและเร็วอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาพสัตว์เลี้ยงหรือภาพวิวทิวทัศน์ โอกาสของภาพทั้งหมดที่คุณได้ถ่ายเก็บไว้ก่อนหน้านี้และมันสำคัญกับคุณ ภาพถ่ายจะเก็บความทรงจำและในเวลาขณะนั้น การสูญหายของข้อมูลจะทำลายทุกอย่าง น่าเศร้า ภาพที่สูญหายไม่ใช่เรื่องธรรมดาอีกแล้ว ในความเป็นจริงมันเกิดขึ้นกับคุณในอดีตที่ผ่านมาหรือมันอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
ข้อมูลภาพหายสามารถเกิดขึ้นได้หลายกรณี หนึ่งในนั้นที่เกิดขึ้นบ่อยก็คือความผิดพลาดจากผู้ใช้งาน มันเป็นสิ่งง่ายๆเหมือนกับอุบัติเหตุที่ลบไฟล์ผิดหรือกดปุ่มผิด อย่างไรก็ดี เรามีเทคโนโลยีที่มหัศจรรย์ในการแก้ไขข้อผิดพลาดนี้ มีเรื่องราวมากมายที่คนไม่ได้โหลดภาพใน memory card จากกล้องของพวกเขาแล้วใส่ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และพบว่าไฟล์ไม่สามารถเปิดหรือหายไป
ถ้าคุณค้นพบว่าคุณก็เป็นเหยื่อของข้อมูลหายดังนั้นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการหยุดใช้การ์ดนั้นทันทีและดึงมันออกจากกล้องของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้มีการเขียนอะไรลงไปในมันอีก มันสำคัญมากว่าไม่มีข้อมูลอะไรถูกเขียนลงไปในการ์ด
เมื่อรูปภาพถูกลบข้อมูลในการ์ดยังไม่ได้ลบออกไปทันที มีข้อมูลอยู่สองแบบหลักใน SD การ์ด ข้อมูลเกี่ยวกับตัวไฟล์บนการ์ดและข้อมูลสำหรับไฟล์ตัวมันเอง เมื่อคุณสั่งลบไฟล์ มันเป็นเพียงข้อมูลเกี่ยวกับไฟล์ที่ถูกลบออก ตัวข้อมูลของไฟล์ยังคงอยู่ในการ์ดจนกระทั่งพื้นที่ว่างมีการร้องขอใช้ด้วยไฟล์อื่น รูปภาพใหม่ที่อยู่ในการ์ดสามารถกำหนดตำแหน่งที่ซึ่งภาพถูกลบออกไปก่อนหน้านี้ การลบออกอย่างถาวร
ตอนนี้เป็นเวลาที่จะพยายามและนำเอาข้อมูลกลับมา เอาการ์ด SD ใส่เข้าไปใน computer ของคุณ ขึ้นอยู่กับสภาพของการ์ด (เช่น ถ้ามันถูกทำให้เสื่อม หรือใช้จนมันไม่รู้จักไฟล์ system) ตัว system ของคุณมันจะออโต้ตรวจพบความผิดปกติ คุณอาจจะใช้ตัวซอฟท์แวร์ของผู้ผลิตการ์ดพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น อีกทางเลือกหนึ่งจะมีหน้าต่างที่ปรากฎขึ้นบนหน้าจอคอมฯ เพื่อให้คุณทำการ format การ์ด  อย่าทำสิ่งใด
การ format การ์ดเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดและจะทำให้โอกาสการกู้ข้อมูลได้สำเร็จเหลือน้อยลง มันเป็นหนทางสุดท้าย เครื่องคอมฯ ของคุณจะแนะนำอย่างดีในการ format การ์ด เหมือนมันพูดว่า “เฮ้ ผมไม่สามารถเห็นข้อมูล เรามาล้างทุกอย่างทิ้งแล้วเริ่มใหม่ดีไหม?” อย่างไรก็ตาม เพราะว่าตัวระบบปฎิบัติการในเครื่องคอมฯ ของคุณไม่สามารถพบข้อมูลมันไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั้น มันหลบซ่อนอยู่ภายใต้พื้นผิวด้านหน้า
ขอให้ทำ.....หยุดการใช้การ์ดในชั่วขณะเมื่อคุณเริ่มรู้ว่ามันมีปัญหาจำไว้ว่าหายใจลึกๆ และใจเย็นๆ อยู่ในความสงบ
อย่าทำ....อย่าเปิดดูภาพในกล้องของคุณ ให้เก็บมาหนึ่งภาพ หรือ format การ์ดเลย
ในขั้นถัดไป คือการดาว์นโหลดโปรแกรมที่ช่วยกู้ข้อมูลของคุณคืนมา สำหรับเป้าประสงค์ของการสอนนี้ เราจะใช้ตัว R-Undelete มีโปรแกรมอื่นๆมากมาย แต่โปรแกรมนี้ฟรีสำหรับผู้ใช้ตามบ้านและมันทำงานได้ดีมาก ข้อจำกัดเดียวคือมันทำงานกับรูปแบบของไฟล์ที่เป็นแบบ FAT ใน SD การ์ดเท่านั้น  โชคดีที่การ์ด SD ที่ใช้ในกล้องเป็นรูปแบบ FAT แต่ก็มีบางตัวโปรแกรมระดับมืออาชีพในการกู้ไฟล์จะเก็บตังค์ในการกู้ข้อมูลของคุณ แต่ด้วยความสัตย์จริง ในสถานการณ์แบบนี้ใช้บางสิ่งเหมือนกับ R-Undelete จะทำงานแบบเดียวกันแต่ไม่เสียตังค์
ขั้นตอนที่หนึ่ง
หน้าจอแรกมันจะแสดงให้เห็นถึงรายการของ drive ที่อยู่บนเครื่องคอมฯ ของคุณ สิ่งที่คุณต้องทำคือการ check box ไปที่ตัวการ์ด SD ที่มันมองเห็นอยู่แล้วกดปุ่ม Next (ดูภาพตัวอย่างหน้าต่างโปรแกรมในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) คุณสามารถมองเห็น ตัวอย่างในภาพข้างบนในตัวไดรฟ์ภายใน DVD ไดร์ฟ และ SD การ์ด ตัวการ์ด SD จะถึงเรียกชื่อเป็น “Generic Storage Device” แต่คุณอาจจะมีชื่อที่แตกต่างมากมาย เพื่อที่จะอ้างถึงสิ่งนี้หรือขนาดตรงกับการ์ดของคุณจะมีอยู่หนึ่งในรายการนั้น (1.87 GB ในตัวอย่างที่เห็น)
ขั้นตอนที่สอง
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ง่าย โปรแกรมจะออโต้เลือกรายละเอียดการสแกนสำหรับไฟล์ที่สูญหายซึ่งเป็นสิ่งที่คุณต้องการ คุณสามารถบอกให้ตัวโปรแกรมค้นหาเฉพาะเจาะจงชนิดของไฟล์ (เช่น วีดีโอ หรือ รูปภาพ) โดยคลิ๊กไปที่ “Known File Types….” แต่ถ้าให้ดีก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นกับค่าที่มันให้มาเพื่อจะได้สแกนทุกสิ่งทุกอย่าง (ดูภาพตัวอย่างหน้าต่างโปรแกรมในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ข้อมูลการสแกนจะถูกจัดเก็บเป็นเอกสารโดยค่าเริ่มต้น แต่มันก็ยอมให้คุณเปลี่ยนที่เก็บไฟล์ไปไว้ที่อื่นตามที่คุณต้องการโดยการกดเลือกในช่องข้างๆ จำไว้ว่าคุณต้องไม่ save อะไรลงในการ์ดที่คุณกำลังกู้ข้อมูลคืนมา มันง่ายมากๆ ถ้าเก็บมันไว้ในไดร์ฟภายในของเครื่องคอมฯคุณเอง  เมื่อคุณพร้อมแล้วก็กดปุ่ม ‘Next’ และการสแกนก็จะเริ่มขึ้น


ขั้นตอนที่สาม
การสแกนจะเริ่มขึ้น หน้าจออาจจะดูน่ากลัวในตอนแรกๆ แต่ไม่ต้องกังวลอะไร มันเป็นเพียงการแสดงให้เห็นรูปแบบการสแกนข้อมูลอยู่ เพียงแค่คอยการสแกนจนเสร็จ (มันจะเร็วแต่มันก็ขึ้นอยู่กับขนาดความจุของการ์ด) และคลิ๊ก ‘Next’ เมื่อมีตัวเลือกปรากฎขึ้นมา (ดูภาพตัวอย่างหน้าต่างโปรแกรมในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ขั้นตอนที่สี่
คุณจะเห็นรายการของข้อมูลทั้งหมดซึ่งโปรแกรมได้ตรวจพบบนการ์ด ทางด้านซ้ายคือตัวโฟลเดอร์ซึ่งจะแสดงที่เก็บข้อมูลทางด้านขวาเมื่อคุณคลิ๊กเลือกมัน (ดูภาพตัวอย่างหน้าต่างโปรแกรมในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
สิ่งที่ดีเยี่ยมคือคุณสามารถเรียงลำดับผลลัพท์ที่ได้โดยการกรองข้อมูล เช่น รูปบบของนามสกุลไฟล์ เวลาที่ข้อมูลได้ถูกสร้างขึ้นมา หรือเมื่อข้อมูลมันได้ถูกเรียกใช้งาน ถ้าคุณพยายามมจะระบุไฟล์ที่ชัดเจน มันจะมีตัวเครื่องมือค้นหาแบบก้าวหน้าซึ่งคุณสามารถใส่ค่าการค้นหา เช่นขนาดของไฟล์ หรือไฟล์ที่ได้มีการแก้ไขครั้งหลังสุดเป็นต้น
อาการหนึ่งของข้อมูลหายคือชื่อไฟล์ต้นฉบับจะหาย ดังนั้นไม่ต้องกังวลถ้าคุณจำชื่อไฟล์เหล่านั้นไม่ได้ ถ้าคุณไม่แน่ใจที่ซึ่งข้อมูลที่คุณต้องการค้นหา ให้ทำการค้นหาและกู้ทุกๆสิ่งซึ่งโปรแกรมได้ตรวจพบ คุณสามารถกู้ข้อมูลได้มากหรือน้อยเท่ากับที่คุณต้องการโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อคุณได้ข้อมูลที่ต้องการในการตรวจพบแล้วก็ให้เลือกคลิ๊ก ‘Next’
ขั้นตอนที่ห้า
ใกล้แล้ว สิ่งแรกเลือกโฟลเดอร์ที่ซึ่งคุณต้องการให้ไฟล์ที่กู้คืนมาทั้งหมดไปเก็บไว้ โปรแกรมจะเตือนคุณว่าอย่าเลือกที่ซึ่งคุณจะเก็บไฟล์ที่กู้มาไว้บนตัวการ์ด SD  แต่แน่นอนละ...คุณรู้แล้วละตอนนี้
มีทางเลือกระดับก้าวหน้าอีกมากมาย ตัวอย่างข้างบนคือการถามโปรแกรมให้พยายามและกู้คืนในโฟลเดอร์ต้นฉบับ ให้จำไว้ในใจว่า มันเป็นไปไม่ได้ การเลือกเอาไฟล์ทั้งหมดที่ต้องการในขั้นตอนที่สี่ นี้คือเพียงทางเลือกเดียวที่คุณต้องการเลือก
คุณพร้อมที่จะเอาภาพกลับคืนมาหรือยัง? คลิ๊ก ‘Recover’ และโปรแกรมจะเริ่มทำงานอย่างน่าอัศจรรย์ เวลาที่ใช้ในการกู้คืนก็จะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่คุณมีอยู่เท่าไรในการร้องขอให้ทำการกู้คืน แต่ขั้นตอนการดำเนินการมันรวดเร็ว......สำเร็จแล้ว...
R-Undelete ได้ทำการกู้ข้อมูลภาพทุกภาพสำเร็จแล้วตามที่ผมร้องขอและหวังว่ามันจะทำงานแบบเดียวกันสำหรับคุณด้วย

ลองและขอให้อยู่ในความสงบจนกระทั่งจบกระบวนการ เข้าใจด้วยว่าการพูดมันดูง่ายกว่าการทำ แต่การกู้ข้อมูลคือสิ่งที่เป็นไปได้ และถ้าคุณทำตามคำแนะนำข้างต้นที่ให้ไว้มันควรจะประสบผลสำเร็จ คุณควรจะระวังว่าการสำรองข้อมูลสำคัญแค่ไหน แต่ไม่ใช่แค่การฝึกฝนเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ให้แน่ใจว่าภาพถ่ายของคุณได้ทำการสำรองไว้ในสถานที่อื่นไม่ว่าจะโอนไปเก็บไว้ในเครื่องคอมฯในแต่ละวัน หรือส่งพวกมันไปไว้บน cloud เช่น Dropbox หรือ OneDrive ซึ่งทำให้มีสำเนาของภาพถ่ายหลายชุดจะทำให้คุณมีปัญหาน้อยถ้าข้อมูลของคุณเกิดสูญหายขึ้น ขอให้โชคดีและสนุกกับการกู้ข้อมูลครับ

25
เก้าคำแนะนำที่ช่วยการโฟกัสให้คมชัดในเวลากลางคืน

โพสโดย Jim Hamel แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยายา
http://digital-photography-school.com/9-tips-to-help-you-get-sharp-focus-at-night/

ออโต้โฟกัสในกล้องสมัยใหม่เป็นสิ่งที่ดีซึ่งช่างภาพส่วนใหญ่ใช้มันตลอดเวลามันดูเหมือนว่าไม่เคยทำให้คุณผิดหวัง แต่ถ้าพูดว่า ในเวลากลางคืนแล้วคุณกำลังออกไปถ่ายภาพละ..เมื่อคุณพบจุดที่ดีที่จะถ่ายภาพ คุณได้ตั้งขาตั้งกล้อง คุณโฟกัสในกล้องของคุณด้วยออโต้โฟกัส คุณสามารถรู้สึกได้ว่าตัวแหวนโฟกัสมันหมุนเดินหน้าถอยหลังพยายามโฟกัสแต่มันโฟกัสไม่ได้ กล้องพยายามลองหาจุดโฟกัส แต่ไม่พบมัน อืม...คุณจะทำอย่างไรในเวลาเช่นนี้?
แท้จริงแล้ว ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเพียงแค่คืนเดียว กล้องของคุณจะมีปัญหาในการโฟกัสในสภาพแวดล้อมที่มืด ดังนั้นนี้คือคำแนะนำที่จะเผชิญกับสถานการณ์และการโฟกัสของกล้องในเวลากลางคืนที่มืด

1. เล็งไปยังจุดสว่าง

บางครั้งคุณยังคงใช้ออโต้โฟกัสอยู่แม้ว่ามันจะมืด ในตอนกลางคืนที่มืดจะมีจุดสว่างหนึ่งหรือสองจุด พวกมันอาจจะเป็นไฟท้องถนน หรือแสงจากตัวอาคาร หรือแม้แต่แสงของดวงจันทร์ จุดสว่างเหล่านี้แหละสามารถใช้สำหรับการออโต้โฟกัสของคุณได้ ดังนั้นลองหาจุดสว่างที่ใกล้กับสิ่งที่คุณตั้งใจจะโฟกัส (เช่น ระยะทางเดียวกันกับจุดโฟกัส) ออโต้โฟกัสไปยังจุดนั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาของคุณเพียงแต่คุณโฟกัสไปที่จุดสว่างในแบบปกติและกล้องของคุณจะโฟกัสบางสิ่งในระยะที่ใกล้กับตัวแบบ คุณจะสามารถถ่ายภาพของคุณกับการโฟกัสที่เหมาะสม

2. โฟกัสไปที่ขอบ

กล้องส่วนใหญ่โฟกัสโดยใช้บางสิ่งที่เรียกว่า Contrast detection หมายถึงว่ากล้องมีโอกาสที่ดีที่สุดในการพบบางสิ่งที่โฟกัสได้ ถ้าคุณเล็งกล้องไปยังพื้นที่ที่มีความเปรียบต่างสูง ระหว่างบางสิ่งที่สว่างและพื้นหลังที่มืด ดังนั้นอย่าเล็งโฟกัสของคุณไปที่กลางจุดสว่างนั้น แต่ให้โฟกัสไปที่ขอบของจุดสว่างแทน กล้องจะใช้ความเปรียบต่างระหว่างสิ่งที่สว่างมากและมืดมากในการโฟกัส

3. ใช้ไฟฉาย

ถ้าคุณกำลังพยายามใช้ออโต้โฟกัสกับวัตถุที่อยู่ใกล้ คุณสามารถใช้ไฟฉายช่วยในการโฟกัสได้ นี้คือเหตุผลหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ต้องพกไฟฉายไว้ในกระเป๋ากล้องของคุณ ในการใช้งาน....ฉายไฟฉายของคุณไปยังตัวแบบซึ่งมันจะส่องแสงเพียงพอให้กล้องโฟกัสได้ ตั้งการโฟกัสและคุณก็ปิดไฟฉายและทำการถ่ายภาพ

4. ปรับเปลี่ยนการวางองค์ประกอบภาพอีกครั้งหลังจากโฟกัส

สมมุติว่าเวลานี้คุณโฟกัสโดยใช้ขั้นตอนจากหัวข้อด้านบนอันใดอันหนึ่ง เมื่อคุณโฟกัสได้แล้วค็ต้องหมุนกล้องของคุณให้ออกห่างจากจุดที่คุณโฟกัสไปที่ขอบของแสงสว่าง อย่าทำการโฟกัสใหม่อีกครั้ง เพียงแค่หมุนกล้องแล้วถ่ายภาพกับโฟกัสที่ตั้งไว้แล้ว (คุณจะต้องกดปุ่มชัตเตอร์ครึ่งทางค้างไว้เพื่อให้ล็อคโฟกัส หรือโฟกัสเสร็จแล้วและปิดตัวออโต้โฟกัสเพื่อที่มันจะไม่พยายามโฟกัสใหม่อีกครั้ง ดังนั้นคุณก็ปรับเปลี่ยนการวางองค์ประกอบภาพ หรือดูข้อที่ 5 ด้านล่าง)

5. ใช้ปุ่มด้านหลังกล้องในการโฟกัส

มันเป็นเวลาของสิ่งนี้ เมื่อคุณต้องการถ่ายภาพโดยปราศจากการโฟกัสใหม่ โดยให้ใช้ปุ่มโฟกัสด้านหลังของกล้อง ถ้ากล้องของคุณสามารถทำได้ ไปที่เมนูคำสั่งและตั้งค่าการโฟกัสโดยใช้ปุ่มด้านหลังเพื่อไม่ให้มันลั่นชัตเตอร์เมื่อคุณกดปุ่มชัตเตอร์ลงไปครึ่งทางแล้ว แต่มันจะลั่นชัตเตอร์เมื่อคุณกดปุ่มด้านหลังของกล้องในการโฟกัส วิธีนี้คืการโฟกัสของคุณที่ไม่ใช้การกดปุ่มชัตเตอร์ เมื่อคุณถ่ายภาพโดยการกดมันไว้ มันจะไม่มีโอกาสที่กล้องของคุณจะโฟกัสใหม่

6. ใช้การโฟกัสแบบแมนนวลโดยใช้ค่าระยะของเลนส์

ถ้าคุณไม่มีอะไรในการตั้งค่าออโต้โฟกัส คุณอาจจะต้องใช้การโฟกัสด้วยมือ แต่ไม่ต้องกังวลไป มันไม่ยาก ในความมืด...มันง่ายในการโฟกัสแบบแมนนวลกว่าการใช้ออโต้โฟกัส เลนส์ระดับเทพมันทำให้ง่ายในการโฟกัสแบบแมนนวล เลนส์พวกนี้จะมีค่าระยะบอกอยู่บนตัวเลนส์ เพื่อบอกระยะทาง(ทั้งที่ฟุตหรือเมตร)ซึ่งคุณใช้ในการโฟกัส คุณอาจจะต้องใช้ไฟฉายในการมองดูค่าระยะและนี้ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมต้องพกไฟฉายไว้ในกระเป๋ากล้องของคุณ

7. การโฟกัสแมนนวลโดยใช้การคาดเดาประมาณการ

ถ้าคุณไม่สามารถหาจุดโฟกัสได้ และเลนส์ของคุณก็ไม่มีค่าระยะทางด้วย มันยังไม่หลงทางครับ คุณสามารถใช้การคาดเดากะประมาณและทำมันอย่างถูกต้องได้ในหลายๆ วิธี
ลองมาดูวิธีกัน...ให้แน่ใจว่าคุณถ่ายภาพด้วยค่ารูรับแสงที่สูง (เปิดรูรับแสงกว้างเพียงเล็กๆ กับค่าตัวเลข f ที่มาก) สิ่งนี้จะสร้างความชัดลึกที่กว้างที่ครอบคลุมการโฟกัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูรับแสงที่กว้างจะทำให้ช่วงของสิ่งที่คมชัดครอบคลุมกว้าวกว่าด้วย เพิ่มเติม...ในแน่ใจอีกว่าคุณกำลังถ่ายภาพโดยใช้เลนส์มุมกว้าง นี้ไม่มช่เวลาที่จะลองถ่ายภาพด้วยเลนส์เทเลฯ เลนส์มุมกว้างจะสร้างที่ถูกลืมโฟกัสให้อยู่ในโฟกัสของคุณด้วย ถ้ารูรับแสงที่กว้างและใช้เลนส์มุมกว้าง คุณจะมีค่าละติจูดที่กว้างในการโฟกัส เวลานี้แหละคือการโฟกัสแมนนวลจากกล้องของคุณ ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพที่มีความกว้างของฉากที่ขยายไปถึงจุดอินฟินิตี้ ก็ให้ตั้งค่าโฟกัสแมนนวลไปที่อินฟินิตี้ ค่าละติจูดที่คุณใช้จะทำให้ทุกสิ่งคมชัดจนถึงค่าอินฟินิตี้ และยังรวมถึงระยะทางจากข้างหน้าของจุดโฟกัสอีกด้วย นี้คือสิ่งที่ทำให้คุณมีโอกาสที่ดีที่สุดที่ทำให้ภาพทั้งหมดอยู่ในโฟกัส

8. ใช้ตัว Live View

ถ้าคุณสามารถเห็นทุกๆอย่างบนจอ LCD ในกล้องโดยใช้ Live View ดังนั้นคุณสามารถใช้การโฟกัสแบบแมนนวลได้ สิ่งนี้ดีกว่าเพราะว่าคุณสามารถซูมไปที่ตัวแบบและเห็นอย่างชัดเจนถ้าคุณกำลังโฟกัสอยู่ ลองใช้มันเมื่อไรก็ตามที่มีโอกาสขณะที่มันยอมให้การควบคุมอยู่เหนือการโฟกัส ซึ่งมันไม่ค่อยจะเป็นไปได้

9. จำไว้ว่าคุณต้องทำมากกว่า

สิ่งหนึ่งที่สวยงามเกี่ยวกับการถ่ายภาพดิจิตอลคือ การถ่ายภาพแบบอิสระ ถ้าปราศจากการเคลื่อนย้ายภาพที่อยู่ด้านหน้าของคุณ คุณก็มีอิสระในการทำที่มากกว่าใช้ความเป็นอิสระในการถ่ายภาพ ดูภาพที่ได้ในจอ LCD และถ้ามันไม่อยู่ในโฟกัสก็ให้ถ่ายใหม่อีกครั้ง ถ้ากล้องยังยอมให้ถ่ายภาพได้อยู่ และซูมดูภาพที่ได้เข้ามาดูให้เห็นรายละเอียดชัดๆ และดูว่ามันเข้าจุดโฟกัสหรือไม่

สรุป  คำแนะนำนี้จะช่วยคุณตั้งการโฟกัสถ่ายภาพในตอนกลางคืนหรือเมื่อคุณอยู่ในที่มืด ในความเป็นจริงบางคำแนะนำในที่นี้ก็ช่วยในการถ่ายภาพตอนกลางวันด้วยเมื่อกล้องคิดว่ามันอยู่ในที่มืด เพราะว่าคุณใช้แผ่นฟิลเตอร์ 10 stop Neutral density ลองดูเมื่อคุณออโต้โฟกัสแต่มันหาโฟกัสไม่เจอ คุณสามารถที่จะโฟกัสได้ในทุกๆ สถานการณ์

26
 จะหลีกเลี่ยงและลดน้อยส์ในภาพอย่างไร

โพสโดย Barry J Brady แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-avoid-and-red…/

การลดน้อยส์ในภาพของคุณสามารถสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ของคุณภาพ ภาพถ่าย
เราได้เห็นภาพของเราซึ่งการที่มีผิวที่ไม่เรียบทำให้ภาพของเราดูไม่น่าดึงดูด ในสมัยของยุคฟิลม์ น้อยส์ เราเรียกมันเป็น เกรน และมันดูดีกว่า (คำว่า เกรน ดูเป็นคำพูดที่ดี) แต่ในยุคของดิจิตอล น้อยส์ เทียบได้กับภาพที่ดีสามารถทำให้ดูแย่ได้ คำถามแรกที่เราต้องการคำตอบคือ....
น้อยส์คืออะไร?
พูดกันตรงๆ น้อยส์คือสิ่งที่เบี่ยงเบนของตัวพิกเซล หมายความว่า พิกเซลไม่สามารถระบุสี หรือค่าแสงของภาพได้อย่างถูกต้อง คำถามถัดไปคือ...
น้อยส์เกิดขึ้นเมื่อไร?
น้อยส์จะเกิดขึ้นในภาพของคุณเมื่อคุณถ่ายภาพที่มีการเปิดค่ารับแสงนานๆ หรือถ่ายด้วยค่า ISO สูงๆ นั้นหมายความว่าคุณไม่ควรถ่ายภาพอะไรที่ใช้ค่า ISO ที่สูงเกินกว่า 100 หรือถ่ายแบบเปิดค่ารับแสงนานๆ งั้นหรือ? เปล่าเลย...มันมีบางเวลาที่คุณต้องการมัน หรือต้องการที่จะถ่ายภาพในสภาพแบบนั้น ช่างภาพวิวทิวทัศน์จะถ่ายในสภาพแสงน้อยตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญที่ควรรู้คือ จะหลีกเลี่ยงอย่างไรไม่ให้มีน้อยส์มากเกินไปในภาพและเราจะรับมืออย่างไรกับการปรับแต่งภาพภายหลัง
ลองมาเริ่มกับ เราจะทำอย่างไรให้ได้น้อยส์ที่น้อยที่สุดในภาพถ่ายของเราเป็นลำดับแรก.....

1. การลดน้อยส์ในกล้อง

การถ่ายโดยใช้ค่า ISO ที่ต่ำที่สุด

ถ้ากล้องของคุณมีอายุสามปี หรือใหม่กว่า ระบบ ISO จะดีมาก คุณไม่ควรจะเห็นน้อยส์เยอะบนภาพถ่ายของคุณ แม้ว่าจะปรับค่า ISO ไปถึง 1000 อย่างไรก็ตามมันยังคงมีน้อยส์อยู่ดีเมื่อคุณปรับค่า ISO มากขึ้น เพื่อให้คุณสามารถตั้งค่ารับแสงได้ การถ่ายด้วยค่า ISO ที่ต่ำหมายความว่าคุณจะได้น้อยส์ที่น้อยในภาพถ่ายของคุณ การตั้งค่า ISO ที่สูงเป็นการบอกให้เซนเซอร์ของกล้องคุณจับรวมกลุ่มของพิกเซลไว้ด้วยกันเพื่อให้ได้การรับแสงที่มากขึ้น การรวมกลุ่มเหล่านี้จะมีผลที่ทำให้ภาพของคุณดูเป็นเม็ดหยาบๆ และน่ารำคาญ
ดังนั้น เราจะหลีกเลี่ยงการถ่ายภาพที่มีค่า ISO สูงอย่างไร? ถ้าเป็นไปได้ ให้คุณเปิดค่ารูรับแสงให้กว้างที่สุด เช่น ค่า f/2.8 ถ้าคุณถ่ายในสภาพแสงน้อย ใช้ขาตั้งกล้องถ้าเป็นไปได้ หรือคุณควรใช้แฟลช ถ้าไม่ใช่ทางเลือกเหล่านี้ที่ทำให้ค่ารับแสงที่ถูกต้อง ดังนั้นคุณก็ต้องเพิ่มค่า ISO ให้สูงขึ้น ลองทดสอบถ่ายดูก่อนเพื่อดูว่าระดับค่า ISO ไหนในกล้องของคุณที่เริ่มจะทำให้ภาพของคุณมีคุณภาพที่แย่ลง ในหลายๆปีผมถ่ายด้วยกล้อง Nikon D80 และผมรู้ว่าเมื่อตั้งค่า ISO ที่เกิน 500 มันยากที่จะใช้มัน เพราะว่าน้อยส์กลายเป็นสิ่งที่ยากในการเอามันออกไปจากภาพ แม้ว่าจะใช้ซอฟท์แวร์จากค่ายไหนก็ตาม และถ้าเอามันออกไปได้ภาพจะดูเหมือนภาพวาดสีน้ำซึ่งเกิดจากผลการปรับค่าน้อยส์ที่มากเกินไป ดังนั้นผมจะต้องรู้ว่าข้อจำกัดของกล้องผมและใช้ภายในข้อจำกัดนั้น

ถ่ายภาพในรูปแบบของ RAW

ผมรู้คุณจะรู้สึกหวั่นๆโดยการถ่ายภาพแบบ RAW แต่คุณก็ไม่ต้องการแบบนั้น RAW เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับภาพถ่าย ให้แน่ใจว่าได้ใช้มัน คุณไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพ RAW ตลอดเวลา แต่เมื่อคุณสังเกตว่าแสงเริ่มจะน้อยและดูมืดๆ ให้เปลี่ยนมาถ่ายเป็น RAW เหตุผลคือ ภาพ JPEG มันจะถูกบีบอัด มันหมายถึงว่ามันมีน้อยส์บางแล้ว และมันคือสิ่งที่เรียกว่า JPEG artefact ในภาพ ถ้าคุณกำลังใช้ค่า ISO ที่สูงกับไฟล์ JPEG น้อยส์จะยิ่งแย่ลงไปอีก ดังนั้นในการปรับแต่งภาพ ไฟล์ RAW จะมีความยืดหยุ่นในการเอาน้อยส์ออกไป และเพิ่มค่าการรับแสงมากกว่าไฟล์ JPEG
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....โปรแกรม Adobe Photoshop Camera RAW เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการลดค่าน้อยส์)

ตรวจสอบค่ารับแสง

เมื่อกล้องดิจิตอลได้เข้ามาสู่ตลาดตอนแรกๆ พวกมันมีการปรับค่าไฮทไลท์ที่แย่ ช่างภาพหลายคน (รวมถึงผมด้วย) จะพยายามถ่ายภาพให้ underexpose เพื่อที่จะเก็บค่ารายละเอียดของไฮทไลท์เอาไว้ มันหมายถึงว่าส่วนที่เป็นเงาจะดำมืดและคุณจะดึงมันขึ้นมาด้วย Photoshop น้อยส์ก็จะปรากฎขึ้นชัดเจน นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ และในยุคใหม่ๆ ของกล้องดิจิตอลจะรับมือในเรื่องของไฮทไลท์และเงาได้ดีกว่า ผลก็คือว่า คุณสามารถได้ค่ารับแสงที่ถูกต้องปราศจากความกลัวที่จะมีน้อยส์ในส่วนที่เป็นเงา หรือปัญหาในส่วนไฮทไลท์ ความจริงแล้วคุณสามารถปรับ overexpose ได้นิดหนึ่งเพื่อจะให้ส่วนที่เป็นเงาสว่างกว่าปกติและและคุณจะดึงค่าไฮทไลท์ลงได้ใน Photoshop ผมก็กำลังทำสิ่งเหล่านี้ในปัจจุบันและมันน่าทึงมากว่ารายละเอียดมากมายที่ตัวเซนเซอร์ใหม่ๆสามารถจับได้ในส่วนของไฮทไลท์ ระวังอย่าปรับ over มากเกินไป สังเกตว่าคุณต้องไม่ตัดไฮทไลท์ที่เป็นรายละเอียดที่ทำให้เสียในส่วนที่ดีไป

ให้ระวังเมื่อทำการถ่ายภาพที่เปิดค่ารับแสงนานๆ

การเปิดค่ารับแสงที่นานสร้างภาพที่ดูมีชีวิตชีวาได้ แต่ถ้ามันเปิดนานเกินไป ตัวเซนเซอร์ของกล้องสามารถสร้างความร้อนและพิกเซลจะแสดงค่าสีที่ไม่ถูกต้องและการรับแสง คุณสามารถเปิดค่ารับแสงนานๆ ได้ แต่ให้ระวังเรื่องการรับมือของกล้องที่ต้องเปิดค่ารับแสงนานด้วย ภาพจะมีเม็ดหยายๆ เยอะไหม? ทดสอบมันดูและดูว่ากล้องของคุณเริ่มที่จะต่อต้าน ให้แน่ใจว่าคุณไม่ถ่ายภาพเปิดค่ารับแสงที่นานกว่าที่กล้องของคุณจะทำงานได้ สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญคือคุณต้องรู้ข้อจำกัดของอุปกรณ์และการถ่ายที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัด นี้คือสิ่งที่จะมั่นใจว่าได้ภาพที่ดีและง่ายต่อการปรับแต่งแก้ไข
(ดูภาพในเว็ปไซต์ต้นฉบับ.....การถ่ายภาพแบบเปิดค่ารับแสงนาน สามารถเน้นน้อยส์ในภาพได้)

ใช้ค่าการลดน้อยส์ในกล้อง

ในกล้องส่วนใหญ่จะมีฟังก์ชั่นที่เรียกว่า High ISO Noise Reduction หรือ Long Exposure Noise Reduction มันเป็นความคิดที่ดีในการเปิดใช้งานพวกมันถ้าคุณต้องถ่ายภาพที่ใช้ค่า ISO สูงๆ หรือเปิดค่ารับแสงนานๆ เหตุผลของมันคือ เมื่อภาพถูกถ่ายไปแล้ว กล้องจะทำการวิเคราะห์และมองหาพิกเซลที่มีค่าไม่ถูกต้อง มันจะทำการแก้ไขพิกเซลที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้น มันใช้เวลาบ้าง ขึ้นอยู่กับค่าของเวลาการเปิดรับแสงตอนถ่าย ดังนั้นถ้าคุณถ่ายภาพที่ยาวเท่ากับ 30 วินาที กล้องจะใช้เวลาการวิเคราะห์และแก้ไขเท่ากับ 30 วินาทีเช่นกัน สิ่งนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่ามีประสิทธิภาพในการนำมาใช้งานถ้าคุณถ่ายมันที่ 10 นาที แต่มันก็แย่เหมือนกันถ้าถ่ายในช่วงเวลาการเปิดรับแสงที่สั้นกว่า ถ้าคุณมีเวลาลองถ่ายมันในการเปิดรับแสงที่นานโดยที่มันสามารถพัฒนาคุณภาพของภาพถ่ายได้
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ.....ภาพถ่ายที่ใช้การลดค่าน้อยส์ในกล้องสำหรับการเปิดค่ารับแสงนที่ยาวและสภาพแสงที่น้อย)

2. การแก้ไขค่าน้อยส์ในโปรแกรม Lightroom หรือ Photoshop

เมื่อคุณได้ถ่ายภาพมาแล้ว คุณต้องที่จะเปิดภาพเหล่านั้นในโปรแกรม Lightroom หรือ Photoshop เพื่อจะดูภาพว่าเป็นอย่างไร มันเป็นความคิดที่ดีในการขยายภาพของคุณที่ 100% เพื่อดูรายละเอียดของน้อยส์ในภาพ เมื่อคุณเริ่มปรับแต่งให้แน่ใจว่าคุณขยายภาพมาดูที่ 100% (อัตราส่วน 1:1 ในโปรแกรม Lightroom) แต่ให้ลดการขยายภาพให้เห็นภาพเต็มเพื่อให้แน่ใจว่า ภาพรวมทั้งหมดดูดีแล้ว

ขบวนการขั้นตอนในการลดน้อยส์ในโปรแกรม Lightroom และ Photoshop Camera RAW

การควบคุมในโปรแกรม Lightroom และ Photoshop Camera Raw จะเหมือนกัน ข้างล่างนี้คือภาพรวมการปรับแต่งค่าและการใช้มันอย่างไร ในโปรแกรม Lightroom คุณจะพบเครื่องมือการปรับค่าน้อยส์ในโมดุลของ Develop และในส่วนหัวเรื่องของ Camera RAW คุณจะพบแท็ปที่สามทางด้านขวามือของจอ มันคือรายละเอียดของแท็ป
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...ตัวสไลด์ที่ควรจะทำการปรับ)
ตัวสไลด์การลดค่าน้อยส์ใน Photoshop Camera Raw เหมือนกันกับใน Lightroom

ค่า Luminance (ระดับความเข้มของแสงสว่าง)

การลดค่าน้อยส์ของ luminance ซึ่งค่าน้อยส์เกิดมาจากแสงที่มี pixel over หรือ under ซึ่งมันสามารถพบได้บ่อยๆเมื่อเปิดค่ารับแสงนานๆ

ค่า Luminance Detail (รายละเอียดของระดับความเข้มของแสงสว่าง)

การควบคุมค่าเริ่มต้นของ luminance noise สิ่งนี้ดีสำหรับภาพที่มีน้อยส์มาก ค่าที่สูงในการปรับจะคงรายละเอียดไว้มากกว่าแต่สามารถผลิตน้อยส์เยอะกว่าด้วย ค่าที่ต่ำลงจะให้ความสะอาดของภาพแต่มันจะทำให้รายละเอียดบางอย่างหายไปด้วยเช่นกัน

ค่า Luminance Contrast (ความเปรียบต่างของค่าความเข้มของแสงสว่าง)

การควบคุมความเปรียบต่างของค่าความเข้มของแสง มีประโยชน์กับภาพที่มีน้อยส์ ค่าที่สูงในการปรับจะคงความเปรียบต่าง แต่มันสามารถผลิตรอยจุดด่างหรือแต้ม ค่าที่ต่ำในการปรับจะให้ความราบเรียบแต่จะมีความเปรียบต่างน้อย

สี

ลดค่าน้อยส์ที่เป็นสี สิ่งนี้บ่อยครั้งที่สังเกตได้ในภาพที่มีเงาในภาพ ซึ่งเกิดจากถ่ายแบบ underexposed

รายละเอียดของสี

การควบคุมรายละเอียดของน้อยส์ที่เป็นสี ค่าที่สูงในการปรับจะป้องกันความบางในรายละเอียดของขอบสี แต่สามารถสร้างสีที่เป็นแต้มจุดได้ ค่าที่ต่ำในการปรับจะนำเอาจุดแต้มสีออกไปแต่สามารถทำให้สีซึมออกมา

ความราบเรียบของสี

ตัวสไลด์ในการควบคุมความราบเรียบของสีในภาพ สิ่งนี้จะมีประโยชน์ถ้าคุณยังคงมีสีที่ไม่ปกติในภาพหลังจากที่คุณได้ทำการปรับจากตัวเลือกด้านบนมาแล้ว ใช้สิ่งนี้เป็นตัวจบในการลดค่าน้อยส์ในงานของคุณ

บทสรุป

ไม่มีมาตราฐานในการปรับแต่งที่จะทำงานกับทุกๆ ภาพถ่าย คุณจะต้องเลื่อนสไลด์แต่ละการปรับแต่งจนกระทั่งคุณพบผลลัพท์ที่คุณพอใจและดูว่ามันเปลี่ยนแปลงที่มีปฎิกิริยาต่อกันอย่างไร ผมจะเลื่อนสไลด์ค่า Luminance และ Color ไปประมาณที่ 50 และใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการปรับแต่ง ผมจะเลื่อนแต่ละตัวเลือกขึ้นและลงอย่างระมัดระวังเพื่อดูสิ่งที่มีผลกระทบกับรูปภาพ ครั้นเมื่อผมพอใจกับการปรับแต่งแล้ว ผมก็จะไปปรับแต่งในตัวอื่นต่อไปจนจบกระบวนการ ผมทำแบบนี้ในขณะที่ผมก็ซูมภาพเข้ามาดูที่ 100% และหลังการปรับแต่งแต่ละตัว ผมจะซูมออกไปเพื่อดูภาพรวมถึงผลที่ได้ในภาพ ฟังดูแล้วน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้ามันเสร็จตามขั้นตอนคุณจะสามารถกำจัดพวกน้อยส์กับภาพอื่นๆ ได้ง่ายๆ การฝึกฝนคือสิ่งสำคัญลองทำกับภาพต่างๆ ที่คุณสามารถทำได้และในไม่ช้าคุณจะสามารถคาดการณ์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงได้เลย

27
 ใช้ LAB Color ใน Photoshop อย่างไรเพื่อดึงเอาสีที่ไม่ต้องการในภาพออกไป

โพสโดย Jim Hamel แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/use-lab-color-photos…/

ในบทความก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ LAB Colorspace ผมได้ครอบคลุมถึง LAB ขั้นพื้นฐานเพื่อเพิ่มสีสรรของภาพ หวังว่าคุณคงได้ไอเดียของพลัง LAB Colorspace ในการปรับสีที่เหมาะสมใน Photoshop ในบทความนี้เรากำลังทำบ้างอย่างเพียงเล็กน้อย ขณะที่บทความที่แล้วเราใช้ LAB ขั้นพื้นฐานในการปรับสีเพิ่มขึ้น เวลานี้เราจะได้สีที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าการเอาสีที่ไม่ต้องการออกจากภาพโดยใช้ LAB ในหลายๆทางการทำแบบนี้ใน LAB จะง่ายมากกว่า และมีพลังมากกว่าในการทำแบบปกติใน RGB colorspace

การตั้งค่า

การเอาสีที่ไม่ต้องการออกและการปรับสีให้เหมาะสมจะเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับคุณเมื่อคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำงานของ LAB colorspace มาบ้างแล้ว เริ่มต้นให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจว่าอะไรคือ LAB colorspace เมื่อคุณเข้าใจว่า LAB colorspace ทำงานอย่างไร ทุกๆ สิ่งมันจะง่ายมาก
LAB ย่อมาจากคำว่า Lightness, A channel และ B channel ตัว L channel จะควบคุมเรื่องความสว่าง และเราจะไม่ได้ทำงานกับมันสำหรับวัตถุประสงค์ในบทความนี้ สีทั้งหมดที่อยู่ใน LAB colorspace คืออยู่ใน A และ B channel ตัว A channel จะประกอบไปด้วยสีเขียวและสีแดงม่วง ส่วน B channel จะประกอบไปด้วยสีฟ้า และสีเหลือง ฮิสโตแกรมของทั้งสอง channel มีความเหมือนกันคือมียอดแหลมอยู่ตรงกลางของฮิสโตแกรม เพราะ LAB คือพื้นที่สีที่กว้าง มันจะมีพื้นที่ว่างๆในแต่ละข้างของฮิสโตแกรม ขณะที่คุณเห็นในบทความที่แล้ว ค่าพื้นที่ว่างเปล่าคือสิ่งที่เป็นโอกาสในการเพิ่มค่าสีที่มีผลใน LAB colorspace
ตอนนี้เรามาดูที่ฮิสโตแกรมของ A channel กันก่อนซึ่งคุณสามารถเห็นว่ามันทำงานอย่างไร A channel จะรวมเอาสีเขียวและสีแดงม่วง ทางด้านซ้ายของฮิสโตแกรมจะเป็นส่วนของสีเขียว ในทางตรงกันข้ามทางด้านขวาของฮิสโตแกรม จะแสดงถึงสีม่วงแดง (ดูในภาพตัวอย่างประกอบ ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)

ส่วนที่อยู่ตรงกลางของฮิสโตรแกรมคือค่าโทนสีเทาโดยปราศจากค่าสีใดๆ มันจะแสดงค่าเป็นศูนย์ เมื่อคุณเลื่อนออกห่างจากค่าศูนย์ (จุดเทา)ของตรงกลาง สีจะถูกเพิ่มเข้าไป ถ้าไปทางซ้ายค่าจะเป็นตัวเลขติดลบ (ลงไปจนถึงค่า -128) และทำให้เราได้สีเขียวที่มากขึ้น ถ้าเราเลื่อนไปทางด้านขวาจะมีค่าเป็นเลขบวก (ไปถึงที่มากสุดคือ +127) และทำให้เราได้สีแดงม่วงมากขึ้น (ค่อนข้างไปทางสีชมพู)
มันทำงานเหมือนกันใน B channel เพียงแต่มีสีที่แตกต่างกันเท่านั้น ใน B channel เรายังคงเริ่มจากจุดกึ่งกลางที่มีค่าเป็นศูนย์ซึ่งหมายถึงว่ามันคือสีเทา ถ้าคุณเลื่อนไปทางซ้ายของฮิสโตแรกมจนถึง -128 สีจะเป็นสีฟ้า ขณะที่คุณเลื่อนไปทางขวาจนถึง +127 สีจะเป็นสีเหลือง
เส้นที่อยู่ตรงกลางของฮิศโตแรกมจะวิ่งตรงไปยังจุดศูนย์ในกึ่งกลางของทั้ง A และ B channel นี้คือสิ่งสำคัญสำหรับการวิเคราะห์และการปรับค่าสีให้ถูกต้อง ถ้าคุณยังอยู่กับผมมาแล้วทุกๆสิ่งจะง่ายจากตรงนี้ เวลานี้คุณสามารถเอาสิ่งที่เรียนรู้และเห็นว่าการวิเคราะห์และแก้ไขสีง่ายๆใน LAB

การพิสูจน์ค่าสีอย่างง่ายๆ

มันง่ายในการพิสูจน์ค่าสีในโหมด LAB เพียงแต่ดูใน A หรือ B channel ถ้าสีที่มากหรือน้อยจะกระจายไปทั้งสองข้างจากจุดกลางของฮิสโตแกรม ภาพของคุณจะไม่มีสีที่ไม่ต้องการ แต่ถ้าฮิสโตแกรมมีค่ากราฟไปทางซ้ายหรือขวาของฮิสโตแกรม คุณจะมีสีที่ไม่ต้องการเกิดขึ้น แหละนี้คือการทำงานของ A และ B channel
• ใน A Channel ถ้าสีออกไปทางด้านซ้ายมาก คุณจะได้สีเขียวเกิดขึ้นในภาพของคุณ ถ้ามันไปทางด้านขวา คุณจะมีสีม่วงแดงเกิดขึ้น
• คล้ายกัน ใน B channel คุณรู้ว่าถ้าฮิสโตแกรมแสดงกราฟไปทางซ้าย คุณจะมีสีฟ้าเกิดขึ้นในภาพของคุณ ถ้าค่าของกราฟไปทางด้านขวาของฮิสโตแกรม ภาพของคุณจะปรากฎมีสีเหลืองมาก
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ในลักษณะนี้ LAB colorspace จะทำให้ดูง่ายมากขึ้นถ้าคุณมีสีที่ไม่ต้องการ เพียงแต่ดูค่ากึ่งกลางของฮิสโตแกรมและถ้าสีอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง คุณก็รู้ว่าคุณมีสีอะไรที่เพิ่มเข้ามา สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะว่าสีที่ไม่ต้องการจะมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ยากมาก ดวงตาของคุณจะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เห็นในภาพในทางที่ควรจะเป็นและยอมรับว่ามันเป็นสิ่งปกติไม่ผิดสังเกตอะไร เวลานี้เรารู้วิธีการพิสูจน์สีที่ไม่ต้องการ ลองมาดูวิธีการแก้ไขกันบ้าง

การแก้ไขสีที่ไม่ต้องการใน LAB

พลังของ LAB colorspace มาจากการเลื่อนเข้าไปหาจุดปลายของแต่ละข้างของฮิสโตแกรม ในบทความที่แล้ว เราได้แยกสีซึ่งทำให้เกิดการเพิ่มสี เราเคลื่อนย้ายจุดปลายเข้าหาจุดกลางซึ่งมีค่าเหมือนกันในแต่ละข้างของฮิสโตแกรม การเพิ่มสีโดยปราศจากผลกระทบกับสีโดยรวมของภาพ เวลานี้เราจะเคลื่อนจุดปลายในค่าที่แตกต่างเพื่อแก้ไขสีที่ไม่ต้องการ
ตัวอย่างเช่น ภาพของคุณมีสีฟ้าที่ไม่ต้องการเกิดขึ้น เมื่อคุณเปิดด้วย B channel ยอดแหลมของกราฟสีจะไปทางซ้ายของจุดกลางในฮิสโตแรกม การแก้ไขมันคือเพียงแต่คุณเลื่อนจุดปลายทางขวาของฮิสโตแกรมมากกว่าทางด้านจุดปลายด้านซ้าย มันง่ายจริงๆ
ลองดูอีกหนึ่งตัวอย่าง คุณเปิด A channel ของภาพของคุณ และสังเกตว่าค่ากราฟเอียงไปทางซ้ายของจุดกลางบนฮิสโตแกรมนั้นหมายความว่าคุณมีสีเขียวที่ไม่ต้องการเกิดขึ้น การแก้ไขมันเพียงเลื่อนจุดปลายด้านขวาเพียงเล็กน้อย อย่าเลื่อนมากเพียงแค่ 3 ถึง 5 จุดก็จะมีผลกับสีที่ขยับออกไป

การพิสูจน์และการแก้ไขสีที่ไม่ต้องการ

สิ่งนี้จะทำให้ดูน่าเชื่อถือกว่าถ้าเราใช้ตัวอย่างจากภาพจริงๆ นี้คือตัวอย่างที่ดีของทุกสิ่งที่เรากำลังพูดถึงในบทความนี้ เราจะเริ่มกับภาพที่ผมได้ทำการปรับแต่ง
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
พูดตามตรงผมไม่เห็นสีที่ไม่ต้องการ อย่างไรก็ตาม ผมตัดสินใจตรวจสอบมัน ผมเปลี่ยนภาพ profile เป็น LAB เปิดดู Curves Adjustment Layer และมองดุที่ฮิสโตแกรมของ A และ B channel และนี้คือสิ่งที่ผมได้เห็น
(ดูภาพฮิสโตแกรมในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ทั้งสองฮิสโตแกรมใน LAB ฮิสโตแกรมทางด้านซ้ายคือ A channel และทางด้านขวาคือ B channel สังเกตทั้งสองฮิสโตแกรมว่ามันเอียงไปทางด้านขวาจะเส้นกึ่งกลาง มีคือสิ่งที่บอกว่ามีสีที่ไม่ต้องการในภาพ
สังเกตว่าใน A channel ค่าพิกเซลส่วนใหญ่จะซ้อนกันไปทางขวาจากเส้นกึ่งกลางบนฮิสโตแกรม นี้คือสิ่งบ่งชี้ว่ามีพิกเซลม่วงแดงมากกว่าสีเขียวในภาพ และสังเกตใน B channel ค่าพิกเซลก็จะซ้อนกันไปทางขวาของเส้นกึ่งกลางซึ่งหมายความว่ามีสีเหลืองอยู่มากกว่าสีฟ้าในภาพ ไม่ว่าทั้งสองจะมีมีค่าอย่างไรมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติในภาพ แต่มันอาจจะหมายถึงสีที่ไม่ต้องการ ดังนั้นลองมาปรับแก้ตามที่ได้บรรยายไว้ด้านบนและเลื่อนจุดปลายด้านซ้ายเพียงเล็กน้อยในแต่ละ channel นี้คือสิ่งที่ผมได้ปรับไปทั้งสอง channel
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...นี้คือฮิสโตแกรมหลังการปรับแล้ว สังเกตว่าผมได้ดึงจุดปลายด้านซ้ายแต่ละครั้งไปหาจุดกลาง)
ทั้งหมดที่ผมทำคือการดึงจุดปลายด้านซ้ายของแต่ละฮิสโตแกรมไปยังจุดกึ่งกลางเพียงเล็กน้อยแค่เปลี่ยนไป สามถืงห้าจุดจะมีผลกับการปรับเปลี่ยนมากมาย นั้นคือสิ่งที่ผมได้ทำไป ในตัวเลขด้านล่างของฮิสโตแกรมที่เป็นผลจากการปรับเปลี่ยน ผมได้ทำการปรับเปลี่ยนตามนี้
• A Channel ผมได้ดึงจุดปลายด้านซ้ายไปยังจุดกลางแค่สี่จุด จาก -128 ไป ยัง -124
• B Channel ผมได้ดึงจุดปลายด้านซ้ายไปยังจุดกลางแค่ห้าจุด จาก -128 ไปยัง -123
หลังจากที่ผมปรับไปแล้ว นี้คือผลลัพท์ที่ได้ในภาพนี้ (ดูภาพตัวอย่างประกอบคำบรรยาย ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ผมคิดว่ามันดูดีกว่าเดิมแล้วตอนนี้ สำหรับผมมันมีสีที่ไม่ต้องการที่ผมมองไม่เห็น การเปลี่ยนแปลงซึ่งเบาลาง แต่มีความสำคัญ โดยเฉพาะลองดูที่ก้อนเมฆ นี้คือภาพก่อนและหลังเทียบข้างกัน (ดูภาพตัวอย่างประกอบคำบรรยาย ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ภาพต้นฉบับอยู่ทางด้านซ้าย ภาพด้านขวาคือการปรับแก้ใน LAB ผมไม่เห็นสีที่ไม่ต้องการในภาพต้นฉบับ แต่ผมคิดว่ามันดูดีกว่าหลังจากการปรับ
การรวมกันเข้าเป็น LAB ในการเคลื่อนย้ายสี
บางครั้งคุณจะสังเกตุว่า ยอดแหลมใน A หรือ B channel คือด้านหนึ่งของจุดหนึ่งของฮิสโตแกรม แต่คุณไม่ต้องการเปลี่ยนสีทั้งหมดของภาพ มันยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณกำลังปรับสีใน LAB ถ้าคุณละเลยไม่เปลี่ยนข้างหนึ่งหรืออีกข้างหนึ่งเมื่อคุณเลื่อนจุดปลายโดยมีค่าเท่ากัน คุณอาจจะสีดูแย่ลง อย่างไรก็ดีให้คุณดูที่ฮิสโตแกรมของคุณและพยายามทำการปรับค่ารอบๆจุดแหลมมากกว่าบนจุดกึ่งกลางของฮิสโตแกรม ในอีกทางหนึ่ง ถ้าพิกเซลอยู่ด้านขวาของฮิสโตแกรม เลื่อนจุดปลายด้านซ้ายเพียงเล็กน้อย (หรือในทางกลับกัน) ในลักษณะนี้คุณสามารถทำการปรับสีใน LAB แบบปกติ แต่อย่างน้อยไม่เพิ่มสีที่ไม่ต้องการในภาพของคุณ

ทำไมเราไม่ปรับทำใน RGB?

คุณอาจจะกำลังถาม ผมไม่สามารถปรับสีที่ไม่ต้องการใน RGB ไม่ได้หรือ? คำตอบ แน่นอนทำได้ครับ แต่ LAB colorspace มีข้อดีซึ่งผมต้องการให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจกระจ่าง
สิ่งแรกเพราะว่า LAV ได้แยกเรื่องแสงออกจากการปรับเรื่องสีทั้งหมด LAB ยอมให้คุณแก้ไขสีโดยปราศจากผลกระทบกับความสว่างหรือความเปรียบต่าง สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ใน RGB เมื่อคุณปรับที่สีแดง สีเขียว หรือ ฟ้าใน RGB คุณจะได้รับผลกระทบกับความสว่างไปด้วย มันผูกกันแน่นใน RGB
สอง LAB มันง่ายกว่าในการพิสูจน์สีที่ไม่ต้องการ เหมือนที่คุณเห็นอยู่ด้านบน คุณเพียงแค่เปิด A หรือ B channel และดูถ้ายอดแหลมเอียงไปด้านหนึ่งของฮิสโตแกรม ถ้ามันเป็นอย่างนั้น คุณจะมีสีที่ไม่ต้องการเกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่ คุณก็ไม่ต้องทำอะไร ใน RGB คุณต้องเปรียบเทียบ channel และคุณต้องดูว่า channel อันหนึ่งเทียบกับอีกสอง channel
ทำไมไม่เหมือนกับการปรับค่า white balance?
คุณอาจจะเคยสังเกตว่า LAB colors มีลักษณะคล้ายกับตัวสไลด์ใน Lightroom หรือ Adobe Camera RAW (ACR) ซึ่งใช้ในการปรับ white balance ในรูปภาพของคุณ คุณสามารถคิดถึง LAB ในรูปแบบเดียวกันได้และมันอาจจะทำให้คุณเข้าใจว่าสีทำงานร่วมกันอย่างไร แต่การใช้ LAB ปรับเปลี่ยนสีมีข้อเสนอที่เป็นข้อดีเหนือกว่าการปรับใน white balance สิ่งหนึ่งคุณสามารถเปลี่ยนสีทีหลังในขบวนการทำงานปรับแต่งของคุณได้ และมันก็ไม่ได้เป็นการบังคับให้ทำด้วย อีกสิ่งหนึ่ง คุณสามารถใช้ข้อดีของ Photoshop layer และเลือกในการปรับเปลี่ยนสี แม้ว่า Lightroom และ ACR จะมีเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการปรับค่า white balance ก็ตาม เหมือนกับ ตัวเลือก white balance (ตัวรูป dropper เล็กๆในแถบเครื่องมือ) หรือตัว presets มันไม่มีฮิสโตแกรมที่ให้คุณได้เห็นการปรับเปลี่ยนของคุณ

การนำสิ่งนี้ไปใช้กับขบวนการทำงานของคุณ

เทคนิคอะไรก็ตามที่แสดงในบทความนี้ที่คุณทำได้ คือสิ่งธรรมดาของ LAB color ในบทความที่แล้ว ผมได้แสดงให้คุณเห็นว่าการปรับเปลี่ยน LAB color ในขั้นพื้นฐาน ไม่ต้องคิดอะไรมาก การปรับจุดปลายของ A และ B channel โดยมีค่าที่เท่ากัน มันดูเหมือนว่าการปรับครั้งเดียวใช้ได้กับทุกๆ สถานการณ์ซึ่งมันใช้ไม่ได้กับภาพถ่าย เวลานี้คุณสามารถใช้การปรับสีที่เหมาะสมเพียงเล็กน้อย หรืออย่างน้อยก็ไม่ทำให้แย่ลงไปกว่านี้ในขณะที่คุณกำลังแก้ไขปรับแต่งภาพ
ผมได้พูดถึงการปรับสีที่ถูกต้องเหมือนกับว่ามันมีหนทางพิเศษที่ถูกต้อง แต่แน่นอนละมันไม่จริงเสมอไปและอะไรก็ตามเป็นสิ่งที่มันดูดีสำหรับผมมันอาจจะไม่เหมือนสิ่งที่ดูดีสำหรับคุณ ใช้การตัดสินใจของคุณเองและทำในสิ่งที่คุณเห็นว่ามันถูกต้องในทางของคุณ ขณะที่คุณปรับแต่ง คุณอาจจะต้องการเอนเอียงไปในทางหนึ่งหรืออีกทางหนึ่งก็ได้ จำไว้ว่าบางครั้งสีที่ไม่ต้องการสามารถเพิ่มผลที่เกิดขึ้นหรืออารมณ์ของภาพได้ บางครั้งการปรับเพียงเล็กน้อยของสีที่ไม่ต้องการก็ทำให้ภาพดูดีได้ ตัวอย่างเช่น สีโทนอุ่นถูกสร้างโดยสีเหลืองหรือสีแดงม่วงซึ่งสามารถเพิ่มในภาพของคุณได้ด้วย บางครั้งถ้ามีสีฟ้าก็ทำให้ภาพดูเหมาะเจาะ จำไว้ว่าสีเขียวไม่ทำให้ภาพดูดีและควรจะหลีกเลี่ยง ผมรู้ว่ามันทำให้เกิดความสับสนว่าสีไหนอยู่ข้างไหน และจะแก้ไขพวกมันอย่างไรใน LAB colorspace ลองทำมันแบบง่ายๆ สำหรับคุณ และนี้คือผัง (ดูภาพผังประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)

บทสรุป

LAB colorspace เป็นเครื่องมือที่มีพลัง ก่อนหน้านี้คุณได้เรียนว่าจะปล่อยพลังโดยใช้ LAB ขั้นพื้นฐานอย่างไร การใช้เทคนิคในบทความนี้ช่วยให้คุณควบคุมสิ่งที่เลวร้ายให้อยู่ในมือคุณได้เพียงเล็กน้อย มันจะยอมให้คุณใช้พลังของ LAB โดยปราศจากการได้สีที่ฉูดฉาดหรือสีที่ไม่ต้องการในภาพของคุณ มันจะยอมให้คุณแก้ไขสีที่ไม่ต้องการอย่างง่ายมากกว่าในการทำบน RGB ลองทำดูและดูว่ามันแก้ไขสีของคุณได้

28
 ใช้ LAB Color ใน Photoshop อย่างไรที่จะเพิ่มเข้าไปในภาพของคุณ

โพสโดย Jim Hamel แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-use-lab-color…/

คุณเคยปรารถนาที่จะแผ่กระจายจานสีในภาพของคุณไหม? หรือคุณสามารถแยกสีต่างๆที่ดูแบนหรือใกล้เคียงกันได้?
สำหรับ Photoshop คุณสามารถทำได้ โดยการเปลี่ยนภาพของคุณกับบางสิ่งที่เรียกว่า LAB color space และการปรับสีจากที่นั้น ฟังดูแล้วซับซ้อนยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วมันธรรมดามาก ถ้าคุณเคยปรับภาพด้วย Levels หรือ Curves คุณได้รู้ทุกสิ่งที่คุณต้องการรู้เพื่อให้สิ่งนี้สำเร็จได้
(ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....ภาพด้านซ้านคือภาพ RAW ไฟล์ที่ไม่ได้ทำการปรับแต่ง ส่วนภาพด้านขวาที่เหมือนกันแต่ได้รับการปรับค่า curves ใน LAB color space
ในบทความนี้ คุณจะเรียนรู้สองสิ่ง หนึ่ง คุณจะเรียนห้าขั้นตอนง่ายๆเพื่อแยกสีโดยใช้ LAB color คุณสามารถทำตามขั้นตอนโดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไรและมันจะทำงานอย่างดีสำหรับคุณ สอง หลังจากทำตามขั้นตอนแล้ว คุณจะเห็นว่ามันทำงานอย่างไร ในทางนั้น ถ้าคุณต้องการนำไปใช้กับภาพของคุณในแบบของคุณมันจะช่วยคุณได้

การเคลื่อนที่ของ LAB Color

เราลองมาเข้าสู่ขั้นตอนของ “การเคลื่อนที่” มีอยู่ห้าขั้นตอนในกระบวนการนี้ แต่ละขั้นตอนมันง่ายและสามารถทำเสร็จได้เพียง 30 วินาที หรือน้อยกว่านั้น
1. เปลี่ยนเป็น LAB Colorspace
ขั้นแรก คุณต้องเปลี่ยนภาพของคุณไปเป็น LAB color space ในการทำคือให้คลิ๊ก “Edit” บนแทบเมนูด้านบน และเลือก “Convert to Profile” เมื่อทำเสร็จแล้วจะมีหน้าต่างปรากฎขึ้นมา จากตัวเลือก drop-down ให้เลือก LAB color เป็นอันเสร็จขั้นตอน (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
เวลานี้ ภาพของคุณยังดูเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน การเปลี่ยนคือวิธีการอ่านสีของ Photoshop ในรูปของคุณ (มีเพิ่มเติมเรื่องนี้อีก)
2. สร้าง Curves Adjustment Layer
ขั้นถัดไป คุณจะต้องสร้าง curves adjustment layer มีหลายทางที่จะทำสิ่งนี้แต่ถ้าคุณไม่มีวิธีของคุณเอง ให้คลิ๊กไปที่ “Layer” ในแทบเมนูด้านบน แล้วเลือก “New Adjustment Layer” และเลือก “Curves” และคลิ๊ก OK ในหน้าต่างที่ปรากฎขึ้นมา (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
3. ลากจุด Endpoints ของ A Channel
ทุกๆสิ่งต้องมีการทำในเบื้องต้นก่อนที่คุณจะถึงจุดนี้ และคุณยังไม่ได้มีการเปลี่ยนภาพของคุณ คุณต้องเปลี่ยนเป็น LAB color space และสร้าง adjustment layer ก่อน และจากนี้จะเริ่มสนุกกันแล้ว
คุณจะเห็นเมนูใกล้บนสุดของ adjustment layer และในตัวเลือกปัจจุบันจะเป็น “Lightness” ให้คลิ๊กไปที่มันและคุณจะเห็นตัวเลือก สามตัว The Lightness (หรือ L), A channel, และ B channel ให้เลือก A channel
คุณจะสังเกตเห็นทันทีว่าภาพฮิสโตแกรมได้เปลี่ยนไป โดยส่วนใหญ่กราฟมันจะเป็นยอดแหลมอยู่ตรงกลาง อย่าไปกังวล นั้นคือสิ่งที่ค่าฮิสโตแกรมส่วนใหญ่จะเป็นใน LAB color
สิ่งที่คุณต้องทำคือ การจับไปที่จุดด้านซ้าย (สีดำ) และลากมันไปตรงกลางของฮิสโตแกรมเพียงเล็กน้อย ไม่มีค่าแน่นอนในการเลื่อนมัน แต่ถ้าคุณกำลังมองหาค่าแนะนำมัน คือการเลื่อนไปที่ตัวเลขมันขึ้น -90 ภาพของคุณจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวที่ดูน่าเกลียดแต่ไม่ต้องกังวลไป เวลานี้ให้คุณไปที่จุดด้านขวาสุด (สีขาว)และลากมันไปทางด้านซ้าย ในความเป็นจริงแล้ว การลากมาทางด้านซ้ายมันก็เหมือนกับการลากจุดด้านซ้ายมาทางขวานั่นแหละ คุณสามารถใส่ตัวเลขด้านล่างลงไปเลยเพื่อให้การเคลื่อนที่ของแต่ละข้างมีค่าเท่ากัน (ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อประกอบคำบรรยาย)
สิ่งนั้นมันช่วยแก้ปัญหาเรื่องสีเขียว แต่อย่ากังวลมากไปเกี่ยวกับภาพที่ดูว่ามันดีแล้วตอนนี้ ให้เราไปในส่วนที่สองของ LAB
4. ลากจุด Endpoints ของ B Channel
อะไรที่คุณต้องทำในขั้นตอนนี้คือ การทำแบบเดียวกับที่คุณทำมาแล้วด้านบน แต่เวลานี้ให้คุณไปปรับที่ B channel แทน ดังนั้นให้คุณกลับไปที่เมนูซึ่งอ่านค่าเป็น “A” channel อยู่ ให้คลิ๊กและเลือกเป็น “B” channel
เหมือนกับที่ทำไปแล้วในขั้นตอนด้านบน เพียงแต่คุณลากจุดไปตรงกลางของฮิสโตแกรม ให้จับจุดด้านซ้าย (สีดำ) แล้วลากไปตรงกลางเพียงเล็กน้อย ภาพของคุณจะเปลี่ยนไปทางสีฟ้าแต่ไม่ต้องกังวลมัน ให้จับจุดด้านขวาและลากมาทางด้านซ้ายให้ได้ค่าเหมือนกับที่ลากจากด้านซ้ายมาทางขวามือ อีกครั้งหนึ่ง ให้ใส่ค่าตัวเลย 90 ซึ่งเป็นค่าประมาณที่คุณต้องการเลยก็ได้
5. ตรวจสอบค่าที่คุณปรับด้วยมือ
เวลานี้คุณจะเห็น “ก่อน” และ “หลัง” ของภาพที่คุณปรับ นี้คือสิ่งที่มีประโยชน์ของการทำงานเป็น layers (ดูภาพประกอบคำบรรยายในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...ทางด้านขวามือบนจอภาพที่ layer ของคุณปรากฎอยู่ คุณจะเห็นลูกตาเล็กๆที่อยู่ด้านซ้ายของแต่ละ layer สำหรับ curves adjustment layer ที่คุณสร้างขึ้นมา ให้คลิ๊กไปที่ลูกตานั้น เมื่อลูกตานั้นหายไป คุณจะเป็นภาพก่อนที่ทำการปรับแต่ง และเมื่อคลิ๊กที่ลูกตาอีกครั้งคุณก็จะเห็นภาพที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง...ภาพด้านซ้ายคือ ลูกตาเปิดอยู่ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนของภาพจะแสดงให้เห็นอยู่ ภาพด้านขวา ลูกตาได้ถูกเลือก ดังนั้นภาพที่ไม่มีการปรับแต่งจะแสดงขึ้นมาแทน)
คุณเห็นไหมว่า ระดับของสีได้เพิ่มขึ้นอย่างไร? สีที่ปรากฎจะมีความเข้มและเจิดจ้า ถ้าคุณไม่สังเกตเห็นผลที่ได้มากนัก ลองเลื่อนจุด endpoints ของ A และ B channels ไปอีกเล็กน้อย (ลองปรับไปที่ 80 ถ้าคุณใช้ค่าตัวเลขในการใส่เข้าไป) ในอีกทางหนึ่ง ถ้าสีมันดูจัดจ้านไปสำหรับคุณ ก็ให้ทำการเลื่อนออกไปเล็กน้อย (ค่าประมาณ 110 ในแต่ละข้าง) หรือคุณสามารถลดผลที่ได้โดยการลดค่า Opacity ของตัว curves adjustment layer (ดูภาพตัวอย่างประกอบคำบรรยาย)
เสร็จแล้ว....เวลานี้คุณรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของ LAB color แล้ว เดินหน้ากันต่อไปละเปลี่ยนกลับไปที่ colorspace ต้นฉบับ และทำการปรับค่าที่คุณต้องการให้กับรูปภาพของคุณ ลองปรับการเลื่อนในภาพที่ต่างกันสักสองสามภาพ คุณจะพบว่ามันไม่ช่วยให้ภาพมีค่าสีที่เจิดจ้า แต่มันช่วยให้ภาพวิวทิวทัศน์ดูอัศจรรย์ก่อนหน้านี้ที่คุณพบว่ามันแบนๆ

มันทำงานอย่างไร

ในการเรียนรู้สิ่งนี้ คุณอาจจะมีคำถามเกี่ยวกับว่าสิ่งนี้มันทำงานอย่างไรและทำคุณไม่สามารถทำมันโดยปราศจากการเปลี่ยนเป็น LAB colorspace ได้ ผมจะอธิบายในส่วนที่เหลือของบทความนี้
LAB มีความแตกต่างจาก colorspace ทั่วไปอย่างไร
สำหรับผู้เริ่มต้น เราต้องเข้าใจเรื่องทั่วไปของ LAB มีความแตกต่างจาก RGB color อย่างไร ดังนั้นสิ่งแรกคุณควรเข้าใจว่าสีที่เป็น RGB และเราจะไปพูดถึงความแตกต่างของ LAB ว่าแตกต่างอย่างไร
RGB color
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย...Histograms of the RGB channels)
RGB colorspace คือมาตรฐานที่ใช้ในภาพถ่ายดิจิตอล นี้คือ colorspace ที่กล้องของคุณใช้และเป็นอันหนึ่งที่ Photoshop ก็ตั้งไว้เป็นค่าเริ่มต้น RGB ย่อมาจาก Red (แดง) Green (เขียว) Blue (ฟ้า) และเดี๋ยวมาพูดกันเล็กน้อยว่ามันทำงานอย่างไร ในผังที่เห็นนี้ กล้องหรือคอมพิวเตอร์เริ่มกับสามสีนี้และผสมกันเพื่อสร้างสีที่แตกต่างเป็นพันๆสี ในความเป็นจริง ถ้าคุณมีปัญหาในหัวของคุณว่าสีไหนเป็นสีที่ถูกต้อง (เช่น สีเหลือง) ซึ่งสามารถสร้างขึ้นโดยการผสมของสีแดง เขียว และฟ้า เข้าใจว่าความแตกต่างมากมายของลำดับชั้นของสีแดง เขียว และฟ้า เริ่มจากสีอ่อน สีอ่อนมากๆ (เกือบๆจะขาว) ในความเป็นจริง หนทางของ RGB และ LAB จะทำงานกับเรื่องความสว่างที่แตกต่างกันระหว่างพวกมันซึ่งคุณจะเห็นได้
เมื่อคุณดูที่ฮิสโตแกรมสำหรับภาพใน RGB คุณจะเห็นการผสมผสานของค่าแต่ละสี คุณสามารถเห็นค่าของแต่ละสีแยกกันโดยการคลิ๊กไปบนป้าย RGB ในตัว curves adjustment layer เมื่อคุณทำสิ่งนี้คุณจะสังเกตว่าฮิสโตแกรมแต่ละช่องสีจะแตกต่าง แต่ไม่แตกต่างมาก

LAB color

(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย...Histograms of the LAB channels)
LAB color space จะให้คำนิยามสีที่แตกต่าง ซึ่ง RGB จะให้ความหมายสีโดยการรวมกันของสีแดง เขียว และฟ้าในค่าที่มีลำดับชั้นสีที่แตกต่างกัน LAB จะใช้สามช่องทางที่แตกต่าง พวกมันคือ Lightness บางครั้งเรียกว่า A Channel และ B Channel ซึ่ง Lightness, A Channel, และ B Channel เรียกสั้นๆว่า L-A-B (LAB)
แต่ channel พวกนี้คืออะไร เริ่มต้นที่ตัว Lightness แน่นอนมันคือตัวแรกที่พูดถึง แต่มันยังเป็นสิ่งที่คุณคุ้นเคยที่สุด มันอ้างถึงความสัมพันธ์ ของความสว่างของตัวพิกเซล ปราศจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสี ดังนั้น Lightness เป็นเหมือนพวกภาพสีเทา ซึ่งแต่ละพิกเซลให้ความหมายของความใกล้เคียงสีขาว หรือดำที่ตกอยู่บน scale ฮิสโตแกรมของ Lightness ดูเหมือนเป็นสิ่งที่คุณเคยใช้ ค่าของแสงที่เหมาะสมในภาพกับความเปรียบต่างที่ดีควรจะกระจายออกไปทั่วทั้งหมด
A และ B channel จะไม่เป็นสิ่งที่คุ้นเคยกับคุณ ซึ่ง Lightness channel จะอธิบายถึง ความสว่างของพิกเซลที่ปราศจากเรื่องของสี ส่วน Aและ B channel จะพูดถึงสีที่ปราศจากเรื่องของ Lightness สีและlightness คือสิ่งที่แบ่งแยกใน LAB ไม่รวมเหมือนกับพวก RGB
ลองมาพูดถึง A channel ก่อนแล้วกัน ตัวอักษร “A” ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น มันถูกเรียกเป็นเพียงสีที่มีสอง channel คือ A และ B เท่านั้น ใน A channel คือสิ่งที่บอกถึงค่าสีที่เกี่ยวกับว่ามีสีเขียวเท่าไร หรือสีแดงม่วงเท่าไร ส่วนที่อยู่ตรงกลางคือ สีเทา และความเข้มของสีเขียวมากในด้านหนึ่งและความเข้มของสีแดงม่วงอีกด้านหนึ่ง
B channel ก็ทำงานเหมือนกับ A ยกเว้นว่ามันอธิบายถึงสีที่มีสีฟ้าด้านหนึ่งและสีเหลืองอีกด้านหนึ่ง
มันอาจจะช่วยให้คิดได้เหมือนสิ่งนี้ ขณะที่ RGB ได้อธิบายถึงสีแต่ละสี เหมือนการรวมกันของสีแดง เขียว และฟ้า LAB จะอธิบายแต่ละสีเหมือนการรวามกันของสีเขียว สีแดงม่วง สีฟ้า และสีเหลือง กับความสว่างที่แยกจากกัน อย่างไรก็ดีขณะที่แต่ละสีมี channel ของตัวเองใน RGB สีก็ยังแบ่งปัน channel ใน LAB (2 ต่อหนึ่ง Channel)
ถ้าคุณกำลังเริ่มจากการใช้ LAB colorspace ลองเล่นมัน โหลดภาพของคุณบางภาพและเข้าไปใน LAB ดังนั้นเข้าไปใน 3 channel บนตัว curves adjustment layer มองดูผลกระทบของการเลื่อนจุดที่อยู่บนฮิสโตแกรม คุณควรเริ่มดูว่า A channel มันมีการวัดค่าของความสมดุลของสีเขียวและสีแดงม่วงอย่างไร และ B channel ก็มีการวัดค่าความสมดุลระหว่างสีฟ้าและสีเหลือง

พลังของ LAB

นี้คือสิ่งที่น่าสนใจและทำไม LAB ถึงมีความแตกต่างในหลายทางที่เหนือกว่า RGB ลองดูที่ฮิสโตแกรมของ channel A ในภาพของคุณ ไม่มีข้อสงสัยอะไร กราฟยอดแหลมอยู่ตรงกลาง เพราะว่า LAB คือ color space ที่กว้างและผมพิจารณาว่า มันปกติที่ค่าฮิสโตแกรมมันอยู่ตรงกลาง ถ้าคุณอออกมาจากตรงจุดกึ่งกลางคุณจะได้สีแบบประสาทหลอน และเกินกว่าที่คุณได้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือ จินตนาการของสีที่อยู่นอกเหนือบางสิ่งที่คุณสามารถนำมาใช้ได้จริง
สีที่เป็นไปไม่ได้ไม่ใช่ประเด็น แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ผลกระทบกับฮิสโตแกรมที่มันสร้างขึ้น การที่สีของภาพคุณทั้งหมดจะอยู่ตรงกึ่งกลางของฮิสโตแกรมหมายความว่าคุณมีพื้นที่ในการเลื่อนจุด endpoints ของฮิสโตแกรมและผลจาการที่ยืดค่าสี
การเลื่อนแบบนี้ทำไม่ได้ใน RGB โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน RGB คุณจะไม่มีช่องว่างเพียงพอของแต่ละข้างในฮิสโตแกรมที่จะเลื่อนจุด endpoints สีต่างจะกระจายไปเกือบทั่วฮิสโตแกรม แต่ถึงแม้ว่าคุณจะมีพื้นที่ในฮิสโตแกรมใน RGB มันจะผลกับค่าความสว่างและความสมดุลของสีในภาพเท่านั้น
อีกเหตุผลหนึ่งที่ LAB มีพลังคือการแยกความสว่างออกจากสี ด้วยผลของการแยกจากกันนี้เอง การปรับค่าจุดสีดำ และจุดสีขาวในฮิสโตแกรมของ A หรือ B channel จะมีผลกับสีเท่านั้น คุณสามารถยืดสีออกโดยปราศจากการทำให้มันเกิดความสว่างมาก หรือมืดมากได้
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ.... Before and after LAB color enhancements.)

สรุป
เพียงแต่รู้และใช้ LAB color พื้นฐานในการปรับเลื่อนสีจะมีผลกระทบกับภาพของคุณอย่างมากในทางที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันมากกว่าการเพิ่มค่าความอิ่มตัว มันคือการยืดรายละเอียดของสี
การโยกย้ายแบบนี้มีเพียงใน LAB colorspace เท่านั้นที่เป็นไปได้ ก็เพราะว่า
• LAB colorspace คือสิ่งทีครอบคลุมในช่วงของการปรับจุดสีดำและสีขาวในฮิสโตแกรม
• การแยกค่าของ Lightness จากค่าของสีและการใส่ค่าของความสว่างใน channel ของมันเอง (L Channel) ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถสร้างผลกระทบกับสีโดยปราศจากผลกระทบกับความสว่าง หรือความเปรียบต่างในภาพ
พื้นฐานของการปรับย้าย คือการเริ่มต้นที่คุณสามารถทำได้ จากที่นี้คุณสามารถทำการปรับแต่งเพิ่มเติมใน channel A และ B ซึ่งจะเอาสีที่ไม่ต้องการออกโดยการเลื่อนจากข้างหนึ่งให้มากกว่าอีกข้างหนึ่ง หรือคุณสามารถใช้ mask และ affect ของสีในพื้นที่ที่เจาะจงในภาพของคุณได้ เริ่มจากขั้นพื้นฐานของการปรับย้ายสีใน LAB และคุณจะเห็นการปรับให้ดีขึ้นในทันทีและในไม่ช้าคุณจะเริ่มเห็นความเป็นไปได้ในด้านอื่นด้วย

29
 พัฒนาการวางองค์ประกอบภาพของคุณอย่างไรโดยใช้ การวางวัตถุใกล้กันและความแตกต่าง

โพสโดย Andrew S. Gibson แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-improve-your-…/

วันนี้ผมจะนำของสองสิ่งที่เข้ากันได้วางใกล้กันและมีความแตกต่าง เพื่อช่วยให้คุณพัฒนาการวางองค์ประกอบภาพของคุณ
การวางใกล้กันเกิดขึ้นเมื่อคุณวางของสองสิ่งที่มีความแตกต่างไว้ข้างๆ กัน ความแตกต่างระหว่างของสองสิ่งสร้างภาพให้น่าสนใจได้

ตัวอย่างในแบบดั้งเดิม

ตัวอย่างที่ดีเยี่ยมมาจาก ภาพบุคคลของ Annie Leibovitz ที่มีนักขี่ม้า Willie Shoemaker (สูงเพียง 4ฟุต 11 นิ้ว) และนักบาสเก็ตบอล Wilt Chamberlain (สูง 7 ฟุต 1 นิ้ว) คนสองคนยืนอยู่ข้างๆ กัน (การวางใกล้กัน) เพื่อจะเน้นความแตกต่างของความสูง (ความแตกต่าง) ขณะที่เราไม่เคยเห็นคนตัวเล็กยืนข้างๆ คนตัวสูง ความแตกต่างของความสูงนี้ทำให้เกิดความรู้สึกที่อยากรู้อยากเห็น

การวางใกล้กันและความแตกต่างในท่าทาง

นี้คือบางตัวอย่าง ครั้งนี้ผมใช้ภาพของผมเองเพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถใช้การวางใกล้กันและความแตกต่างอย่างไรเพื่อจะพัฒนาการวางองค์ประกอบภาพของคุณ
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย...ภาพขาวดำที่มีคนเดิน บนภูเขา)
ผมได้ถ่ายภาพนี้จากหมู่บ้าน Iruya ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาร์เจนติน่าในระยะไกล มันเป็นช่วงบ่ายแก่ๆและผมก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ เกินขอบเขตของหมู่บ้านเพื่อมุ่งไปยังภูเขา ผมเห็นชายสองคนกำลังเดินลงมาตามทางที่ตัดผ่านช่องหิน คนหนึ่งได้จูงลามาด้วย การวางใกล้กันในที่นี้คือ ภาพคนที่อยู่ระหว่างภูเขาที่ขนาบข้าง ความแตกต่างคือ ขนาด ความแตกต่างในขนาดระหว่างคนและภาพวิวทิวทัศน์ที่พวกเขาเดินผ่าน
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย.....ภาพขาวดำที่มีตัวนกและภูเขาที่เป็นฉากหลัง)
ภาพนี้ได้ถ่ายในอเมริกาตอนใต้ ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ Bolivia การวางใกล้กันคือระหว่างตัว guanacos ที่อยู่ตรงกลางภาพและภูเขาที่เป็นฉากหลัง ความแตกต่างคือ ขนาดที่ให้ความรู้สึกถึงระยะทาง และขนาดของวิวทิวทัศน์
ภาพนี้น่าสนใจเพราะว่ามันมีความเปรียบต่างที่มาก โดยรูปทรงของแสงและความมืดที่ทอดยาวตามแนวนอนของภาพ ซึ่งเป็นตัวเน้นเพราะว่าผมใช้เลนส์เทเลสั้น (ซูมไปที่ 55mm ของเลนส์ 18-55mm เลนส์คิท บนกล้อง) ซึ่งบีบภาพวิวทิวทัศน์และทำให้ภาพดูแบน
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย,,,,,,ภาพเปลือกหอยสีขาว บนพื้นทรายสีดำ)
ภาพนี้คือการถ่ายเปลือกหอยใกล้ๆ บนชายหาด การวางใกล้กันของเปลือกหอยสีขาวที่ตัดกับทรายสีดำ เน้นให้เห็นความแตกต่างระหว่างพวกมัน มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันที่ผมเลือกเปลี่ยนภาพนี้ไปเป็นภาพขาวดำ บางครั้งภาพถ่ายขาวดำที่ดีคือการสร้างสิ่งที่วางใกล้กันง่ายๆ ของสิ่งที่เป็นสีดำกับสิ่งที่เป็นสีขาว
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย....ภาพโบสถ์กับรูปปั้น)
ผมถ่ายภาพนี้ตอนดวงอาทิตย์กำลังตกในเมือง La Plata ที่อาร์เจนติน่า โบสถ์คาทอลิกคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอเมริกาและมันสร้างเสร็จในปีค.ศ. 1990 การวางใกล้กันในที่นี้คือการวางตัวรูปปั้นที่อยู่ในฉากหน้าและยอดแหลมของโบสถ์ คุณไม่สามารถบอกได้จากภาพแต่รูปปั้นตั้งอยู่ในจตุรัสด้านหน้าโบสถ์ ทั้งสองสิ่งอยู่ในระยะที่ห่างกันโดยมีถนนเป็นตัวคั่นกลาง การค้นหาตำแหน่งซึ่งผมสามารถรวมเอาสองสิ่งนี้ รูปปั้นและโบสถ์ไว้ด้วยกันผมได้สร้างการวางองค์ประกอบภาพที่น่าสนใจมากกว่าที่มีแค่ตัวโบสถ์อย่างเดียว หรือมีแค่เพียงรูปปั้นเท่านั้น มันเป็นความแตกต่างระหว่างสถาปัตยกรรมโกธิคของโบสถ์และรูปปั้นหินที่ดึงดูดสายตาให้มองไปมองมาระหว่างสองสิ่งนี้
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย....ภาพน้ำตก)
ผมถ่ายภาพน้ำตกนี้ข้างภูเขา Taranaki ภูเขาไฟรูปทรงกรวยบนเกาะนิวซีแลนด์ตอนเหนือ ผมใช้ขาตั้งกล้องที่จะรองรับกล้องและใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/3 วินาทีเพื่อทำให้น้ำเบลอ
การวางใกล้กันคือระหว่างหินและน้ำ หินจะอยู่คงที่ แข็งและมีพื้นผิวที่สวยงาม น้ำจะเคลื่อนไหว อ่อนนุ่มและเบลอ ความแตกต่างก็คือ พื้นฐานของการเปิดค่ารับแสงที่นานในการถ่ายภาพ
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อประกอบคำบรรยาย....ภาพไม้เล็กๆที่วางอยู่บนขอนไม้ใหญ่)
ในภาพสุดท้ายนี้ ผมถ่ายในวัดในเซียงไฮ้ ประเทศจีน แสดงให้เห็นความแตกต่างของรูปแบบการวางใกล้กันของเส้นที่ทรงพลัง มันคือภาพที่ประกอบด้วยเส้นที่น่าสนใจ เส้นถูกสร้างโดยธูปที่ตั้งฉากกับเส้นที่เป็นขอบของภาชนะเผาเครื่องหอม ยังเป็นรูปแบบชนิดของความแตกต่างอีกด้วย เส้นที่อยู่บนขอบของภาชนะเผาเครื่องหอมใหญ่กว่าแท่งธูป มันเป็นความแตกต่างในขนาดอีกด้วยซึ่งได้เห็นกันมาแล้วในภาพก่อนหน้านี้

ถึงเวลาของคุณแล้ว

คุณคิดว่ามีตัวอย่างของการวางใกล้กันและความแตกต่างอะไรอีกบ้าง? โปรดบอกให้เราได้รู้ในช่องความคิดเห็นและใส่รูปภาพตามที่คุณมีเพื่อให้เราได้เห็นในสิ่งที่คุณได้ถ่ายมา

30
สิบคำแนะนำในการพัฒนาการถ่ายภาพอาหาร

โพสโดย Christina Peters แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับเพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/10-tips-improve-food-photography/

คุณเคยถ่ายภาพอาหารหรือเปล่า ถ้าคุณเคยคุณจะรู้ว่ามันยากแค่ไหน มันมีหลายสิ่งที่คุณต้องคิดถึงและต้องแน่ใจว่ารูปอาหารของคุณดูสดในเวลาเดียวกัน นี้คือคำแนะนำเริ่มต้นสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ที่จะช่วยคุณถ่ายภาพอาหารที่คุณต้องการ

#1. อย่าใช้แฟลชบนตัวกล้องของคุณ

คุณรู้สิ่งเหล่านี้อยู่แล้วแต่ฉันต้องการเน้นอีกครั้งให้มั่นใจ เพราะนี้คือ Digital Photograph School แฟลชที่ติดมาบนหัวกล้องของคุณจะทำให้อาหารดูแย่ คุณจะได้เงาที่มีแสงส่องบนพื้นที่บางพื้นที่ที่เปียกชื้นของอาหาร แสงแบบนี้นอกจากจะกวนสายตาแล้วยังทำให้อาหารดูมันแทนที่จะชุ่มชื่น คุณจะได้ความแปลกและเงาที่ไม่ดึงดูดบนอาหาร จาน หรือไม่ก็ทั้งสอง แสงแฟลชบนหัวกล้องจะให้แสงที่แข็งกระด้าง อาหารจะดูดีเมื่อได้แสงที่อ่อนนุ่ม (ดูภาพประกอบคำบรรยาย..ในเว็ปไซต์ต้นฉบับ....การถ่ายภาพด้านล่างคือการถ่ายที่มีแสงธรรมชาติจากหน้าต่างของร้านอาหารทางด้านขวา)

#2. ถ่ายภาพในขณะที่กล้องอยู่บนขาตั้งกล้อง

โอเค..ฉันเคยได้ยินเสียโห้และเสียงที่แสดงความไม่พอใจจากคำแนะนำนี้ ตั้งแต่ฉันได้บอกคุณไม่ควรใช้แฟลชบนหัวกล้อง คุณต้องถ่ายภาพโดยใช้ขาตั้งกล้องแทน ฉันชอบที่จะถ่ายภาพบนขาตั้งกล้องและฉันใช้มันทุกครั้งเท่าที่ฉันสามารถทำได้ ลองดูซิ...มันทำให้มือของคุณว่างพร้อมที่จะมาจัดรูปแบบของจานอาหารที่จะใช้ในการถ่ายภาพของคุณ ฉันเป็นช่างถ่ายภาพอาหารอาชีพ ดังนั้นฉันไม่เพียงแต่ถ่ายในห้องสตูดิโอ หรือบางที่ที่ฉันสามารถใช้ขาตั้งกล้อง สำหรับคำแนะนำนี้ก็เหมาะสำหรับสถานการณ์เหล่านั้น
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...ลองสักเกตในภาพข้างบนด้านขวา นั่นคือแขนยื่นของขาตั้งกล้องที่ดีที่ทำให้กล้องสามารถตั้งอยู่เหนือตัวแบบได้อย่างที่เห็น ถ้าคุณลองพยายามใช้มือถือกล้องและถ่ายแบบเหนือหัวให้คุณนัดเวลาหมอกระดูกสันหลังเข้าตรวจได้เลย ไม่เพียงแต่จะปวดหลังในการถ่ายเท่านั้น และมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกะระยะให้คงที่ในแต่ละครั้งที่ถ่าย จับมันติดกับขาตั้งกล้องแล้วล๊อคมันไว้ โฟกัสไว้ครั้งเดียวที่เหลือเริ่มจัดรูปแบบอาหารของคุณ

#3. หรือใช้ค่า ISO สูงๆ แทนที่จะขาตั้งกล้อง (หนทางสุดท้าย)

ในเวลานี้ ถ้าคุณไม่สามารถถ่ายภาพบนขาตั้งกล้องด้วยเหตุผลบางประการ ตัวอย่างเช่น คุณอยู่ในงานและต้องภาพอาหารดังนั้นคุณมีทางเลือกคือการเพิ่มค่า ISO บนตัวกล้องในสภาพที่มีขาดแสง หรือแสงน้อย ฉันใช้วิธีนี้เป็นวิธีสุดท้าย คุณต้องนึกไว้ในใจเสมอว่าการเพิ่มค่า ISO จะเพิ่มดิจิตอลนอยส์ในไฟล์ภาพของคุณ ขึ้นอยู่กับตัวกล้องของคุณ ตัวดิจิตอลนอยส์สามารถที่จะให้เกิดความรุ่นแรงได้ถ้าคุณอยู่ในสภาพแสงน้อย ลองดูภาพด้านล่าง (ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ที่มีการเปรียบเทียบค่าระหว่างการถ่ายด้วยค่า ISO 100 และ ISO 1600 ในกล้อง Canon 5D Mark II
คุณสามารถเอาตัวดิจิตอล นอยส์ ออกไปเมื่อต้องการใช้ภาพใน web เนื่องจากมันมีขนาดความละเอียดภาพที่ต่ำ อย่างไรก็ดีถ้าคุณต้องการนำภาพไปพิมพ์ นี้คือสิ่งที่คุณจะพบกับปัญหาในเรื่องดิจิตอล นอยส์ มันเป็นการยากที่จะทำให้ถูกต้องออกมาจากภาพและทำให้ภาพออกมาคมชัดในเวลาเดียวกัน ตัวโปรแกรมสามารถช่วยแก้ไขดิจิตอลนอยส์ได้โดยการทำให้ขอบของพิกเซลอ่อนนุ่ม นี้คือสิ่งที่ทำให้ปรากฎภาพออกมาดูนุ่มเล็กน้อยกับการโฟกัสในภายหลัง

#4. โปรดใช้ props – แต่อย่าให้มากเกินไป

ฉันเห็นในบล๊อกที่คุยกันเกี่ยวกับถ่ายภาพอาหารที่อยู่ในจาน หรือในชามโดยที่ไม่มีสิ่งอื่นๆร่วมในการถ่ายภาพด้วย สำหรับฉันมันคือ การถ่ายภาพสารคดีของอาหารที่อยู่ในจาน มันไม่มีเรื่องราวในภาพเมื่อคุณไม่มี props  ฉันมีมัน...มันก็ใช้เวลามากด้วย แต่ถ้าคุณเริ่มจากสิ่งง่ายๆ  props จะช่วยสร้างให้ภาพดูมีชีวิตชีวาและคือการพัฒนาการในภาพถ่ายของคุณด้วย  (ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ลองสังเกตการถ่ายภาพด้านล่างซึ่ง props ทั้งหมดเป็นลำดับที่สอง หมายความว่า สิ่งแรกที่ตาคุณมองไปที่ตัว pasta ในทั้งสองภาพ ตัว props ทั้งหมดจะใช้ low key และไม่ให้ดึงดูดสายตา มันยังคงไว้ซึ่งแค่ตัวอาหารแต่ตัว props เองก็ช่วยเสริมตัวอาหารให้คุณดูมองดูภาพนี้ นี้คือสิ่งที่ต้องวางความสมดุลระหว่างจำนวนที่ถูกต้องของ props และถ้ามี props มากเกินไปจะทำให้สายตาของผู้ชมออกไปจากตัวอาหาร
คุณกำลังเล่าเรื่องกับตัว props ของคุณ เรื่องราวของสองภาพข้างบนคืออาหาร pasta มื้อเย็นที่น่าทาน นั้นคือสิ่งง่ายๆ คุณต้องใช้การวางตัว props ของคุณเพื่อให้สายตาของผู้ชมมุ่งตรงไปยังที่ซึ่งคุณต้องการให้พวกเขามอง สิ่งแรกเรามองภาพเป็นส่วนต้นฉบับ สิ่งที่สองจะเน้นหรือจะให้สีดูสว่าง สิ่งที่สามเราดูว่าอะไรที่เราต้องการโฟกัส ตัว props ของคุณควรจะนำสายตาของผู้ชมให้มองไปยังที่ที่คุณต้องการ และขจัดสิ่งที่กวนสายตาออกไป ถ้าคุณมีการเน้นไปบนบางสิ่งที่จับเข้าตาของคุณ ให้เดาไว้เลยว่า ผู้ชมภาพของคุณกำลังจะมองไปยังสิ่งนั้นด้วยเหมือนกัน ดังนั้นกำจัดสิ่งเหล่านั้น หรือวางตัว props ไว้ด้านหน้ามัน ให้ผู้ชมมองไปที่อาหารของคุณอย่างเดียว...

#5. ออกห่างจากลวดลายที่ชัดเจนบนตัวจาน และลายผ้าต่างๆ

การถ่ายภาพอาหารคือการสร้างสรรภาพที่เป็นธรรมชาติที่ทำให้สายตาของผู้ชมมองไปยังอาหารที่สวยงาม เมื่อที่ฉันได้บอกไว้ในตอนต้น ตัว props ที่ดีในการถ่ายคือแค่เป็นตัวสนับสนุนนักแสดงในเรื่อง ถ้าคุณมีลวดลายแบบประหลาดบนตัวจาน ผู้ชมก็จะมองไปที่ลายประหลาดเหล่านั้นเป็นสิ่งแรก และตัวอาหารจะเป็นสิ่งที่สอง (หวังว่าอย่างนั้น) เรื่องราวของคุณไม่ใช่จานใส่อาหาร แต่เรื่องราวของคุณคือ อาหาร คุณอาจจะชอบกับลวดลายบนจานแต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ภาพของคุณควรจะเป็นแบบนั้น ลองดูภาพด้านล่าง (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ก่อนที่จะมี prop เข้ามา เพื่อให้คุณเห็นถึงความรู้สึกว่าอาหารจะดูแตกต่างอย่างไรในการวางอยู่ในจานที่มีความแตกต่าง
ฉันจะทดสอบจานกับอาหารเหมือนอย่างที่เห็นเพื่อดูว่าอันไหนมันเหมาะกับการถ่ายภาพ ปัญหาของลวดลายคือพื้นที่ของลวดลายจะถูกโฟกัสและจะขัดกับตัวอาหาร สีของจานสามารถช่วยเสริมกันเป็นอย่างดีถ้าเป็นสีที่เสริมกันหรือสีที่ตัดกันกับอาหาร ดังนั้นสีขาวและสีครีมจะทำให้อาหารของคุณดูโดดเด่น
ในกฎเดียวกันนี้ก็นำไปใช้กับผ้าปูโต๊ะและผ้าปูโต๊ะแบบมีลวดลายได้ด้วย เราไม่เคยใช้ลวดลายที่เน้นบนพื้นผิวเวลาที่เราถ่ายภาพ ฉันกำลังพูดว่า “เรา” เพราะว่าเมื่อฉันกำลังทำงานฉันจะมี คนจัดอาหาร และคนจัด prop เราทำงานร่วมกันในการถ่ายภาพสำหรับลูกค้าของเราที่เกี่ยวกับอาหารของพวกเขา ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพบนลายผ้ากับลวดลายที่เน้น ตัวลวดลายเหล่านี้จะแข่งกับตัวอาหารของคุณอย่างแน่นอน มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ตาของเราจะถูกดึงดูดออกไปได้ง่ายและคุณมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีที่จะทำให้ผู้ชมเข้าถึงจุดที่ต้องการ อย่าไปวางจานที่มีลวดลายประหลาดไว้บนโต๊ะ

# 6. ลองแนวตั้ง

หลายคนจะถ่ายภาพของพวกเขาในแนวนอน ฉันเข้าใจว่าทำไม เพราะมันจะทำให้สะดวกในการทำงาน เมื่อการถ่ายภาพในแนวตั้ง การตั้งค่าจะไปอยู่ด้านข้างและถ้าคุณตั้งกล้องอยู่บนขาตั้งกล้องคุณจะต้องเอียงหัวของคุณเผื่อจะชโงกไปดูมัน ดังนั้นคุณจะรู้สึกไม่สะดวก การถ่ายภาพแบบแนวตั้งสามรถทำให้คุณได้ความลึกของภาพที่สวยงามจากฉากหน้าไปถึงฉากหลัง สิ่งนี้ยังทำให้คุณมีภาพที่ใหญ่ในบล๊อกของคุณ การถ่ายภาพแนวตั้งสามารถทำให้คุณมีพื้นที่ในการวางตัวหนังสือที่ทำเป็นหัวเรื่องได้ อย่างไซต์เหมือนกับ Pinterest จะถ่ายในแนวตั้งลองคิดดูว่าภาพนี้จะถูกแบ่งปันออกไปและจะไปอยู่ที่นั้น ผสมผสานภาพของคุณในบล๊อกของคุณบางภาพเป็นแนวตั้งและบางภาพเป็นแนวนอน  ถ้าคุณทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแบบเดียวมันจะทำให้น่าเบื่อ

#7. ลงมือตัดส่วนของจานออกได้เลย

นิสัยอีกแบบหนึ่งที่ฉันเห็นคือนักเรียนหลายๆ คนจะกลัวในการตัดภาพจานอาหารออกบางส่วน (ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) นี้คือภาพถ่ายสองใบ ภาพหนึ่งถ่ายแบบเต็มใบ และอีกภาพหนึ่งคือการตัดบางส่วนของภาพออก แน่นอนมันต้องขึ้นอยู่กับว่าภาพที่จะนำไปใช้ด้วยว่าจะใช้ทำอะไร บางครั้งคุณก็ต้องการมันทั้งสองรูปแบบ แต่ให้คุณลองเล่นดูกับการตัดส่วนของภาพถ้าคุณชอบมันมากกว่า มันดูโอเคนะถ้าจะตัดส่วนของตัวจานอาหารออกไป คุณไม่ได้ขายจานอาหาร จำไว้ว่าต้องโชว์ภาพอาหารไว้ก่อน
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ...ภาพที่ถูกตัดส่วนออกแล้ว...ซึ่งมีส่วนกวนสายตามากมายและมันเหลือแค่เพียงอาหาร)

#8 – ถอยหลัง และซูมเข้าไปใกล้

นักเรียนทุกคนต้องการที่จะรู้ว่าเลนส์อะไรที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพอาหาร สำหรับกล้อง 35mm DSLR (full frame) ฉันจะใช้เลนส์มาโคร 100mm ฉันใช้เลนส์นี้ประมาณ 90% ของการถ่าย คุณจะได้ความชัดตื้นชัดลึกที่ดีมากกับเลนส์ตัวนี้ (ดูภาพตัวอย่างประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) นี้คือภาพที่ฉันถ่ายกับเลนส์สามแบบ หลายๆ คนจะมีเลนส์ 50mm เพราะมันจะมากับกล้องของพวกเขา เพียงไม่กี่ครั้งฉันใช้เลนส์ตัวนี้ในการถ่ายเมื่อมีจานหลายๆใบอยู่บนโต๊ะซึ่งฉันจะถ่ายเพียงภาพเดียว การถ่ายในลักษณะนี้จะต้องใช้เลนส์มุมกว้างอย่างเช่น 50mm หรือ 35mm เมื่อฉันต้องการโฟกัสเข้าไปในจานฉันจะใช้เลนส์มาโคร 100mm ในการถ่าย
เมื่อใช้เลนส์มุมกว้างเหมือนกับเลนส์ 50mm หรือ 35mm คุณต้องการฉากหลังด้วยในการถ่ายภาพ แน่นอนละ...ความกว้างของมุมของเลนส์ มันยากที่จะได้ชัดตื้นมากๆ ถ้าปราศจากการเข้าไปใกล้อาหารของคุณ และก็เปิดเลนส์โดยการเปิดค่ารูรับแสง ความชัดลึกชัดตื้นจะอ้างอิงถึงคุณโฟกัสที่ระยะเท่าไรกับสิ่งที่อยู่นอกโฟกัสในการถ่าย ซึ่งนำไปสู่คำแนะนำในข้อถัดไป

#9. ใช้ค่า f-stop ที่เล็ก เพื่อให้ได้ชัดตื้น

ค่า f-stop หรือ รูรับแสง จะควบคุมการเปิดเลนส์ให้รับแสงเข้ามาในกล้อง f-stop จะควบคุมว่าภาพของคุณจะโฟกัสได้มากน้อยแค่ไหน และสิ่งที่อยู่นอกโฟกัสมากน้อยแค่ไหนด้วย
(ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) นี้คือผังของ f-stop ที่แสดงให้เห็นถึงค่า f-stops ทั่วไปที่เลนส์ส่วนใหญ่จะมี บางเลนส์ไม่สามารถเปิดกว้างได้ถึง f/1.4 มันดูเหมือนว่าเลนส์พวกนี้ราคาแพงมากยิ่งมีค่า f-stop ที่กว้างมาก สำหรับกรณีนี้ ถ้าเลนส์ 50mm ที่ดีเยี่ยมจะทำได้ถึง f/1.2 แต่คุณจะต้องจ่ายเงินมากทีเดียว
เมื่อคุณกำลังเริ่มเรียนรู้เกี่ยว ค่า f-stops หรือ รูรับแสง มันจะสร้างความสับสนในการเรียนรู้ คุณเห็นไหม..ยิ่งค่า f-stop เล็กเท่าไร การเปิดรับแสงยิ่งมาก....มันเป็นการเรียนรู้โดยสัญชาติญาณ ซึ่งฉันจะบอกในชั้นเรียนอยู่เสมอว่า ยิ่งค่า f-stop เล็กเท่าไร ค่าชัดตื้นชัดลึกยิ่งเล็กตามไปด้วยและถ้าค่า f-stop มากขึ้นเท่าน ความชัดตื้นชัดลึกก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน สิ่งนี้จะทำให้คุณสร้างสรรการควบคุมการถ่ายภาพของคุณ ฉันจะแนะนำในการถ่ายภาพอาหารกับการ “ชัดตื้น” นั่นหมายถึงว่าให้มีน้อยสิ่งอยู่ในโฟกัส ลองดูภาพสองภาพด้านล่างนี้ (ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) คุณจะเห็นว่าภาพด้านซ้ายมีความชัดตื้นเพราะว่าฉันถ่ายด้วย f/5.6 ด้วยเลนส์มาโคร 100mm นี้คือภาพถ่ายน้ำมันมะกอกและนั้นคือสิ่งที่ฉันต้องการโฟกัสเพียงสิ่งเดียว สำหรับภาพด้านขวาคือภาพที่ถ่ายด้วย f/16 และมีความชัดลึกมาก (ทุกๆสิ่งอยู่ในโฟกัส) ฉันพบว่ามันมีสิ่งกวนตาหลายสิ่ง มันมีหลายๆอย่างอยู่ในโฟกัสและตาของคุณจะมองไปมองมาเหนือจาน (ลองดูบทความเพิ่มเติมของฉัน Using Focus Creatively with Food Photography คุณใช้ค่า f/stop ในการควบคุมอะไรก็ตามที่คุณต้องการให้อยู่ในโฟกัส นั่นคือคำแนะนำทั่วๆไป ค่า f/stop สำหรับการชัดตื้นจะเริ่มจาก f/5.6 และต่ำกว่านั้นลงไป (มันขึ้นอยู่กับว่าเลนส์ของคุณกว้างแค่ไหนด้วย)
เวลานี้ ถ้าคุณกำลังจะถ่ายภาพ โต๊ะอาหารของงานเลี้ยงขอบคุณพระเจ้า กับจานที่มากมายบนนั้นซึ่งฉันต้องให้มันอยู่ในโฟกัส ดังนั้นฉันจะใช้ค่า f-stop ที่ f/16 หรือ f/22 กับเลนส์มุมกว้าง เช่นเลนส์ 50mm หรือ 35mm

#10. ทำให้อาหารของคุณดูสดน่ารับประทาน

(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) นี้คือภาพที่ฉันกำลังระบายสีบน สเต็กกับเนยที่ทำให้มันดูสวยและชุ่มชื้น ฉันใช้เนย เพราะว่า เมื่อพวกเขาได้เสริฟสเต็กในภัตตาคารพวกเขาจะละลายเนื้อบนสเต็กนั้น คุณสามารถใช้น้ำมันพืช หรือน้ำและกลีเซอรีน หรือใช้น้ำบนอาหาร ถ้าจะทำให้อาหารดูมันๆ หรือเต็มไปด้วยไขมันเหมือนกับเนื้อหรือพวกสัตว์ปีกให้ใช้น้ำมันพืช ถ้าคุณต้องการให้สลัดดูชุ่มชื้น คุณสามารถใช้สเปรย์น้ำธรรมดาพ่นลงไป
เมื่อการถ่ายภาพ เบอเกอร์ ฉันจะระบายด้วยน้ำมันบนตัวเนื้อเพื่อให้มันดูน่าทาน ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าถ้าเห็นภาพเนื้อแห้งๆ ไม่น่าดึงดูด ใครต้องจะทานบ้างละถ้าเป็นแบบนั้น?
ถ้าต้องการให้อาหารดูสดเสมอ ให้ใช้ผลไม้สด หรือ เน้นไปที่พวกมัน คุณสามารถหาสิ่งเหล่านี้ในชั้นวางเครื่องเทศในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฉันอยากจะแนะนำว่าอย่าทานอาหารที่คุณได้ตกแต่งมัน มันคือ MSG (ผงชูรส) ฉันใช้มันในสองทาง ฉันจะล้างสิ่งเหล่านนี้ให้กลายเป็นสีน้ำตาล โดยใช้พวกผักอาร์ติโชค และลูกแพรในอัตราส่วน 2 ถ้วยตวงกับผงชูรสหนึ่งช้อนโต๊ะ อีกทางหนึ่งคือฉันใช้มันในแบบแรกและระบายมันบนอาหาร เพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่กลายเป็นสีน้ำตาล เมื่อฉันได้บอกเคล็ดลับเรื่องนี้ หลายคนพูดว่า โอ้...คุณสามารถใช้มะนาวได้นะ  มะนาวมันใช้งานได้จริง แต่คุณต้องรู้ว่าคุณจะต้องนำกลับมันมาใช้ใหม่อีกรอบ
(ดูภาพตัวอย่างในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ในภาพด้านล่างนี้มันจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจากการใช้ตัวช่วยทำให้อาหารและผลไม้ดูสดใหม่น่ารับประทาน  ตัวอาทิโชคจะเปลี่ยนสีน้ำตาลเมื่อคุณได้ทำการตัดพวกมันออกมา ฉันจะทำให้ทั้งสองด้านเปียกชุ่มด้วยตัวช่วยเน้นและน้ำ ฉันจะทำให้มันเปียกโชกเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงทีเดียว ตัวอาทิโชคจะไม่เป็นสีน้ำตาลในหนึ่งชั่วโมง...
เอาละ นี้ก็มากเพียงพอที่ฉันได้พูดไว้ในที่นี้แล้วแต่หวังว่าคำแนะนำบางอย่างที่นี้จะช่วยบันดาลใจคุณให้ลองถ่ายภาพอาหารที่ก้าวไปอีกระดับหนึ่ง

Pages: 1 [2] 3 4 ... 8