Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - topstep07

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6
61
ลองมาคุยเกี่ยวกับเรื่องแสง....สามแบบของสภาพแสงและการใช้พวกมัน...

โพสโดย Daniela Beddall แปลโดย Topstep07   

เว็ปไซต์ต้นฉบับ สำหรับดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/lets-talk-light-3-types-of-lighting-conditions-use/

อะไรทั้งหมดนี้เราจะพูดเกี่ยวกับเรื่อง แสง
เมื่อฉันเริ่มเส้นทางการถ่ายภาพของฉัน ฉันจำได้ว่าทุกๆบทความ (หรือบทความที่เหมือนกัน) บล๊อก หรือ หนังสือ ที่ฉันอ่านจะพูดเกี่ยวกับเรื่อง แสง  “ค้นหาแสง”  “ดูแสง” “มันเกี่ยวกับแสง” “ติดตามแสง” อะไรทั้งหมดนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องแสง   ฟังดูคุ้นๆ ไหม
ในไม่ช้าฉันกลายเป็นคนที่ถูกครอบงำเรื่องแสง ฉันจ้องมองผู้คนที่กำลังพูดคุยกับฉัน เพ้อฝัน มองดูว่าแสงที่ตกกระทบลงบนใบหน้าพวกเขา เมื่อฉันเริ่มเดินฉันก็มองดูทิศทางของแสงและเส้นทางที่มันเปลี่ยนในแต่ละช่วงเวลาของวัน มันดูเหมือนว่ามันยากที่จะค้นหาแสง ยิ่งฉันสามารถเห็นมันน้อยมากเท่าไร ฉันคิดว่าฉันไม่เคยได้เห็นแสงเลย ดังนั้นบางสิ่งเกิดขึ้น ฉันไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าเมื่อไรแต่หลังจากเดือนแห่งการครอบงำเกี่ยวกับแสง ในที่สุดฉันเห็นมัน มันช่างสวยงาม นุ่มนวล ให้ความกระจ่างในเรื่องคุณภาพ และความสามารถในการเปลี่ยนอารมณ์และรูปแบบของภาพ
แสงมีส่วนสำคัญในรูปแบบและความนุ่มนวล โรแมนติกในภาพถ่ายของฉันที่ฉันสร้างขึ้น มีสิ่งต่างๆ มากมายที่ฉันสามารถเขียนหนังสือทั้งเล่มที่เกี่ยวกับเรื่องแสงเพียงอย่างเดียว แต่ตอนนี้ฉันจะโฟกัสไปที่สภาพแสงสามแบบ และข้อดีในการใช้พวกมัน

เปิดร่มเงา

การเปิดร่มเงา คือจุดที่อยู่ระหว่าง ดวงอาทิตย์ และร่มเงา ร่มเงาเกิดขึ้นได้จากตัวตึก ต้นไม้ กำแพง ฯลฯ เมื่อใช้การเปิดร่มเงามันมีสิ่งที่สำคัญที่ต้องมั่นใจว่าคุณมีแสงเพียงพอที่จะสะท้อนเข้ามาในพื้นที่ที่เป็นร่มเงา การเลือกพื้นที่ที่มีสีขาว หรือ แสงจางๆ ของกำแพงหรือพื้นจะช่วยเพิ่มความนุ่มนวล ให้ความสว่างโดยการสะท้อนแสงลงบนพื้นผิวพวกมัน การสะท้อนแสงจะสะท้อนไปทั่วตัวแบบของคุณซึ่งทำให้ตัวแบบดูนุ่มนวล ชวนฝัน และเจิดจรัส
ภาพด้านบนนี้ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ถ่ายแบบเปิดร่มเงา คุณสามารถเห็นเส้นที่อยู่ตรงมุมล่างด้านซ้ายของภาพซึ่งแบ่งส่วนที่เป็นแสงสว่างและพื้นที่ร่มเงา ฉันได้วางนางแบบที่อยู่ในร่มเงาดังนั้นแสงจะสะท้อนเข้าไปที่ตัวของนางแบบ กำแพงหินปูนจะทำหน้าที่เป็นส่วนสะท้อนแสงกลับไปยังตัวแบบของฉัน
สิ่งถัดไปที่ต้องคำนึงเมื่อใช้วิธีการเปิดร่มเงาคือทิศทางที่ตัวแบบต้องเผชิญหน้า ถ้าการหันหน้าของตัวแบบผิดทิศทางการเปิดร่มเงาสามารถทำให้ภาพของคุณดูแบนๆ ดังนั้นในแน่ใจว่าแสงมาจากทางไหนและมันสะท้อนเข้าหาตัวแบบหรือไม่ การใช้พื้นผิวที่สะท้อนแสง หรือแผ่นสะท้อนแสงเพื่อให้ทิศทางของแสงหันกลับไปหาตัวแบบ ในการทำแบบนี้แสงจะยังคงส่องไปที่ใบหน้าของตัวแบบ และคุณยังได้แสงของแววตาที่สวยงามของตัวแบบอีกด้วย การเปิดร่มเงาสามารถใช้ถ่ายแบบได้ตลอดเวลา มันเป็นเครื่องมือที่ดีในการถ่ายภาพตอนช่วงเที่ยงวัน เมื่อดวงอาทิตย์อยู่กลางท้องฟ้าและสร้างเงาที่แข็งกระด้วงบนตัวแบบ

วันที่มีเมฆมาก

วันที่มีเมฆมากคือวันที่ฉันชื่นชอบในการถ่ายภาพ มันเหมือนกับการถ่ายแบบเปิดร่มเงา แต่มันเหมือนการเปิดร่มเงาไปทุกๆ ที่ สิ่งสำคัญในขณะที่มองหาว่าแสงมาจากทางไหน วันที่มีเมฆมากจะไม่จำกัดในพื้นที่ร่มเงา เมฆจะทำหน้าที่เป็นตัวกรองแสงขนาดใหญ่ หรือ ซอฟท์บ๊อก ซึ่งทำให้แสงนุ่มนวล เมื่อถ่ายภาพในวันที่มีเมฆมาก บ่อยครั้งฉันจะมองไปทางที่ดวงอาทิตย์อยู่ แม้ว่าฉันจะไม่สามารถมองเห็นมันหลังก้อนเมฆ ฉันก็แน่ใจว่ามันอยู่ตรงนั้นถ้าไม่มีเมฆมาบัง มี Application บนมือถือมากมายที่จะบอกตำแหน่งของดวงอาทิตย์ในแต่ละช่วงเวลา พวก Application เหล่านี้จะบอกถึงตำแหน่งดวงอาทิตย์ขึ้นและและตก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีมากที่จะช่วยคุณในการวางแผนการถ่ายภาพได้ก่อนล่วงหน้า
ภาพถ่ายด้านล่างนี้ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ถูกถ่ายในวันที่มีฝนเล็กน้อย ฟ้าสีเทา และมีเมฆมาก ฉันยังคงต้องการให้แน่ใจว่าใบหน้าของตัวแบบของฉันได้รับการส่องสว่างจากแสง จากภาพนี้ฉันแน่ใจว่าดวงอาทิตย์อยู่ด้านหลังของฉัน แม้ว่าฉันจะมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ผ่านก้อนเมฆก็ตาม  ฉันยังคงสามารถมองเห็นความสว่างของแสงที่อยู่ในก้อนเมฆนั้น ดังนั้นตัวแบบของฉันจะหันตรงไปที่ดวงอาทิตย์โดยที่เขาจะไม่หรี่ตาและไม่มีเงาแข็งๆปรากฎขึ้นมา ก้อนเมฆจะทำหน้าที่เหมือนซอฟท์บ๊อกให้ฉันได้มีแสงที่สวยงาม....
เมื่อเริ่มมีเมฆมาก ช่างภาพหลายคนก็หยุดถ่ายภาพในช่วงที่มีเมฆมาก บนใบหน้าแสงจะปรากฎเป็นแบบทื่อๆมัวๆ แต่ลองมองให้ลึกลงไปคุณจะเห็นการส่องแสงที่มีคุณภาพอย่างน่าประหลาด ภาพที่น่าประทับใจของฉันจะถูกถ่ายในช่วงเวลาแบบนี้แหละ

แสงจากด้านหลัง

แสงจากด้านหลัง ถ้าเราทำถูกวิธีมันสามารถสร้างบรรยากาศและความมีชีวิตชีวาของภาพได้อย่างสวยงาม มันต้องได้รับการฝึกฝนอย่างมากแต่ฉันคิดว่ามันมีค่ามาก มีหลายหนทางที่แตกต่างในการวางตำแหน่งดวงอาทิตย์บนภาพของคุณ  คุณสามารถให้ดวงอาทิตย์อยู่หลังตัวแบบของคุณโดยตรง หรืออยู่ด้านนอกของภาพ หรือ อยู่ในภาพ ในแต่ละแบบจะสร้างผลกระทบที่แตกต่างและจะมีอิทธิพลถึงแสงแฟรและความแข็งกระด้างของแสงที่มากน้อยในภาพของคุณ
สำหรับแสงจากด้านหลังนี้ การวัดค่าแสงจะเป็นส่วนที่สำคัญในการประสบความสำเร็จในการถ่ายภาพ การถ่ายภาพด้วยโหมด Manual จะช่วยให้มั่นใจว่าจะได้การถ่ายที่สมบูรณ์ เมื่อถ่ายภาพที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์โดยตรง ฉันจะวัดค่าแสงบนใบหน้าของตัวแบบซึ่งจะอยู่ใต้ตา ฉันรู้ว่ามันจะทำให้รายละเอียดหายไปของไฮไลท์ในฉากหลัง หรือพื้นที่รอบๆ ตัวแบบ แต่ฉันชอบเพิ่มประกายแสงเข้าไป
กล้องถ่ายภาพจะไม่ฉลาดพอในการถ่ายดวงอาทิตย์โดยตรง นี้คือสิ่งที่ทำไมต้องมีเลนส์ฮูด ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ไม่เพียงพอ คุณจะได้ยินเสียงหึ่งๆบนตัวเลนส์ของคุณขณะที่โฟกัสบนสิ่งที่คุณกำลังโฟกัส เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นลองสร้างจุดเล็กบนร่มเงาสำหรับกล้องโดยการยกมือซ้ายเหนือเลนส์ที่จะบังแสง ดูเหมือนมันเป็นเคล็ดลับแต่มันไม่ใช่ อีกทางหนึ่งคือการโฟกัสแบบ manual

อาหารทางความคิด....

สิ่งหนึ่งที่ดีที่สุดของการแนะนำที่ฉันเคยได้รับเมื่อฉันเริ่มถ่ายภาพคือการมองหาแสงก่อนเป็นอันดับแรกและฉากหลังเป็นอันดับสอง มันง่ายในการวางตัวแบบของคุณอยู่ด้านหน้าบางสิ่งที่ดูสวยงามหรือน่าสนใจ  แต่ถ้าแสงอยู่ในตำแหน่งที่แย่คุณจะลงเอยด้วยภาพที่ไม่มีชีวิตชีวาเลย หรือไม่ก็ตัวแบบของคุณจะหรี่ตาและมีเงาแข็งๆ บนใบหน้าของเธอ 
ฉันอยากรู้ว่าคุณค้นหาแสงอย่างไร โปรดแบ่งปันความคิดเห็นหรือข้อแนะนำและรูปของคุณให้เราดูกันบ้างนะคะ...

62
แปดคำแนะนำง่ายๆสำหรับการจับภาพดวงอาทิตย์ขึ้นและตกที่น่าประทับใจ

โพสโดย Tim Gilbreath แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/8-simple-guidelines-capturing-spectacular-sunrise-sunset-images/

เมื่อเราจะถามถึงตัวแบบที่ได้รับความนิยมในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ภาพของดวงอาทิตย์ตกที่สวยงามจะผุดขึ้นมาในความคิดทันที อะไรคือภาพถ่ายกลางแจ้งที่มีค่าของเขาและเธอ มีสักภาพสองภาพของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ในความคิดของคนทั่วไป มันเป็นสิ่งที่ง่ายในการเก็บภาพกับปฎิกิริยาเล็กน้อยจากช่างภาพ
แต่นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือ?
โชคไม่ดี มันไม่ใช่ ถ้าปราศจากคุณพึ่งพาเพียงโชคช่วยอย่างเดียว คุณต้องการความรู้เพื่อที่จะเริ่มเก็บภาพดวงอาทติย์ขึ้นและตก คำแนะนำเหล่านี้ไม่ได้ยากที่จะเข้าใจและสามารถพัฒนาโอกาสของการเก็บภาพที่เป็นหนึ่งในเทพของธรรมชาติที่เหลือเชื่อ

1. ตรวจสอบสถานที่

สิ่งที่ยั่วยวนใจคือการพบสถานที่สบายๆและเริ่มที่จะถ่ายภาพ แต่มันจะดีมากสำหรับโอกาสที่จะประสบความสำเร็จโดยการวางแผนการถ่ายภาพไว้ก่อนล่วงหน้า สิ่งแรกที่คุณต้องคิดถึงคือ สถานที่ที่ดีที่สุดที่คุณต้องการถ่ายภาพ
ให้เลือกสถานที่ที่ออกจากถนนหรือทางเท้าที่ซึ่งคุณจะไม่ถูกรบกวนง่ายๆ  ไปยังสถานที่นั้นในช่วงที่มีแสงก่อนที่จะถ่ายและให้แน่ใจว่าภาพที่อยู่ด้านหน้าคุณจะไม่ถูกกีดขวางและไม่มีอันตรายอะไร
สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญหลังจากที่พบสถานที่แล้วคือช่วงเวลาของวัน ที่แน่นอนมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณกำลังจะถ่ายภาพดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก มีพายุหรือไม่? ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพในช่วงเวลาที่เกิดขึ้นพร้อมกันระหว่างพายุกำลังมาหรือพายุสงบแล้ว ผลของมันสามารถทำให้คุณลังเลได้ ฝนและเมฆพายุสามารถเพิ่มมิติของภาพได้
สิ่งสุดท้าย คุณสามารรถหาช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยใช้เครื่องมือออนไลน์ หรือ แอพพลิเคชั่นบนมือถือ เพื่อที่จะได้ข้อมูลที่ถูกต้องสำหรับการขึ้นและตกของดวงอาทติย์ แอพพลิเคชั่นพวกนี้ราคาไม่แพง( และบางครั้งก็ ฟรี) เช่น SunSeeker, Daylight Free และที่เยี่ยมสุดๆ คือ Photographers Ephemeris

2. ดวงอาทิตย์ ขึ้น หรือ ตก?

ถ้าคุณคุ้นเคยกับเรื่องอุณหภูมิสี คุณจะรู้ว่ามันมีความแตกต่างเล็กน้อยมากในแสงที่ปรากฎระหว่างดวงอาทิตย์ตก และสิ่งที่คุณเห็นในยามดวงอาทิตย์ขึ้น  ในยามเช้าแสงจะออกแนวโทนเย็น (สีฟ้าๆ) มากกว่าแสงในช่วงสายๆของตอนเย็น ซึ่งจะออกไปทางโทนสีอุ่นๆซึ่งประกอบไปด้วย สีส้มและสีแดง
ดังนั้นเมื่อเรารู้ถึงความแตกต่างของอุณหภูมิสี คุณอาจจะต้องปรับแต่งมันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคุณในขณะนั้น ไม่ว่าจะใช้ตัวฟิวเตอร์โทนอุ่นหรือโทนเย็น หรือจะไปปรับแต่งภาพที่หลังเพื่อเพิ่ม หรือลดค่าอุณหภูมิสีในภาพสุดท้ายที่ต้องการ ระวังเรื่องการใช้ฟิวเตอร์กับกล้องของคุณเพราะมันจะทำให้คุณภาพของภาพตกลงได้ เพราะว่ามันเป็นการเพิ่มสิ่งกีดขวางแสงที่วิ่งผ่านระหว่างตัวแบบของคุณและเซนเซอร์ของกล้อง

3. วางแผนการถ่ายภาพ

ขั้นตอนที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จะประสบความเร็จก่อนที่จะมุ่งหน้าออกไปถ่ายภาพ คือ การวางแผนว่าอะไรคือความคาดหวังในการได้ภาพที่ต้องการ อะไรที่คุณต้องการ? แสงตกกระทบตัวแบบยังไง? หรือดวงอาทิตย์ตกจะเป็นพระเอกของภาพนี้?
นี้คือช่วงเวลาที่ดีในการพิจารณาในสิ่งอื่นๆที่พิเศษ เช่น ความเป็นไปได้ในการถ่ายภาพ HDR (High Dynamic Range) ถ้ามันทำได้ คุณต้องเตรียมกล้องในการถ่ายภาพหลายครั้งเพื่อเก็บช่วงของโทนสีต่างๆ  ซึ่งภาพเหล่านี้จะประกอบไปด้วยจุดที่สว่างและส่วนที่เป็นเงา ซึ่งมันเป็นหนทางที่เยี่ยมมากในการทำภาพให้มีชีวิตชีวาเหมือนจริง...

4. รวบรวมอุปกรณ์ที่เหมาะสม

เป็นที่ชัดเจนว่า คุณไม่สามารถเก็บภาพที่ดีได้โดยปราศจากอุปกรณ์ที่ถูกต้อง ดังนั้นให้มั่นใจว่าคุณมีอุปกรณ์พร้อมใช้ก่อนจะออกไป สิ่งแรกคือ คุณจะต้องเอาขาตั้งกล้องไปด้วย ไม่ว่าจะดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตกมันจะอยู่ในสภาวะที่มีแสงน้อย (ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเก็บภาพดวงอาทิตย์ตกที่คุณพยายามเก็บภาพ) ดังนั้นคุณต้องการสิ่งที่มั่นคงสำหรับกล้องของคุณ  สิ่งที่สอง คุณจะต้องพิจารณาเรื่องเลนส์ที่ใช้ถ่ายภาพ ภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมักจะถูกเก็บภาพโดยการใช้เลนส์ระยะความยาว 35mm หรือ 50mm (สำหรับพวกครอปเซนเซอร์ 1.6 จะได้ขนาด 56 ถึง 80mm บนระบบ full frame) เลนส์มุมกว้างเป็นสิ่งที่อยากจะแนะนำ รวมถึงพวกเลนส์ซูมซึ่งเก็บภาพในระยะทางยาว 25mm หรือต่ำกว่า (40mm บนตัว full frame) ถ้าคุณมีเลนส์ในแบบความยาวที่กล่าวมา คุณมีโอกาสที่ดีกว่าในการได้ภาพที่คมชัด การใช้เลนส์มุมกว้างจะช่วยให้คุณได้ภาพที่กว้างและครอบคลุมพื้นที่มากกว่า
คุณเป็นเจ้าของและใช้พวกฟิวเตอร์แบบเกลียวที่หมุนเข้าหน้าเลนส์สำหรับกล้องของคุณหรือเปล่า?
แม้ว่าการใช้ฟิวเตอร์สามารถลดคุณภาพของภาพถ่าย เนื่องจากเป็นการเพิ่มสิ่งกีดขวางสำหรับแสงที่จะวิ่งผ่านระหว่างตัวแบบกับเซนเซอร์ของกล้อง แต่พวกมันก็มีประโยชน์ เช่น ฟิวเตอร์ GND (Graduated Neutral Density) ที่ช่วยให้ส่วนบนของท้องฟ้าให้มืดลง หรือพวก ฟิวเตอร์ UV  (Ultraviolet) หรือ โพลาไลซ์ (Polarizing) ที่ช่วยกั้น ควรจะหลีกเลี่ยงฟิวเตอร์พวกนี้เพราะมันจะลดปริมาณของแสงที่จะเข้ามาในเซนเซอร์ เพื่อเพิ่มค่า exposure ซึ่งไม่ใช่ความคิดที่ดีนักถ้าคุณพยายามจะหยุดความเคลื่อนไหวในการถ่ายภาพ

5. การตั้งค่าที่ถูกต้อง

สิ่งถัดไปคือการตั้งค่ากล้องของคุณก่อนที่คุณจะไปออกไปถ่ายภาพ
เมื่อคุณถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ คุณต้องใช้รูรับแสงเล็กๆ เช่น f/8, f/11 หรือสูงกว่านี้เพื่อให้ได้ค่าชัดตื้นชัดลึกที่มากสุดและให้ภาพที่คมชัด ถ้าคุณใช้ขาตั้งกล้อง นั่นไม่เป็นปัญหา แม้ว่าการถ่ายภาพด้วยโหมด Manual ซึ่งสามารถปรับค่าชดเชยแสงได้ ผมก็ยังอยากให้คุณถ่ายด้วยโหมด A/AV (โหมดปรับรูรับแสงเอง) ซึ่งผมสามารถกำหนดค่ารูรับแสงเองและปล่อยให้กล้องเลือกความเร็ว shutter ถ้าในสถานการณ์แสงน้อยซึ่งกล้องมันจะสับสนและคุณจะอยู่ในความเสี่ยงที่มี ค่าแสงที่โอเวอร์ คุณจะต้องใช้การชดเชยแสงเพื่อปรับแต่งค่ารับแสงให้ต่ำลง
ค่า ISO ที่ควรใช้ควรอยู่ในช่วง 100 หรือ 200 เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีนอยส์ในภาพถ่าย อีกครั้งหนึ่งถ้ามีขาตั้งกล้องมันก็จะไม่มีปัญหาเหล่านี้ แต่ถ้าคุณถือกล้องด้วยมือเปล่าในการถ่ายภาพ คุณจะต้องเพิ่มค่า ISO ให้สูงขึ้นเพื่อให้ได้ค่าความเร็วของ Shutter ที่เร็วเพียงพอเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาภาพไม่คมชัดและเบลอ
ยังมีคำแนะนำอีกอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์ในการเพิ่มความอุ่นของภาพถ่ายนั้นคือการตั้งค่า WB (White Balance) เป็น “Sunny” หรือ “cloudy” แทนที่จะตั้งค่าเป็น Auto แม้ว่าคุณจะเพิ่มความอุ่นของภาพได้ในภาพหลังการถ่าย แต่ภาพถ่ายที่ได้รับการตั้งค่าจากกล้องจะให้ความอุ่นมากกว่าการไปปรับแต่งที่หลัง แน่นอน...ขอให้ถ่ายภาพที่เป็น RAW เสมอ.... เพื่อคุณจะได้ปรับแต่ง shadows และ highlights ที่มันหายไปกลับคืนมาได้ในระหว่างการแต่งภาพ

6. วางองค์ประกอบที่น่าสนใจ

แน่นอน...การเตรียมตัวได้จบลง เวลานี้คุณจะได้พบกับส่วนที่น่าสนุก เมื่อคุณได้ไปถึงสถานที่ที่ต้องการถ่ายภาพและพร้อมที่จะถ่ายภาพ คุณจะต้องพิจารณาถึงเรื่ององค์ประกอบภาพ ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นง่ายๆในการถ่ายภาพดวงอาทิตย์ขึ้นและตกคือการวางองค์ประกอบในแนวนอนที่อยู่ตรงกลางภาพ มันได้ผลในบางกรณีแต่มันก็เป็นการแบ่งมาตรส่วนที่ชัดเจนเกินไปและมันทำให้ภาพดูไม่น่าสนใจ ลองใช้เวลาสักครู่ในการมองภาพดูว่า อะไรคือสิ่งที่น่าตื่นเต้น มีส่วนไหนที่ดูแล้วไม่น่าสนใจในการโฟกัส  เมื่อคุณได้พิจารณาแล้วคุณก็แค่วางองค์ประกอบในการถ่ายที่รวมเอาสิ่งที่น่าสนใจเข้าไปในภาพด้วย ถ้าคุณรู้สึกแย่ ในวันที่มีเมฆมากซึ่งดูเด่นในวันที่มีอาทิตย์ส่องแสงลองปล่อยให้ตำแหน่งของภาพอยู่สูงกว่า 2 ส่วน 3 ถ้าคุณมีสิ่งที่น่าสนใจในฉากหน้า หรือวิวทิวทัศน์ใต้ดวงอาทิตย์ และมีท้องฟ้าที่ไม่น่าสนใจ ก็ปล่อยให้ตำแหน่งอยู่ต่ำกว่า 2 ใน 3 ของภาพ คุณต้องวาดภาพตามแนวนอนให้ผู้ชมได้เห็นภาพด้วยตาของพวกเขาในส่วนที่น่าสนใจของภาพมากที่สุด

7. คอยจนกว่าจะได้ภาพที่ใช่...

ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์ในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ คุณรู้ว่าการคอยเป็นเกมส์แบบหนึ่ง เนื่องจากว่าแสงธรรมชาติที่น่าสนใจ สามารถเปลี่ยนได้ภายในหนึ่งชั่วโมง หรือบางครั้งก็ภายในหนึ่งนาที  ดังนั้นเวลา คือการสร้างสรรค์ ลองใช้การปรับแต่งค่ารับแสงที่แตกต่าง ลองเล่นกับค่าชดเชยแสงโดยปรับแต่งในโทนสีที่แตกต่าง ปล่อยให้เมฆและดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งและลองถ่ายใหม่ หรือลองเปลี่ยนมุมภาพที่แตกต่าง บางทีการปล่อยให้วัตถุที่แตกต่างเข้ามาหรือออกจากเฟรมของภาพ และถ่ายพวกมันเป็นฉากหน้าที่ขัดแย้งกับดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ยิ่งคุณอยู่ในสถานที่ถ่ายภาพนั้นนานเท่าไร คุณจะได้ภาพถ่ายที่มากมายเท่านั้น

8. อย่าออกจากที่นั่นเร็วเกินไป

สิ่งสุดท้าย สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่คุณได้ยินเกี่ยวกับการถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตก นั่นก็คือให้คุณยังอยู่ที่นั่นหลังจากที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว นี้คือความจริง ความน่าสนใจทั้งหมดของภาพจะเปลี่ยนไปในจุดนี้  โทนสี สี และความเข้มในท้องฟ้ากลายเป็นความอิ่มตัวและน่าสนใจ คุณจะต้องยอมเสียส่วนที่เป็นแสงหลัก แต่สิ่งที่ยากจะปฎิเสธคือ ความสวยงามของภาพถ่ายจะเกิดขึ้นหลังจากที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว

63
เราจะได้ภาพวิวทิวทัศน์ที่คมชัดมากๆ ได้อย่างไร

โพสโดย Gavin Hardcastle แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-get-super-sharp-landscape-photography-images/

คำถามทั่วไปที่ส่วนใหญ่ชอบถามผมจากนักเรียนของผม คือ เราจะได้ภาพที่คมชัดอย่างไร? มันเป็นเรื่องที่ง่ายจริงๆ ในขั้นเริ่มต้น หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวต่างๆขณะที่ชัตเตอร์ถูกเปิด การโฟกัสอย่างดีและเลือกค่ารูรับแสงที่ถูกต้องสำหรับมุมมองที่สร้างสรรค์ ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นความรู้สึกแบบเก่ากับเทคนิคไม่กี่อย่างในการที่จะทำมัน ดังนั้นถ้าคุณต้องการเรียนรู้ว่า ทำอย่างไรถึงจะได้ภาพวิวทิวทัศน์ที่คมชัดมากๆ ลองดูความแนะนะของผมด้านล่างนี้
คำแนะนำสำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่คมชัด

1. ใช้ขาตั้งกล้องที่ดีกับหัวบอลที่มั่นคงและให้แน่ใจว่าทุกสิ่งแน่นหนา
ช่วงเวลาแล้วเวลาเล่าอีกครั้งหนึ่งที่ผมเห็นนักเรียนของผมใข้ขาตั้งกล้องที่เหมาะและพวกเขาไม่มีบางสิ่งที่จะจับได้อย่างแน่นหนา ตัวอย่างเช่น ตัวติดจะต้องขันสกรูที่ยึดใต้กล้องของคุณอย่างแน่นไม่เช่นนั้นมันจะหลุด ให้แน่ใจว่าหัวบอลได้ทำการล๊อคอย่างสมบูรณ์ในขณะที่คุณได้จัดองค์ประกอบการถ่ายไว้เรียบร้อยแล้ว

2. ขณะกำลังถ่ายภาพ อย่าวางมือของคุณลงบนตัวขาตั้งกล้อง
การสั่นของมือคุณจะทำให้ได้ภาพที่ไม่คมชัดเมื่อขณะที่ชัตเตอร์เปิด มือของคุณควรอยู่ในที่ที่ไม่ควรใกล้กับกล้อง

3. ใช้การตั้งเวลา 2 วินาที หรือใช้รีโมทการกดปุ่มชัตเตอร์
สิ่งนี้ทำให้แน่ใจว่าชัตเตอร์จะไม่เปิดจนกระทั่งมือของคุณว่างไม่จับสิ่งใดของกล้อง

4. เลนส์ราคาถูกจะหลุดโฟกัสขณะที่คุณกำลังหมุนตัววงล้อโพลาไรซ์
นี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งแต่ดูเหมือนว่ามันเกิดขึ้นบ่อย พูดง่ายๆ คือคุณได้โฟกัสอย่างดีแล้วในการจัดองค์ประกอบภาพวิวทิวทัศน์และเวลานี้เองที่คุณต้องไปหมุนวงล้อของตัวโพราไลซ์ซึ่งติดอยู่เลนส์ที่ได้ตั้งโฟกัสไว้แล้วอย่างสมบูรณ์ ลองทายซิว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่หมุนวงล้อของตัวฟิวเตอร์ เลนส์จะเสียการโฟกัสเนื่องจากการเคลื่อนไหวและแรงกดของคุณที่ทำการหมุนฟิวเตอร์นั้น สิ่งนี้จะเกิดขึ้นยากกับเลนส์ระดับมืออาชีพ แต่มันจะเกิดขึ้นบ่อยกับเลนส์คิทราคาถูกที่มีการออกแบบไม่ค่อยดี เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ง่ายๆ ที่ต้องจดจำคือ ทำการโฟกัสใหม่ก่อนที่จะกดปุ่มชัตเตอร์

5. เปิดตัว ล๊อคกระจก ถ้ากล้อง DSLR ของคุณมีฟังก์ชั่นนี้
การใช้ตัวล๊อคกระจกต้องแน่ใจว่า เครื่องกลต่างๆเป็นกระบวนการที่เกิดจากตัวระบบ mirror ที่น้อยในช่วงเวลาที่เปิดชัตเตอร์

6. เอาสายคล้องคอออกจากตัวกล้อง
ในช่วงที่มีลมแรงมันจะเป็นเหมือนใบเรือและสั่นไหวด้วยตัวมันเอง

7. เพิ่มน้ำหนักให้กับแกนกลางของขาตั้งกล้อง
ถ้าสถานการณ์มีลมแรง มันจะช่วยลดการสั่นไหวได้

8. วางถุงทรายเล็กๆ แต่หนักบนตัวกล้องหรือเลนส์
ทำสิ่งนี้ก่อนที่จะถ่ายภาพเพื่อเป็นการลดการเคลื่อนไหวจากการสั่นของตัวชัตเตอร์

9. เลือกช่วงระยะกลางเพื่อใช้รูรับแสงที่แคบ
เรื่องนี้ควรจะเป็นอีกหนึ่งบทความแต่เวลานี้มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจ ถ้าคุณต้องการให้ภาพคมชัดจากขอบภาพด้านหนึ่งไปถึงอีกด้านหนึ่งในภาพถ่ายวิวทิวทัศน์ คุณต้องเลือกค่ารูรับแสงที่ให้ความชัดลึกที่กว้าง  การใช้ค่ารูรับแสง f/2.8 จะไม่ได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นให้เลือกค่ารูที่มีค่า f/11 หรือ f/16 ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ใกล้กับฉากหน้าแค่ไหน ระวังการมีใช้รูรับแสงที่แคบ (เหมือนกับเบอร์ f/22) ความคมชัดของภาพจะน้อยเมื่อมีการกระจายออกของแสงที่อยู่ในเลนส์ ลองหาดูว่าจุดที่คมชัดที่สุดของเลนส์อยู่ที่ค่าชัดลึกเท่าไร
ข้อสังเกต: ชัดตื้นในภาพวิวทิวทัศน์สามารถทำให้สวยได้โดยคุณต้องการค่าการเปิดรูรับแสงที่กว้าง f/2.8  และเลนส์ที่สร้างโบเก้สวยๆ ส่วนใหญ่แล้วพวกเลนส์มุมกว้างมากๆ จะทำโบเก้สวยๆ ไม่ได้

10. โฟกัสให้อยู่ในระยะ
อย่าโฟกัสตัวแบบที่อยู่ใกล้ตัวคุณ พยายามเลือกตัวแบบที่อยู่กึ่งกลางซึ่งเห็นชัดเจนและโฟกัสไปที่นั้น คุณสามารถที่จะโฟกัสไปที่จุดอินฟินิตี้ได้แต่ต้องระวังเรื่องเลนส์มุมกว้างที่ผมใช้โฟกัสจะเกินค่าจุดอินฟินิตี้ ดังนั้นผมต้องโฟกัสที่จุดอินฟินิตี้ฟืกและระมัดระวังการหมุนวงแหวนโฟกัสกลับเพื่อที่ว่ามันจะไม่ไปถึงก่อนจุดอินฟินิตี้

11. ใส่แว่นตา
ถ้าคุณต้องการแว่นตาเพื่อที่จะเห็นภาพได้ชัดเจนและใช้ในการโฟกัสบางสิ่ง มันก็ควรจะทำโดยปราศจากการพูดว่าคุณต้องการใส่แว่นตาที่ดูมีสไตล์และราคาแพงเพื่อจะได้โฟกัสภาพได้ชัดเจน ยกเว้นว่า ทุกๆคนรู้ว่าการใส่แว่นตาทำให้คุณดูดีและฉลาดขึ้น ดังนั้นทำไมไม่ใส่มันละ

12. ใช้จอ Live View หรือ ตัวขยายภาพ EVF
ถ้าคุณมีกล้อง DSLR ที่มีจอมองภาพ ผมแนะนำว่าคุณควรใช้ Live View และก็ขยายภาพมาดูในสิ่งที่คุณสนใจและใช้การปรับโฟกัสแบบ manual เพื่อปรับวงแหวนโฟกัสเพื่อให้ภาพชัด ถ้ากล้องของคุณมีตัว EVF(Electronic View Finder) คุณก็ทำสิ่งเดียวกับที่ผมกล่าวข้างต้นได้ในขณะที่คุณมองผ่าน EVF ผมนำเสนอสิ่งนี้เพราะว่าคุณจะไม่มีสิ่งกวนใจโดยการจ้องไปที่ LCD หรือแหล่งกำเนิดแสงภายนอก อีกทางหนึ่งที่ควรจำไว้คือการไม่ใช่ออโต้โฟกัส ถ้าคุณเลือกที่จะโฟกัสด้วย manual กับ Live View แล้ว

ผมใช้ทุกๆ เทคนิคแต่ละอันในการถ่ายภาพเกาะ Vancouver ในการสัมนาเชิงปฎิบัติการ และผมสอนนักเรียนของผม ถ้าคุณทำตามคำแนะนำเหล่านี้ทุกครั้งที่คุณถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ คุณจะได้ภาพที่คมชัดมาก ถ้าคุณมีวิธีการของคุณเอง หรือคำแนะนำที่ทำให้ได้ภาพคมชัดช่วยแนะนำและแบ่งปันความรู้ของคุณให้เราฟังบ้าง...

64
น่าอัศจรรย์ของแสงธรรมชาติ: แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า....

โพสโดย Andrew S. Gibson แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/the-magic-of-natural-light-twilight/

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบคือการถ่ายภาพในช่วงแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ในฤดูเหล่านี้แสงจะน่าอัศจรรย์ในช่วงเวลาตอนเย็น
บ่อยครั้งที่ผมชอบความคิดในการถ่ายภาพที่เยี่ยมที่เกิดขึ้นบนขอบฟ้า ช่วงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจะเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายระหว่างกลางคืนและวันบนเส้นขอบฟ้า ขณะที่ระดับแสงต่ำลงมันทำให้เกิดความท้าทายด้านเทคนิค ส่วนคุณภาพของแสงมันมีค่ามาก ผมคิดว่านั่นคือ ชั่วโมงที่น่าอัศจรรย์ คุณอาจจะเห็นว่าเป็น ชั่วโมงของสีฟ้าซึ่งอ้างถึงสีของธรรมชาติที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืน

แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า คืออะไร

ช่วงแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า คือ ช่วงเวลาเปลี่ยนถ่ายจากวันเป็นคืน มันเริ่มหลังจากที่ดวงอาทิตย์ตกและต่อเนื่องจนกระทั่งกลางคืนเข้ามาครอบคลุมจนทั่ว คุณภาพของแสงในช่วงอาทิตย์ลับขอบฟ้านั้นสวยงาม โดยเฉพาะหลังจากวันที่ฟ้าแจ่มใสแสงแดดแรงกล้า ช่วงเวลาจะขึ้นอยู่กับระยะทางของคุณจากเส้นศูนย์สูตร ในโซนเขตร้อนของโลก กลางคืนจะเร็วและอาทิตย์ลับขอบฟ้าจะสั้น ถ้าไปไกลจนถึงทิศเหนือ หรือ ใต้ในช่วงฤดูร้อนและมันจะอยู่เป็นชั่วโมง

การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ช่วงเวลาอาทิตย์ลับขอบฟ้า

ตัวแบบที่เห็นชัดเจนมากสิ่งหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากคุณภาพแสงของอาทิตย์ลับขอบฟ้าคือ การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ เวลานี้ ผมแน่ใจว่าช่างภาพจะระมัดระวังช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์คือ ชั่วโมงทอง  ชั่วโมงก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตก ดวงอาทิตย์จะอยู่ต่ำในท้องฟ้าและมีความอุ่น การเสาะหาแสงแบบนี้สามารถนำไปสู่สถานที่ที่สวยงามที่สุด  เมื่อไรก็ตามที่ผมอยู่ที่นั้นและมองหาช่างภาพคนอื่น ผมจะประหลาดใจว่าทำไมพวกเขารีบออกจากสถานที่นั้น เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่คอยจนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกสิ่งที่เป็นรางวัลคือความสวยงามที่เกิดขึ้น แสงสีทองที่อ่อนนุ่มซึ่งเกลี่ยสีในช่วงกลางคืน แสงแบบนี้แหละเป็นแสงที่สวยงาม ถ้าคุณอยู่ชายทะเล หรือทะเลสาบคุณจะได้การสะท้อนแสงของน้ำ ภาพเปิดเป็นตัวอย่างที่ดี
มีข้อแนะนำอยู่สองสิ่งในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในช่วงแสงน้อย หนึ่งคือการใช้ ISO ที่สูง และถือกล้องด้วยมือเปล่าในการถ่ายภาพ ผมถ่ายภาพโดยใช้ค่า ISO 1600 หลังจากดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว เพื่อให้ได้ข้อดีอย่างเต็มที่ของแสงที่สวยงามในช่วงอาทิตย์ลับขอบฟ้าดังนั้นคุณควรจะใช้ค่า ISO ที่ต่ำ (เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีกว่าของภาพถ่าย) และใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้า คุณจำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องในการวางกล้องและใช้สายลั่นชัตเตอร์ หรือ รีโมทชัตเตอร์โดยปราศจากการจับตัวกล้อง (การตั้งเวลาถ่ายภาพจะถูกใช้ในช่วงคับขัน) ข้อดีของการแนะนำข้อนี้คือสามารถที่จะใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้าเพื่อสร้างความเบลอ วิธีนี้จะดีเมื่อมีน้ำอยู่ในภาพด้วย เหมือนภาพด้านบน (ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ)

การถ่ายภาพบุคคล

ผมชอบแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าในการถ่ายภาพบุคคล มันไม่เพียงแต่เป็นความท้าทาย แต่ถ้าคุณสามารถเอาชนะมันได้ คุณจะได้รางวัลของความสวยงามในการถ่ายภาพบุคคลในสภาพแสงที่ไม่ธรรมดาซึ่งช่างภาพหลายคนจะไม่ชอบถ่ายภาพแบบนี้
ทางที่ดีที่สุดในการได้ประโยชน์ของแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าในการถ่ายภาพบุคคลคือคุณและนายแบบหรือนางแบบต้องไปถึงก่อนที่อาทิตย์จะตกและได้ประโยชน์ในช่วงแสงที่คล้อยบ่ายแก่ๆ อธิบายให้นายแบบหรือนางแบบเข้าใจว่าแสงในช่วงเวลานี้คือแสงที่ดีที่สุดของวัน และพวกเขาจะได้ภาพที่สวยกลับไปเป็นรางวัล เมื่อพูดถึงการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ คุณสามารถที่จะถ่ายภาพต่อไปได้หลังจากดวงอาทิตย์ตกไปแล้วจนกระทั่งแสงเริ่มเปลี่ยนหรือช่วงเวลาอัศจรรย์ได้เลือนหายไป สิ่งที่ไม่เหมือนกับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์คือการไม่ใช้ขาตั้งกล้องดังนั้นคุณต้องการตั้งค่า ISO ที่สูงและใช้ความกว้างของค่ารูรับแสงบนตัวเลนส์ของคุณ
เลนส์ที่ดีที่สุดคือสามารถเปิดค่ารูรับแสงได้มากสุดเพื่อให้คุณถ่ายภาพที่ยาวกว่า ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีเลนส์คิท ค่าสูงสุดของรูรับแสงที่ปลายสุดของการซูม (ความยาวประมาณ 55mm) จะอยู่ที่ f/5.6 ถ้าคุณมีเลนส์ 50mm ค่าสูงสุดของรูรับแสงจะมีแค่เพียง f/1.8 ซึ่งมีความต่างถึง 3 สต๊อป
คุณจะต้องตั้งค่า ISO ที่สูง มันเป็นความคิดที่ดีในการทดสอบกล้องก่อนที่จะใช้ค่าที่แตกต่างของ ISO ที่สูงๆ และเพื่อที่จะดูว่าจะตั้งค่าได้สูงแค่ไหนก่อนที่คุณของภาพถ่ายจะเริ่มเสื่อมลง ที่มากพอที่คุณจะรับได้กับมัน กล้องของผม EOS 5D Mark II เป็นตัวอย่าง ผมมีความสุขในการถ่ายภาพที่ ISO 3200 หรือบางทีก็ 6400 ไม่ใช่แค่นั้นถ้าผมสามารถเปิดไปจนได้คุณภาพของภาพถ่ายที่ดีที่สุด ถ้าคุณมีกล้องรุ่นใหม่ๆ เช่นพวกกล้อง full-frame คุณสามารถดัน ISO ได้สูงกว่านี้อีก ถ้ากล้องของคุณเป็นรุ่นเก่าที่มีข้อจำกัดมันก็จะได้ค่าที่ต่ำกว่า มันเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคลที่คุณสามารถจะทำมัน
ภาพด้านบนนี้ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ผมใช้ ISO 6400 และใช้ค่ารูรับแสง f/1.4 มันเกือบจะมืด มันดูมืดมากเมื่อมองไปที่ภาพถ่าย แสงที่อยู่ด้านล่างนางแบบเป็นสิ่งที่ชี้วัดได้ดี

ข้อแนะนำอีกอย่างคือการใช้ขาตั้งกล้องเพื่อรองรับตัวกล้องและแฟลชที่ใช้กับตัวแบบ ถ้าตัวแบบของคุณต้องอยู่นิ่งๆระหว่างที่เปิดค่ารับแสงนาน มันจะได้ภาพที่เบลอเล็กน้อย ภาพถ่ายบุคคลนี้ใช้ความเร็วชัตเตอร์ประมาณ 2 วินาที เทคนิคนี้จะช่วยให้คุณถ่ายภาพในระหว่างอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อมีแสงน้อย

65
เรื่องราวการถ่ายภาพงานแต่งงานครั้งแรกและน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของผม

โพสโดย John Davenport แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/the-story-of-photographing-my-first-wedding-and-likely-my-last/

ไม่มีคำถามกับการถ่ายภาพงานแต่งงานเป็นหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยมของช่างภาพอาชีพ และถ้าคุณเป็นเจ้าของกล้อง DSLR ในเร็วๆ นี้ หรืออนาคตอันใกล้ บางคนที่คุณรู้จักอาจจะขอให้คุณถ่ายภาพงานแต่งงานให้กับพวกเขา สิ่งนี้อาจจะเย้ายวนใจ ผมต้องการให้คุณคิดยาวๆ และคิดเยอะๆ ก่อนที่จะตอบตกลง เพราะว่าการถ่ายภาพงานแต่งงานมีอะไรมากกว่าการยกกล้องเล็งแล้วก็ถ่าย และจับภาพในขณะนั้น  เพื่อช่วยคุณในเรื่องนี้ผมมีบางสิ่งที่จะเล่าให้ฟังครับ
เรื่องของผมคือว่า การถ่ายภาพงานแต่งงานเป็นประสบการณ์ที่ดีมากในการถ่ายภาพในชีวิตของผม ผมก็ไม่คิดว่าผมจะรับงานถ่ายภาพงานแต่งงานในเร็วๆ นี้อีก ผมไม่ต้องการให้คุณคิดว่า ที่ผมพูดอยู่นี้เป็นความคิดที่ไม่ดีในการถ่ายภาพงานแต่งงาน หรือบอกว่าประสบการณ์แรกของผมในการถ่ายภาพงานแต่งงานเป็นประสบการณ์ที่แย่ หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่างข้างต้น จริงๆ ผมสนุกกับการถ่ายภาพงานแต่งงาน แต่มีบางสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ด้วยตัวผมเองซึ่งทำให้ผมลังเลใจถ้ามีคนมาขอให้ผมทำมันอีกครั้ง

เบื้องหลังของผม

เหมือนกับช่างภาพมือใหม่ทุกวันนี้ ผมสร้างเว็ปไซต์ Facebook และเริ่มที่จะแบ่งปันภาพถ่ายของผมในแต่ละวัน เมื่อเวลาผ่านไปผมสังเกตว่าหน้าเพจมันโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เพื่อนที่เข้ามาใหม่แต่เป็นเพื่อของเพื่อนและคนอื่นๆ ที่ผมไม่รู้จัก ผมเดาว่าคุณอาจพูดว่าผมเริ่มดึงดูดให้คุณติดตาม หลังจากนั้นหลายปีผ่านไปการแบ่งปันภาพวิวทิวทัศน์และภาพชีวิตสัตว์ป่าจากทั่วใน New England หนึ่งในเพื่อนของน้องสาวผมก็เข้ามาพบผมและขอให้ผมถ่ายภาพงานแต่งงานของเธอ สัญชาตญาณของผมก็ตอบไปว่า “ผมไม่ใช่ช่างภาพงานแต่งงานครับ ทำไมคุณถึงขอให้ผมถ่ายให้ละครับ” ดังนั้นผมก็ทำเป็นเหมือนไม่สนใจ แต่เธอยืนยันว่าเธอชอบสไตล์ของผมและต้องการทำงานกับบางคนที่เธอรู้จักและไว้ใจได้ ถ้านี้คือการให้เครดิตผม ผมคงต้องทำงานหนักละคราวนี้ นี้คือสิ่งที่ผมต้องกลายเป้นช่างภาพงานแต่งงาน คุณจะไม่รู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินแบบนี้ที่ในที่สุดผมรับงานนี้

เดือนแห่งการเตรียมตัว

ผมหมายถึง “เป็นเดือน”  เจ้าสาวมีการเตรียมและวางแผน ทุกๆอย่างถูกจองล่วงหน้าเป็นเดือน จริงๆ แล้วช่างภาพเป็นงานสุดท้ายของเธอที่จะจัดเตรียม หลังจากผมรับงานนี้ผมใช้เวลาเกือบจะทั้งปี ผมพยายามเรียนรู้เท่าที่ผมจะทำได้ในการถ่ายภาพงานแต่งงานนี้คือ บทเรียนสามตอนที่ผมได้เรียนรู้มากจาก dps  Wedding Photography 101 (Part 1), Wedding Photography 101 (Part 2), Wedding Photography 101 (Part 3) มันเป็นสิ่งที่ช่างภาพงานแต่งงานควรได้อ่านมัน แต่ถ้าค้นหาอย่างรวดเร็วสำหรับค่ำว่า “การถ่ายภาพงานแต่งงาน” ใน dps จะมีออกมาเป็นโลๆกับบทความที่น่าอ่าน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมอ่านทั้งหมดกับสิ่งที่ผมกำลังทำมันไม่ได้ช่วยให้ผมเตรียมตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆเลย อารมณ์ ความกดดัน เวลาที่เร่งรีบ ปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ และสิ่งอื่นๆที่คุณจะต้องรวบไว้ในเพียง 10 ชั่วโมง คุณไม่สามารถอ่านมันได้ทั้งหมดดังนั้นผมให้มืออาชีพส่วนตัวช่วยผม ผมออกไปหาช่างภาพในระแวกใกล้บ้านผู้ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับเพื่อนของผม และเขาก็ให้ผมเป็นช่างภาพสำรองของเขาในสองสามงาน
ประสบการณ์นี้ช่วยให้ผมมั่นใจมากขึ้นในการออกไปพบกับเหตุการณ์จริง ผมอยากจะแนะนำว่าให้คุณไปพับกับช่างภาพงานแต่งงานในระแวกใกล้บ้านคุณเพื่อที่จะถ่ายภาพงานแต่งงานครั้งแรกด้วยตัวคุณเอง ประสบการณ์นี้ไม่มีค่าใช้จ่าย สุดท้ายของการเตรียมตัวคือ อุปกรณ์ ผมได้เสียเงินสำหรับการถ่ายภาพงานแต่งงานซึ่งเหมือนกับภาพวิวทิวทัศน์ ภาพชีวิตสัตว์ป่า กับเลนส์มุมกว้าง และเลนส์เทเลไม่เคยคิดว่าจะเป็นเลนส์ที่ผมจะต้องใช้ ดังนั้นผมใช้เงินเล็กน้อยเพื่อเช่ากล้องตัวที่สองสำหรับการถ่ายภาพงานแต่งงาน (คุณไม่ต้องเตรียมก็ได้) และเลนส์ 24-70mm f/2.8 เพื่อช่วยถ่ายภาพในตอนกลางคืน

ความสำเร็จของงานแต่งงาน

การเตรียมการและการให้สัญญากับตัวเองที่จะถ่ายภาพให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมเรียกมันว่า “ความสำเร็จของงานแต่งงาน” เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้ภาพที่พวกเขามีความสุข ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา และผมเรียนรู้ว่า มันเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก
ในวันแต่งงาน ผมได้รวบรวมสติปัญญาของผมทั้งหมดซึ่งวิ่งอยู่ในสารกระตุ้นอะดีนาลีน ผมมีรายการเขียนไว้ว่า “อะไรที่ต้องถ่าย” ซึ่งผมสามารถตรวจสอบได้ตลอดวัน มันยากที่จะจินตนาการเหตุการณ์ มันผ่านไปอย่างรวดเร็วแทบจะไม่ได้พักทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย ผมได้ออกจากงานหลังจากงานเต้นรำ ซึ่งผมมีความมั่นใจว่าผมทำงานนี้ได้อย่างดีเท่าที่ผมสามารถทำได้ แต่ทำไมผมไม่อยากทำแบบนี้อีก?

ทำไมผมจึงไม่รับถ่ายภาพงานแต่งงานอีก?

ไม่มีคำถามสำหรับประสบการณ์ที่มีคุณค่านี้ ผมเรียนรู้มากมายด้วยตัวผมเองถึงการเป็นช่างภาพงานแต่งงาน มากพอๆ กับที่ผมถ่ายภาพวิวทิวทัศน์มาเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ผมเรียนรู้ว่ามันไม่เหมาะสำหรับผม ผมชอบความสงบของธรรมชาติ และสามารถกลับไปที่นั่นได้อีก เพื่อปรับวิธีการถ่ายในช่วงเวลาต่างๆ และสภาพของแสง งานแต่งงานถ่ายได้ครั้งเดียว คุณได้สภาพแสงอย่างที่เห็น ได้สภาพอากาศอย่างที่เป็น และคุณก็ต้องถ่ายมันกับสภาพที่เกิดขึ้น
คุณต้องเป็นคนของทุกคน บางทีผมไม่ใช่ การเดินไปรอบงานกับผู้คนมากมายที่คุณไม่รู้จักเพื่อจะถ่ายภาพมันเป็นสิ่งที่ยากพอๆ กับคนที่ผมรู้จักเพียงหยิบมือ (เช่น เพื่อนของน้องสาว) ผมไม่คิดว่าผมทำมันได้ด้วยตัวเอง ถ้าปราศจากการช่วยเหลือและปราศจากการฝึกฝน ดังนั้นผมจะกระตุ้นให้ผู้คนได้คิดถึงการถ่ายภาพในงานแต่งงานไม่ใช่แค่การถ่ายภาพ มันเป็นวันสำคัญของหลายคน ไม่ใช่แค่เจ้าบ่าว และเจ้าสาว แต่ครอบครัวของพวกเขา ญาติๆ และเพื่อนๆ ต้องการจดจำวันนี้เท่ากับสิ่งที่คุณต้องทำมันอย่างถูกต้อง
สิ่งสอนใจของเรื่องนี้ คือ การถ่ายภาพงานแต่งงานสามารถเป็นรางวัลของประสบการณ์ แต่คุณต้องลงมือทำมัน ถ้าคุณกำลัง  คิดว่ามันเป็นงานที่ง่าย คิดอีกทีให้ดีครับ โปรดอย่าทำมันแบบฟรีๆ  การจ่ายเงินเพื่อการถ่ายภาพงานแต่งงานเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ผมต้องหาผู้ช่วย เช่าอุปกรณ์ ขับรถไปยังสถานที่แต่งงานและการทำภาพที่มีจำนวนหลายร้อยภาพ ประสบการณ์เป็นเพียงโบนัส

ดูค่าสถิติจากการถ่ายภาพงานแต่งงาน
•   ชั่วโมงที่ใช้ในการถ่ายภาพ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบงาน  ใช้เวลา 10 ชั่วโมง
•   จำนวนภาพถ่ายทั้งหมด  1500 ภาพ
•   จำนวนภาพถ่ายที่ให้กับคู่บ่าวสาว 500 ภาพ
•   การใช้วเลาในการปรับแต่งภาพ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง
•   จำนวนชั่วโมงโดยประมาณที่เสียไปกับการเตรียมตัว เวลาที่ใช้ไปกับช่างภาพคนอื่นๆ ฯลฯ   หลายชั่วโมงสำหรับเวลาเตรียมตัวระหว่างอ่านบทความและใช้เวลากับช่างภาพที่ให้คำแนะนำ ผมพูดได้เลยว่า 50 ชั่วโมงหรือมากกว่าในการเตรียมตัว

อุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพ
•   ตัวกล้อง  เช่ากล้อง Nikon D600 และกล้องของผมเอง D7000 เป็นตัวสำรอง
•   เลนส์  เช่าเลนส์ 24-70mm f/2.8 (ใช้เลนส์ตัวนี้เป็นส่วนใหญ่ตลอดงาน) และเลนส์ของผมเอง Nikon 55-300mm, Tokina 11-16mm และเลนส์ 50mm บนกล้อง D7000
•   แฟลช ใช้ Nikon SB700
•   อุปกรณ์ไฟ  เช่น ร่มหรือตัวสะท้อน   ผมไม่ได้ใช้
•   ขาตั้งกล้อง  Manfrotto 190XBPRO แต่แทบจะไม่ได้ใช้
•   อื่นๆ  ไม่มี แต่ Jim (ผู้ให้คำแนะนำของผม) บอกผมว่าเป็นความคิดที่ดีถ้าคุณมีสิ่งของเช่น เข็มเย็บผ้า ด้าย เทป ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน ไทรินอล กรรไกรและอื่นๆ มันไม่ได้มีไว้สำหรับตัวคุณแต่มันทำให้คุณเป็นพระเอกของงานแต่งงานถ้าคุณได้เอาบางสิ่งข้างต้นจากกระเป๋าวิเศษของคุณมาให้เจ้าสาวในเวลาที่เขาต้องการ

66
สวัสดีครับ พี่ๆ น้องๆ ชาว XT วันนี้ผมได้นำเอาเทคนิค ง่ายๆ แบบกันเองมาบอกกล่าวให้ฟังครับ เนื่องจากภาพที่ผมไปถ่ายมาแล้วรู้สึกว่ามันคาใจกับสิ่งที่เห็นบนภาพที่ถ่ายมา แต่พยายามหาวิธีแก้ไข ก็ได้ คุณปิยฉัตร แกหลง อาจารย์ใหญ่ แห่ง XT นี้แหละครับ ที่ชี้ทางสว่างแบบง่าย เหมือนเอาไม้ท่อนใหญ่ออกจากตา เห็นภาพกันเลยครับ

ปัญหามันก็มีอยู่ว่า เวลาเราไปถ่ายภาพดวงอาทิตย์ขึ้น หรือตก ในช่วงที่เป็น "ไข่แดง" แสงจะไม่แรง ไม่อ่อนพอให้เราได้เก็บภาพงามๆ แต่พอนำภาพมาดูบนหน้าจอคอมพิวเตอร์...กลับมีเส้นขอบสีแดงรอบดวงอาทิตย์ มันคืออะไรกันละเนี้ย...แล้วจะแก้ยังไง....สิ่งที่เกิดขึ้นเราอาจจะเรียกว่ามันเป็น CA (Chromatic Aberration) ดังนั้นการแก้ไขก็ต้องหาวิธีที่เนียน เหมือนว่าหลอกสายตาคนดูได้เป็นอย่างดี....5555 ลองไปดูรายละเอียดขั้นตอน ตามภาพที่แนบมานะครับ (ภาพด้านล่างสุดคือ ตัวปัญหาที่ผม Crop มาให้ดูว่า เส้นขอบแดงรอบดวงอาทิตย์หน้าตาเป็นอย่างไรครับ)

ภาพนี้ถ่ายด้วยกล้อง Nikon D4 เลนส์ 70-200mm f/2.8 Nano VRII อยู่บนขาตั้งกล้องครับ สำหรับค่า Exposure ต่างๆ เดี๋ยวเอามาลงเพิ่มเติมให้ครับ

ขอบคุณมากครับที่แวะเข้ามาเก็บเกล็ดเล็กๆ น้อยๆ ครับ...ขอบคุณ คุณปิยฉัตร แกหลง (พี่กิ๊ก) ที่ให้คำแนะนำครับ....

67
พัฒนาฉากหลังของคุณก็เท่ากับพัฒนาการถ่ายภาพของคุณด้วย

โพสโดย Piper Mackay แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/improve-your-backgrounds-improve-your-photography/

ฉากหลังในภาพของคุณสามารถที่จะบ่งบอกถึงระดับความชำนาญในการเป็นช่างภาพได้ การเรียนรู้ในอดีตที่ผ่านมาหรือตัวแบบที่น่าตื่นเต้น การจับรายละเอียดในฉากหลังคือสิ่งที่แยกตัวคุณจาก ช่างภาพเริ่มต้น ช่างภาพอดิเรกกับระดับมืออาชีพที่มีประสบการณ์ ฉากหลังที่อยุ่ในภาพของคุณจะแสดงถึงการฝีกฝนใช้สายตา  การเรียนรู้ในความชำนาญนี้สามารถช่วยยกระดับและพัฒนาการถ่ายภาพของคุณได้
โดยส่วนใหญ่ความแตกต่างระหว่างการถ่ายภาพแบบ snapshot และถ่ายภาพแบบบังคับสามารถทำได้ง่ายเพียงขั้นตอนเล็กๆ การเปลี่ยนมุมถ่ายภาพของคุณ หรือ ฉากหลังเบลอ ถ้าการถ่ายภาพกับตัวแบบที่น่าตื่นเต้นลองกำจัดฉากหลังและให้ตัวแบบเด่นขึ้น ถ้าคุณต้องการภาพถ่ายที่ตัวแบบในสภาพแวดล้อมของเขาต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ฉากหลังมีความน่าประทับใจเท่ากับตัวแบบซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในภาพและเพิ่มคุณค่าของภาพ

ง่ายๆสำหรับภาพที่ทรงพลัง

นี้คือตัวอย่างมากมายเพียงแค่การเคลื่อนย้ายบางสิ่ง หรือปรับแต่งสามารถเปลี่ยนภาพที่ดูไม่น่าจะใช้ได้ให้กลายเป็นภาพที่ทรงพลัง ในภาพถ่ายบุคคลด้านล่าง (ดูภาพตัวอย่างประกอบ จากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) แสงที่แข็งกระด้างทำให้ภาพไม่น่าดู ผมได้ย้ายตัวแบบให้เข้าไปอยู่ในกระท่อม แต่แสงที่ส่องผ่านช่องไม้สร้างฉากหลังที่แย่  ลองดูความส่ว่างมันสร้างจุดกวนสายตาในฉากหลัง ผมมองไปรอบๆ ดึงเอาหนังที่วางอยู่บนพื้น และวางมันไว้ด้านหลังของตัวแบบ นี้คือการเอาสิ่งกวนสายตาออกไปโดยให้ฉากหลังที่เป็นสีพื้นๆและสร้างพลังให้กับภาพถ่ายบุคคลของผม
ภาพตัวอย่างด้านล่างซ้ายดูสวยงาม แต่เมื่อคุณมองที่ตัวแบบ สายตาของคุณจะเลื่อนไปมองท้องฟ้าที่อยู่ด้านบนและออกนอกภาพถ่าย ท้องฟ้าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว ตัวแบบของผมต่างหากที่คือเรื่องราว ดังนั้นท้องฟ้าเป็นสิ่งกวนสายตา ผมได้ตั้งกล้องสูงขึ้นกว่าเดิมและซูมเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อย ให้ตัวแบบอยู่เต็มกรอบของภาพ มันช่วยกำจัดสิ่งกวนสายตาคือท้องฟ้าออกไป ดังนั้นสายตาของผู้ชมจะตรงไปยังตัวแบบและยังคงจับจ้องอยู่ตรงนั้น...

เส้นขอบฟ้าอยู่ที่ไหน

(ดูภาพประกอบคำบรรยาย จากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ลองมองดูว่าเส้นขอบฟ้าตกอยู่ที่ตัวแบบตรงไหน
ถ้าคุณต้องการให้ท้องฟ้าในภาพของคุณ คุณต้องให้แน่ใจว่าเส้นขอบฟ้าไม่ตัดส่วนศีรษะของตัวแบบ เหมือนกับภาพด้านบนนี้  เมื่อมีการปรับแต่งในการถ่ายภาพด้านล่าง ผมลดต่ำลงไปถึงระดับฟุตและซูมเข้าไปทำให้เส้นขอบฟ้าต่ำลงกว่าศีรษะของตัวแบบ ทำให้ภาพดูมีพลังกว่า
ตัวอย่างภาพด้านล่างคือการให้ศีรษะของตัวแบบอยู่เหนือเส้นขอบฟ้า  มันเป็นการถ่ายที่ยาก ถ้าสายตาของผมไม่ได้รับการฝึกฝนมองผ่านอย่างรวดเร็วในฉากหลัง เส้นขอบฟ้ามันคงตัดศีรษะตัวแบบหรือไม่ก็เอียงได้ง่ายๆ นี้คือสิ่งที่สร้างพลังให้กับภาพ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้เกิดความแตกต่างการถ่ายภาพที่เยี่ยมหรือการถ่ายภาพที่รวดเร็ว

สร้างการแบ่งแยกระหว่างตัวแบบและฉากหลัง

การแบ่งแยกระหว่างตัวแบกับฉากหลังเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำสายตาของผู้ชมไปยังตัวแบบ
ในภาพด้านบน (ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ผมจะระวังที่จะไม่ตัดนิ้วหัวโป้งและเงาของตัวแบบที่อยู่ในภาพ แต่ฉากหลังที่อยู่รอบๆ ศีรษะของตัวแบบเป็นสิ่งกวนสายตา ง่ายๆ แค่ผมก้าวไปทางซ้ายและทำรูปทรงตัววีของตันไม้ ดังนั้นภาพนี้จะนำผู้ชมตรงไปยังตัวแบบของผม ใบหน้าของผู้ชายคนนี้ดูธรรมดาโดยปราศจากฉากหลังที่กวนสายตา (ภาพด้านล่าง)

ลองดูจุดสว่าง

(ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ในภาพนี้ ผมต้องการแสดงให้เห็นตัวแบบเชื่อมโยงกับธรรมชาติ แต่ผมก็ท้าทายโดยการไม่สร้างองค์ประกอบภาพโดยปราศจากการดึงดูดของท้องฟ้าที่สว่าง  ตาของคุณมองไปที่ไหนในภาพนี้ ? ไปที่ท้องฟ้าที่สว่าง
ทางแก้คือการย้ายมุมการถ่ายภาพของผมและถ่ายในแนวตั้ง (ดูภาพด้านล่าง)

ทำให้มันเบลอ

(ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ฉากหลังในภาพด้านบนดูไม่เลวแต่เมื่อตัวแบบคือนก มันจะกวนสายตาคุณทันที ทางที่ดีที่สุดในการแก้ไขสถานการณ์นี้คือการทำให้ฉากหลังเบลอ (ไม่คมชัด) โดยเป็นรูรับแสงที่ f/2.8 และซูมเข้าไปที่ตัวแบบ ใส่ให้เต็มกรอบ ภาพนี้ดูดีมีพลังมาก (ภาพด้านล่าง)

สีสามารถเป็นสิ่งที่กวนใจ

เมื่อคุณกำลังจัดตัวแบบให้เต็มกรอบภาพควรจะตรวจสอบสิ่งที่กวนสายตาในฉากหลังด้วย (ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ในภาพแรก (ด้านบน) มีเส้นสีน้ำตาลที่วิ่งตรงผ่านฉากหลัง แต่สีของมันเป็นสิ่งกวนสายตาเมื่อคุณมองภาพนี้เหมือนคุณเป็นผู้ชมภาพ ในสองภาพถัดไปเป็นภาพที่มีฉากหลังสีที่ต่อเนื่อง ตาของคุณจะตรงไปที่ตัวแบบและอยู่กับมันตรงนั้น

ตัวแบบที่ดีเยี่ยมอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้ภาพเป็นภาพที่ร้อง ว้าว ได้

(ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ภาพด้านล่างมองดูเหมือนภาพถ่ายที่ถูกทำขึ้นเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ช่างภาพได้เห็นสิงโต หรือเพราะว่าช่างภาพไม่มีเลนส์ยาวพอที่จะเก็บภาพสิงโต บางครั้งสถานการณ์นี้เราเรียกว่า “อาหารตา” เพียงแค่มอง และไม่ต้องถ่ายภาพ เพราะว่าตัวแบบมันดูแปลกๆ มันไม่มีความหมายที่จะทำให้ภาพถ่ายดูดีเยี่ยม  ถ้าฉากหลังไม่ได้เพิ่มเข้าไปในภาพหรือเรื่องราวดังนั้นให้เอามันออกซะ เข้าไปใกล้และถ่ายภาพจากตัวแบบนั้น
ลองสัเกตว่าภาพนี้มีพลังมากกว่าภาพด้านบนแค่ไหน?

ทำการฝึกฝน

ทางที่ง่ายที่สุดในการซ้อมสายตาของคุณคือการฝึกฝน ออกไปและก็ถ่ายภาพ แต่ก่อนที่คุณจะออกไป ลองมองไปอย่างรวดเร็วกับภาพที่มีอยู่แล้วในคลังภาพของคุณ คุณเห็นอะไรในฉากหลังเมื่อคุณได้กดปุ่มชัดเตอร์
ท้าทายตัวเองโดยการเข้าไปในเมืองท่องเที่ยวที่วุ่นวาย และลองแยกแยะตัวแบบของคุณ หรือไปที่สวนสัตว์ที่ซึ่งมีฉากหลังที่แยกแยะยาก ดาวน์โหลดภาพและมองพวกมันบนหน้าจอของคุณ มองพวกมันจากด้านหลังกล้องของคุณ แต่มันจะไม่ได้อารมณ์ในขณะนั้นในการมองภาพผ่านหน้าจอ สิ่งที่ไม่ต้องการจะแสดงออกให้คุณได้เห็น ยิ่งคุณมองเห็นความผิดพลาดมากเท่าไรจากคอมพิวเตอร์ของคุณ คุณยิ่งจะจำพวกมันไว้เมื่อคุณมองจากหลังกล้อง ลองทบทวนแบบฝึกหัดบ่อยจนกระทั่งเมื่อคุณมองอะไรก็ตามบนหน้าจอคือสิ่งที่คุณกำลังมองเห็นในกรอบภาพเมื่อคุณกดปุ่มชัดเตอร์
ฝีกฝนโดยการวางตัวแบบไว้บนสภาพแวดล้อมที่สะอาด เหมือนกับภาพตัวอย่างด้านล่างนี้ (ดูภาพประกอบจากเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
ในไม่ช้าคุณจะสามารถนำเอาตัวแบบที่สองรวมอยู่ในฉากหลังสำหรับภาพถ่ายที่ดูซับซ้อนขึ้น นี้คือการนำให้ผู้ชมได้เล็งไปที่ตัวแบบหลักและก็ค้นหาสิ่งอะไรก็ตามที่รองลงมาในภาพถ่าย พยายามดึงให้ความสนใจของพวกเขาให้อยู่กับภาพของคุณนานที่สุด 
ขอให้โชคดีและสนุกกับการถ่ายภาพและปรับแต่งภาพ

68
10 หนทางการถ่ายภาพบุคคลที่ล้ำเลิศ
โพสโดย Darren Rowse
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อใช้ในการดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/10-ways-to-take-stunning-portraits
คุณถ่ายภาพบุคคลอย่างไรที่คนร้อง “ว้าว” ได้?
วันนี้หรือพรุ่ง ผมต้องการคุญเกี่ยวการถ่ายภาพบุคคลที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย  คุณเห็นว่ามันดีมากที่จะถ่ายภาพบุคคลตามกฎต่างๆ แต่มันบอกผมว่าขณะที่ผมกำลังดูภาพใน Flickr วันนี้ บ่อยครั้งการถ่ายภาพบุคคลส่วนใหญ่จะละเมิดกฎกันทั้งนั้น
ผมต้องการมองหาหนทางในการออกจากกฎและถ่ายภาพบุคคลที่น่าสะดุดตาโดยการแหกกฎและเพิ่มความไม่มีแบบแผนลงในภาพถ่ายบุคคลของคุณ ผมจะแบ่งปัน 10 ข้อคำนแนะนำวันนี้และอีก 10 ข้อในวันพรุ่งนี้
1. ปรับเปลี่ยนมุมภาพ
การถ่ายภาพบุคคลจะถูกถ่ายจากกล้องในระดับสายตาของตัวแบบ ซึ่งมันก็เรื่องปกติ แต่ถ้าเปลี่ยนมุมในการถ่ายภาพมันจะทำให้ภาพถ่ายบุคคลเป็นที่ต้องร้อง “ว้าว” ได้แน่นอน
ขึ้นไปที่สูงและถ่ายลงมาที่ตัวแบบ หรือลงต่ำติดพื้นที่คุณจะทำได้และถ่ายเงยขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนคุณจะเห็นตัวแบบจากมุมที่สร้างความน่าสนใจได้
2. เล่นกับการสบตา
มันน่าอัศจรรย์มากแค่ไหนที่เราเล็งไปที่ตาของตัวแบบที่สามารถส่งผลดีกับรูปภาพ ส่วนมากการถ่ายภาพบุคคลจะให้ตัวแบบมองลงมาที่เลนส์ มันสามารถสร้างความรู้สึกถึงการเชื่อมต่อระหว่างตัวแบบและผู้ชมภาพได้ แต่ก็มีบางสิ่งที่ควรลองเช่น
ก. ไม่ต้องมองกล้อง ให้ตัวแบบของคุณโฟกัสความสนใจในบางสิ่ง และไม่ได้อยู่ในมุมของกล้องคุณ นี้เป็นการสร้างความรู้สึกของการแอบถ่ายและยังคงสร้างประหลาดใจ และน่าสนใจขณะเมื่อผู้ชมดูภาพแล้วคิดว่าพวกเขากำลังมองอะไรอยู่ และความน่าประหลาดใจนี้ยังคงแสดงถึงอารมณ์อีกด้วย (เช่น...อะไรทำให้พวกเขาหัวเราะ หรือ อะไรทำให้พวกเขาดูประหลาดใจ?)  ให้ระวังเมื่อตัวแบบของคุณมองไปทางอื่นซึ่งมันสามารถดึงให้ผู้ชมมองไปที่ขอบของภาพ ซึ่งจะทำให้หลุดความน่าสนใจของการถ่ายภาพไป นั่นก็คือตัวแบบ
ข. มองเข้ามาในกรอบภาพ อีกทางเลือกหนึ่งคือคุณสามารถให้ตัวแบบมองบางสิ่ง (หรือบางคน) ที่อยู่ในกรอบภาพ เช่น เด็กกำลังมองที่ลูกบอล ผู้หญิงกำลังมองที่ลูกของเธอ ผู้ชายที่กำลังมองพาสต้าจานใหญ่ อย่างหิวกระหาย เมื่อคุณให้ตัวแบบของคุณมองดูบางสิ่งที่อยู่ภายในเฟรมซึ่งคุณสร้างจุดสนใจที่สองและยังสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งนั้นกับตัวแบบหลัก มันจะช่วยสร้างเรื่องราวภายในภาพได้
3. ละเมิดกฎของการจัดองค์ประกอบ
มีกฎมากมายเกี่ยวกับการจัดองค์ประกอบภาพและบ่อยครั้งผมก็ไม่ชอบพวกมัน ทฤษฎีของของผมคือ ขณะที่รู้ว่ามันมีประโยชน์และใช้พวกมันในสิ่งที่คุณรู้ดังนั้นคุณจะสามารถละเมิดกฎเหล่านั้นได้
กฎสามส่วน คือสิ่งที่สามารถละเมิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวางตัวแบบไว้ตรงกลางสามารถสร้างภาพให้มีพลังได้ หรือ การวางตัวแบบในเชิงสร้างสรรค์ไว้ที่ขอบด้านขวาของภาพ ซึ่งสร้างความน่าสนใจให้กับภาพได้เช่นกัน
อีกกฎหนึ่งที่เราพูดถึงกันบ่อยๆในการถ่ายภาพบุคคล คือการเปิดพื้นที่ว่างให้ตัวแบบได้มองบางอย่าง นี้เป็นสิ่งที่ดีกับการถ่ายภาพแบบนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ กฎก็มีไว้ให้เราได้ละเมิด....
4. ทดลองกับแสง
อีกวิธีหนึ่งของการไม่มีรูปแบบคือคุณสามารถให้ตัวแบบอยู่กับแสงที่คุณจัดไว้ ไม่มีข้อจำกัดของความเป็นไปได้ในการใช้ไฟกับการถ่ายภาพบุคคล
แสงด้านข้างสามารถสร้างอารมณ์ แสงด้านหลังและภาพเงาดำบนตัวแบบเพื่อซ่อนโครงสร้างของพวกเขามันสามารถสร้างพลังให้กับภาพได้
ใช้เทคนิค slow synch flash สามารถสร้างสิ่งที่น่าตื่นตาจนต้องร้อง “ว้าว” (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
5. ย้ายตัวแบบของคุณออกจากเขตสบายๆของพวกเขา
ผมกำลังคุยกับช่างภาพท่านหนึ่งผู้ซึ่งบอกกับผมว่าเขาถ่ายภาพเกี่ยวกับบริษัทซึ่งเขาถ่ายภาพนักธุรกิจท่านหนึ่งที่บ้านของเขา พวกเขาถ่ายส่วนศีรษะและไหล่มากมาย ถ่ายภาพที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะ ถ่ายภาพพวกใบปริญญาและใบต่างของบริษัท พวกเขาทำตามมาตรฐาน แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะแตกต่างจากคนอื่นๆเลย
ช่างภาพและตัวแบบตกลงร่วมกันว่าจะถ่ายภาพจำนวนมากมายที่ใช้ได้ แต่พวกเขาต้องการสร้างบางอย่าง “พิเศษ” ที่แตกต่าง ช่างภาพได้แนะนำให้พวกลอง “กระโดด” ตัวแบบรู้สึกลังเลใจเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อพวกเขาก้าวข้ามเขตสบายๆ ออกมาและใส่ชุดสูทผูกไทและเริ่มที่จะกระโดด
การถ่ายภาพช่างน่าอัศจรรย์ น่าประหลาใจ และน่าขันด้วย การถ่ายขั้นสุดท้ายกับตัวแบบที่กระโดดในสระน้ำของเขาเป็นภาพปิดท้าย....
ขณะนี้ฟังดูแล้วมันช่าง โง่ สิ้นดี แต่เป็นการถ่ายภาพที่จบลงด้วยนิตยสารเผยแพร่ตัวแบบเหล่านั้น มันคือภาพชุดที่ไม่ธรรมดาและทำให้นิตยสารได้เชื่อว่า เขาคือคนที่พวกเขาต้องการในลักษณะแบบนี้
6. การแอบถ่าย...
บางทีการโพสท่าถ่ายก็มองว่ามันแค่การโพสท่า...บางคนดูไม่เหมาะในการโพสท่าถ่ายและเปลี่ยนมาเป็นการถ่ายแบบแอบถ่ายกลับดูดีกว่า
Photograph your subject at work, with family or doing something that they love. This will put them more at ease and you can end up getting some special shots with them reacting naturally to the situation that they are in. You might even want to grab a longer zoom lens to take you out of their immediate zone and get really paparazzi with them.
การถ่ายภาพตัวแบบในที่ทำงาน หรือกับครอบครัวหรือกำลังทำบางสิ่งที่พวกเขารัก นี้คือสิ่งที่ดูง่ายและคุณสามารถจบลงด้วยภาพพิเศษกับสิ่งที่พวกเขาทำในสถานการณ์นั้นๆ  คุณอาจจะต้องใช้เลนส์ซูมยาวๆ เพื่อเก็บภาพของเขาในเวลาที่พวกเขาออกมาจากเขตสบายๆ ของเขาและไม่ก็เก็บภาพแบบแอบถ่ายความเป็นส่วนตัวของพวกเขา
ผมพบว่ามันทำงานได้ผลเมื่อถ่ายภาพเด็กๆ
7. แนะนำการใช้พร็อพ
เพิ่มตัวพร็อพบางอย่างเข้าไปในการถ่ายภาพและคุณสามารถเพิ่มสิ่งที่น่าสนใจอีกหนึ่งจุดสำหรับภาพถ่ายของคุณ
แน่นอน คุณอาจจะเสี่ยงกับการที่จุดโฟกัสตัวแบบหลักจะถูกเบี่ยงเบนไปได้ แต่คุณสามารถจะเพิ่มความรู้สึกของเรื่องราวและวางภาพในทิศทางใหม่และให้คนที่คุณกำลังถ่ายภาพอยู่ในระดับความชัดลึกที่พิเศษแม้จะไม่มีพร็อพก็ตาม
8. โฟกัสไปส่วนหนึ่งของร่างกาย โดยเข้าไปใกล้ๆ
ใช้เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสยาวๆ หรือเข้าไปใกล้ๆ เพื่อคุณจะสามารถถ่ายภาพบางส่วนของตัวแบบ การถ่ายภาพมือ ตา ปาก หรือส่วนต่ำของร่างกาย มันสามารถที่จะให้ผู้ชมภาพสร้างจินตนาการมากมายในภาพนั้น
บางครั้งสิ่งที่มันหลุดออกไปจากภาพ ก็ดีกว่าที่มีมันรวมอยู่ในภาพ
9. ปิดบังบางส่วนในตัวแบบของคุณ
มีความคิดมากมายของการซูมภาพไปที่ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย คือการปิดบังบางส่วนของใบหน้าหรือร่างกายของตัวแบบ คุณสามารถทำมันด้วยผ้า สิ่งของ มือของพวกเขาหรือการจัดให้บางส่วนอยู่ในเฟรมภาพ
การทำแบบนี้จะมีความหมายว่าคุณได้สร้างจินตนาการให้ผู้ชมภาพและยังโฟกัสไปที่ส่วนของตัวแบบอย่างตั้งใจซึ่งคุณต้องการให้พวกเขาโฟกัสไปในจุดนั้นเช่นกัน
10. ถ่ายภาพเป็นชุดที่ต่อเนื่องกัน
เปลี่ยนโหมดบนกล้องของคุณเป็น การยิงภาพรั่ว หรือ ถ่ายแบบต่อเนื่อง และก็เริ่มถ่ายภาพมากกว่าหนึ่งภาพในหนึ่งครั้ง...ในการถ่ายแบบนี้จะได้ภาพชุดที่ต่อเนื่องกันแทนที่จะเป็นภาพเดียว
เทคนิคแบบนี้จะเหมาะมากเมื่อคุณกำลังถ่ายภาพเด็กๆ หรือตัวแบบที่คล่องแคล่วและเปลี่ยนท่าทางหรือการโพสที่รวดเร็ว
อีก 10 คำแนะนำในการถ่ายภาพบุคคลที่ดี...จะมีต่อพรุ่งนี้
พรุ่งนี้ผมจะจบเรื่องการถ่ายภาพบุคคลกับอีก 10 เทคนิคเหมือนกับบทความข้างต้น ให้แน่ใจว่าคุณได้สมัครสมาชิก Digital Photography School เพื่อที่คุณจะได้ในส่วนที่สองนี้

เพิ่มเติม...คุณสามารถอ่านส่วนที่สองของเรื่องนี้ได้ที่ 10 More Tips for Stunning Portrait Photography. หรือไปที่ What the Mona Lisa Can Teach You About Taking Great Portraits   สำหรับการสอนการถ่ายภาพบุคคลในมุมที่แตกต่าง
แน่นอน อย่าลืมไปที่ portrait section of our forum  ซึ่งเป็นที่สนทนาเกี่ยวกับการถ่ายภาพบุคคลและโชว์ผลงานของคุณ   

69
เริ่มต้นมองการถ่ายภาพในหกขั้นตอนง่ายๆ

โพสโดย Valerie Jardin แปลโดย Topstep07

เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/start-see-photographically-5-easy-steps/

เราอาศัยอยู่ในช่วงเวลาที่จำกัดในกดปุ่ม shutter มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับคุณในฐานะช่างภาพ ในทางหนึ่ง วิธีการเรียนรู้ที่เร็วกว่า ง่ายกว่าและถูกกว่า อีกทางหนึ่งช่างภาพหลายคนมีนิสัยถ่ายภาพโดยไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับการวางองค์ประกอบภาพและพึ่งอยู่กับความโชคดีในการถ่ายภาพ
หยุดการถ่ายแบบสุ่มไปเรื่อยๆ และเริ่มถ่ายภาพอย่างตั้งใจ ก่อนที่คุณจะกดปุ่ม shutter ลองถามตัวเองว่า “จะสื่ออะไร” “ต้องการจะเล่าเรื่องอะไร” มีหลายหนทางที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องเหล่านี้ และนี้คือบางขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณก้าวเข้าไปสู่เกมส์ของคุณ ไม่ว่าคุณจะมีกล้องชนิดไหน หรือเลนส์อะไรที่คุณใช้
1. ดูสภาพแสง
ลองดูสภาพแสงและเงา ระวังในเรื่องคุณภาพของแสงรอบๆตัวคุณ (แสงแข็งกับแสงนุ่ม) และมันมีผลกับตัวแบบ อาคาร หรือสิ่งอื่นๆ ยิ่งคุณให้ความระมัดระวังเกี่ยวกับคุณภาพและปริมาณของแสงมากเท่าไร ยิ่งทำให้คุณควบคุมมันและให้มันทำงานให้คุณได้ดีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดของวัน
ลองดูแสง มันมีผลกับตัวอาคารและตัวแบบรอบๆตัวคุณ  (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)

เมื่อคุณเห็นแสง จากตัวแบบธรรมดาไม่มีอะไรมันจะกลายเป็นตัวแบบที่น่าทึ่งทันที (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
2. ใช้ทัศนวิสัยที่ชัดเจนกับกฎการวางองค์ประกอบภาพพื้นฐาน
มีอยู่หลายหนทางที่จะกระตุ้นแนวคิดของคุณและมันก็จะเป็นจุดเริ่มต้นการตัดสินใจก่อนที่คุณจะกดปุ่ม shutter
ใช้จุดโฟกัสและความชัดตื้นชัดลึก
ทางที่ชัดเจนในการนำสายตาผู้ชมก็คือการโฟกัสไปที่ตัวแบบและใช้ค่าชัดตื้นชัดลึกที่ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่มีความผิดพลาดที่สายตาของผู้ชมจะจับจ้อง มันใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการล๊อคโฟกัสและจัดองค์ประกอบใหม่ คุณต้องใส่ความคิดเข้าไปและทันใดนั้นคุณก็ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วเพื่อจะทำให้ภาพของคุณมีพลัง
ใช้จุดโฟกัสและความชัดตื้นชัดลึกเป็นตัวนำสายตาของผู้ชมไปยังตัวแบบ  ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
เส้นนำสายตา
บ่อยครั้งที่ละเลยการใช้เส้นต่างๆเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการนำสายตา
ใช้เส้นนำสายตาในการจัดองค์ประกอบภาพ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
กฎสามส่วน
ตำแหน่งของตัวแบบที่อยู่กรอบภาพของคุณเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องตัดสินใจที่จะวางมันในองค์ประกอบภาพ คุณไม่สามารถที่ใช้กฎสามส่วนมากเกินไป แต่มันก็ไม่แปลกที่จะละเมิดกฎตามที่คุณต้องการ
กฎสามส่วนมันใช้ได้...ดังนั้นใช้ซะ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
การละเมิดกฎสามส่วนทำได้เรื่อยๆตามที่ต้องการ ทำได้นานๆตามที่คุณรู้ว่าคุณละเมิดมันทำไม ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
การใช้สี
ก็เหมือนกับการใช้จุดโฟกัสเป็นตัวนำสายตา การใช้สีก็เป็นเครื่องมือการวางองค์ประกอบภาพที่ทรงพลังเช่นกัน เพราะสีก็ช่วยการนำสายตา มันเป็นอีกเหตุผลหนึ่งในการที่เปลี่ยนภาพสีของคุณไปเป็นภาพขาวดำ เพื่อกำจัดสีที่ไม่ดึงดึงออกไปและทำให้ภาพมีพลัง
เนกาตีฟ สเปซ
การใช้เนกาตีฟ สเปซที่ชาญฉลาดจะทำให้ภาพมีพลังและเป็นการเน้นตัวแบบ (โพสิทีฟ สเปซ)
การใช้เนกาตีฟ สเปซให้อิทธิพลมากับภาพของคุณ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
ลวดลายที่เป็นแบบแผน
ลองดูและใช้แบบแผนที่ซ้ำๆ หรือถ้าให้ดีกว่า มองหาสิ่งที่จะแยกจากแบบแผน
ภาพตัวอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
ดังนั้นคุณจะเห็นภาพที่ทรงพลังในการรวมเอาองค์ประกอบต่างๆ ข้างต้นเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ลวดลายแบบแผนที่ซ้ำๆ เส้นนำสายตา กฎสามส่วนและสี ที่จะนำสายตาของคุณไปยังตัวแบบ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
3. น้อย คือ มาก
เรียนรู้ที่จะปล่อยสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากเฟรมภาพเพื่อให้ได้ภาพที่ทรงพลัง สิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตเหตุเห็นทุกๆครั้งเมื่อฉันมองดูที่ลูกศิษย์ของฉัน คือพวกเขาจะพยายามรวมเอาทุกๆอย่างไว้ในเฟรมภาพ อะไรก็ตามที่ที่คุณตัดสินใจที่ปล่อยมันออกจากเฟรมภาพระหว่างที่คุณวางองค์ประกอบมันจะทำให้ภาพมีพลัง  ทำให้มันง่ายเข้าไว้ เรียนรู้ที่จะมองและตัดมันจากตัวกล้อง
คุณไม่ต้องการตัวแบบที่เห็นเต็มทั้งหมดเพื่อสร้างภาพที่ทรงพลัง ฝึกฝนการ
น้อยคือมาก คิดถึงสิ่งเล็กและให้ผลกระทบที่มากในภาพของคุณ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
4. เข้าใกล้และจัดให้เต็มกรอบภาพ
ตัวแบบ ที่บางครั้งดูเป็นสิ่งธรรมดาทั่วไป มันจะดูน่าสนใจถ้าคุณจัดให้มันอยู่เต็มกรอบภาพ เข้าใกล้...คุณคิดว่าใกล้พอหรือยัง? คุณต้องเข้าไปใกล้อีก
เต็มกรอบภาพ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
เข้าใกล้ และเข้าไปใกล้อีก ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
5. เล่นกับกรอบภาพ
พยายามลองถ่ายภาพจากมุมที่แตกต่าง ถ่ายจากมุมสูง มุมต่ำ เอียงกล้องเพื่อให้ได้ภาพที่มีพลัง
การเล่นกับกรอบภาพ ถ่ายจากมุมสูง ต่ำ บางสิ่งมองดูแล้วไม่น่าสนใจหากถ่ายในระดับสายตา... ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
6. ดูฉากหลัง
มันใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการกวาดสายตาในกรอบภาพและตรวจสอบฉากหลังของคุณเพื่อกำจัดสิ่งรบกวน ยังคงใช้เวลาไม่กี่วินาทีอย่างรวดเร็วที่จะปรับเปลี่ยนทิศทางในการกำจัดสิ่งรบกวน หรือหลีกเลี่ยงกิ่งไม้ที่เข้ามาในหูของบางคน
ภาพนี้จะถูกทำลายหากผมไม่เคลื่อนตัวไปทางขวาเพื่อหลีกเลี่ยงกระถางต้นไม้ที่ตรงกับหัวของผู้ชายคนนี้ ©Valérie Jardin (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
ครั้งต่อไปเมื่อคุณออกไปข้างนอกพร้อมกับกล้องของคุณ ลองใจเย็นๆ และคิดให้ดีว่าคุณต้องการจะสื่ออะไรในภาพของคุณ ถ้าคุณไม่ได้ไปถ่ายนก ถ่ายเด็กกำลังหัดเดิน หรือถ่ายกีฬา ลองกด shutter แบบนับจำนวน..
ในไม่ช้ากฎการวางองค์ประกอบภาพจะกลายเป็นเรื่องรองโดยธรรมชาติ คุณจะมองพวกมันโดยปราศจากการคิดเกี่ยวกับมัน คุณจะเรียนรู้การมองการถ่ายภาพและงานของคุณจะพัฒนาขึ้น
ขอให้สนุก

70
5 แนวทางสร้างสรรค์ที่จะค้นพบสถานที่ถ่ายภาพใหม่ๆ

โพสโดย John Davenport แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/5-creative-ways-find-new-locations-photograph/

ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้ไปเยี่ยมเยือนสถานที่เป็นครั้งแรก ผมรักมันละผมพยายามที่จะหาสถานที่ถ่ายภาพใหม่ๆหนึ่งที่และแต่ละเดือน
เมื่อผมเริ่มต้นเส้นทางการถ่ายภาพมันไม่ได้ท้าทายอะไรมากนักในช่วงที่ผ่านมาเหมือนกับสวนหลังบ้านของผมเองที่มันดูใหม่สำหรับผม แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านี้เริ่มที่จะยากขึ้น สถานที่ใหม่ๆ กลายเป็นว่า “ต้องออกไปหามัน” และมันกลายเป็นจุดที่ซึ่งผมเพียงถ่ายภาพในสถานที่ที่ผมเคยไปมาแล้ว
ในขณะที่ผมรักการเดินทางไปในโลกนี้บนความเพ้อผัน ผมไม่ได้มีเงินทองหรือเวลาที่จะทำซึ่งถูกจำกัดขอบเขตในสถานที่ใหม่ ที่ผมจะขับรถจากบ้านผมไปได้ ผลของมันก็คือผมได้พัฒนาเทคนิคที่เป็นประโยชน์เพื่อจะออกไปจากท้องที่ของผมและผมเชื่อว่าจะช่วยคุณด้วยเช่นกัน
หนทางสร้างสรรค์ที่จะพบกับสถานที่ถ่ายภาพใหม่ๆ
1. ติดอยู่กับโลก
ขณะที่ Google Maps, Google Earth และ Google’s Street เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ได้ข้อมูลของสถานที่ มันเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่ผมเคยใช้ค้นหาสถานที่ถ่ายภาพซึ่งเป็น แอพที่วิเศษสุดที่ถูกสร้างเพื่อให้คนอยู่ติดกับมัน หรือเรียกว่า ติดอยู่กับโลก
มันทำงานโดยนำภาพและข้อมูลของสถานที่กับแผนที่สวยงามที่เป็นแหล่งข้อมูลที่วิเศษไม่เพียงแต่สถานที่ แต่ภาพที่ช่างภาพคนอื่นๆ ได้ถ่ายไว้ในสถานที่นั้น
ในการสุ่มการค้นหาสถานที่สำหรับการถ่ายภาพมันจะแสดงสถานที่มากมายรอบโลก พวกมันจะมีสิบอันดับต้นในรายการที่ถูกเก็บข้อมูลโดยช่างภาพที่แสดงภาพที่ดีที่สุดในแต่ละเมืองรอบโลก และมันยังคงมีลักษณะเฉพาะมากมายอีกด้วยและผมก็แนะนำว่ามันเป็นแหล่งข้อมูลที่ดี (ยิ่งไปกว่านั้นมัน ฟรี)
คุณสามารถค้นหาเพิ่มเติมได้จากที่นี้ www.stuckonearthapp.com
2. เข้าร่วมกลุ่มถ่ายภาพ
ผมอยากจะบอกว่าทางที่ดีที่สุดทางหนึ่งที่จะออกไปข้างนอกแล้วพบกับสถานที่ใหม่ๆ คือ การพบปะพูดคุยกับคนกลุ่มใหม่ในท้องที่ของคุณ แม้ว่าคุณได้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่คุณใช้เวลาทั้งชีวิตมาแล้วก็ตาม แต่บางคนก็พบสถานที่ที่น่าสนใจที่คุณไม่รู้มาก่อน หรืออีกทางหนึ่งคือสามารถที่จะพบมุมมองใหม่กับสถานที่ที่คุณคิดว่าคุณเก็บภาพมาหมดแล้ว
บ่อยครั้งกลุ่มนักถ่ายภาพจะถือกล้องแล้วเดินออกไปซึ่งจะช่วยคุณไปถึงสถานที่ที่แตกต่าง โดยที่หลายครั้งอาจจะกลายเป็นสิ่งใหม่สำหรับคุณที่ ต้องออกไปเมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์ขับขันที่จะไปถึงที่หมายก่อนดวงอาทิตย์ตก มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและผมอยากจะแนะนำว่าให้ลองมันถ้าคุณยังไม่เคยทำ
คุณเคยไป Photowalk ไหม? เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ของคุณบ้างซิ
3. ทำสถานที่เก่าที่เคยไปให้ดูเหมือนสถานที่ใหม่โดยการถ่ายภาพในตอนกลางคืน
เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องออกไปหาสถานที่ใหม่ แต่ถ่ายภาพในสถานที่เดิมในช่วงเที่ยงคืน
ช่วงกลางคืนจะเปลี่ยนวิธีการรับรู้ในโลกนี้ของเรา และมันจะเปลี่ยนวิธีที่คุณมองเห็นกับสถานที่ที่คุ้นเคยด้วย มันเปิดสิ่งใหม่ๆของความท้าทายและทำให้คุณต้องถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย แต่ในความคิดของผมมันเป็นสิ่งที่น่าสนุกแบบหนึ่งในการถ่ายภาพเลยทีเดียว
ลองอ่านวิธีการถ่ายภาพตอนกลางคืนเพิ่มเติมได้จากที่นี้  www.phogropathy.com/how-to-take-better-photos-of-the-stars/
4. ซื้อหนังสือแนะนำสถานที่ในท้องถิ่นของคุณ
หนังสือแนะนำอาจจะดูเหมือนล้าหลังในวันนี้กับการที่เราสามารถหาข้อมูลได้มากมายในโลกออนไลน์ แต่มันก็มีบางอย่างที่บอกว่า หนังสือแนะนำที่ดีจะเป็นเพื่อนนำทางคุณไปสู่จุดหมาย บอกคุณในสิ่งที่คุณคาดหวัง ที่ที่คุณควรจะพัก และช่วงเวลาไหนที่ดีที่เหมาะจะไปเยี่ยมเยือน
ผมไม่เคยพบกับน้ำตก Trap มาก่อน (ภาพด้านบน) (โปรดดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ) ถ้าผมไม่มีหนังสือแนะนำรายละเอียดของน้ำตกจำนวนนับร้อย และน้ำตกเล็กที่เป็นหน้าผาชันที่ นิวอิงแลนต์ มันน่าประหลาดใจมากสำหรับข้อมูลรายละเอียดที่หนังสือบอกไว้ไม่เพียงแต่น้ำตกที่มีอยู่แต่บอกถึงความยากที่จะปีนมันด้วยและความสวยงามที่มันตกลงมาของน้ำตก
มีหนังสือแนะนำเป็นจำนวนมากใน Amazon และตามร้านหนังสือทั่วๆ ไป และบางเล่มก็สามารถดาวน์โหลดจาก eBook ในโทรศัพท์ของคุณ หรือ eReader และคุณสามารถนำมันไปกับคุณตลอดการเดินทางได้
5. เติมน้ำมันให้เต็มถังแล้วขับมันออกไป
สิ่งสุดท้าย ถ้าทุกอย่างมันล้มเหลว แค่เติมน้ำมันรถคุณให้เต็มถังและขับมันออกไป สิ่งหนึ่งที่ผมชอบทำคือขับไปตามถนนไฮเวย์และมุ่งตรงไป และบอกตัวเองว่า “ฉันจะขับที่ความเร็ว 50 ไมล์และเลี้ยวออกที่ทางออกแรกที่ฉันเจอมัน” ในที่สุดผมก็ได้พบตัวเองอยู่ในเมืองที่ไม่รู้จักมาก่อนกับสิ่งใหม่ที่เพิ่งเคยพบเห็น ผมชอบที่พาเพื่อนไปด้วยเพื่อให้เขาช่วยเป็นหูเป็นตาให้ผมเพื่อผมจะได้มั่นใจว่าผมเห็นโอกาสการถ่ายภาพที่เป็นไปได้
แน่นอนมันไม่ใช้เรื่องฉลาดที่จะพิสูจน์สำหรับแผนนี้ และขับรถไปแบบไร้จุดหมายซึ่งเป็นไปได้ที่คุณจะพบกับสถานที่ที่คุณมองข้ามมันไป มันเหมือนกับว่าคุณใช้เวลาทั้งวันในการขับรถไปรอบๆ ที่ไร้ประโยชน์ เสียเวลาและเผาพลาญน้ำมันไปเปล่าๆ
คุณค้นหาสถานที่ใหม่ๆ ในการถ่ายภาพอย่างไร?
โอเค...นี้เป็นเวลาของคุณแล้วที่จะช่วยเพิ่มเติมคำแนะนำจากด้านบน ผมชอบที่จะได้ยินถึงเทคนิคที่คุณใช้ในการค้นหาสถานที่ใหม่ๆ ทิ้งคำแนะนำไว้ด้านล่างให้เราได้ทราบบ้างนะครับ

71
 ความแตกต่างของขาตั้งกล้องสำหรับตัวแบบที่แตกต่าง..คุณจะเลือกแบบไหน?
โพสโดย Scott Wyden Kivowitz แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/different-tripods-for-different-subjects

บ่อยครั้งเรื่องขาตั้งกล้องเป็นหัวข้อที่สนุกสนานในการสนทนาแต่คุณอาจจะไม่ได้คิดเพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ในสถานการณ์ต่างๆ ขาตั้งกล้องที่คุณใช้ก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างมากนัก เหตุผลเพราะขาตั้งกล้องของคุณมันถูกออกแบบมาเพื่อไว้วางกล้องของคุณก็เท่านั้นเอง แต่ในขณะเดียวกัน ความแตกต่างของขาตั้งกล้องจะมีประโยชน์ในสถานการณ์ที่พิเศษบางอย่าง
ในบทความนี้ ผมจะแยกออกเป็นหกสถานการณ์ที่แตกต่างซึ่งต้องใช้ขาตั้งกล้องที่ต่างกันออกไปและสามารถช่วยพัฒนาการถ่ายภาพของคุณ สถานการณ์เหล่านี้ขาตั้งกล้องจะทำหน้าที่เกินกว่าที่จะใช้เพียงแค่ตั้งกล้องอย่างเดียว การปรับความสูงและมุม เราลองไปดูกัน

ขาตั้งกล้องสำหรับเลนส์ช่วงยาว

เมื่อการถ่ายภาพด้วยเลนส์ช่วงยาวขาตั้งกล้องที่มั่นคงจะเป็นกุญแจสำคัญ อย่างไรก็ตามขาตั้งกล้องทั่วๆไปที่คุณซื้อทุกวันนี้จะทำจากพวกคาร์บอนไฟเบอร์ เหตุผลก็เพื่อความแข็งแรงและมีน้ำหนักที่เบาของตัววัสดุ ซึ่งข้อดีสองข้อนี้ทำให้ขาตั้งกล้องที่เป็น คาร์บอนไฟเบอร์เป็นที่ต้องการสำหรับการถ่ายภาพทุกชนิด อย่างไรก็ตามสำหรับการถ่ายภาพด้วยเลนส์ช่วงยาวคุณต้องการขาตั้งกล้องที่มั่นคง และการที่ขาตั้งกล้องมีน้ำหนักเบาไม่ได้เป็นผลดีนัก
การที่ขาตั้งกล้องมีตัวตะขออยู่ใต้หัวหรือใต้แกนแนวตั้งซึ่งจะทำให้คุณสามารถแขวนสิ่งหนักๆ หรือถุงทรายเพื่อช่วยให้ขาตั้งกล้องมั่นคง ขาตั้งกล้องที่มีคุณภาพสูงจะมีเทคโนโลยีกันสั่นซึ่งจะช่วยไม่ให้เกิดการสั่นไหว สิ่งสุดท้าย ขาตั้งกล้องที่มีความสามารถในการติดตัวปุ่มแหลมใต้ขาตั้งได้จะเป็นประโยชน์เมื่อเราถ่ายภาพในสถานที่เป็นพื้นดิน ทราย หรือในมหาสมุทร
ขาดตั้งกล้องพับได้ แบบ P5CRH (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)

ขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพพาโนราม่า

น้ำหนักของขาตั้งกล้องไม่ได้เป็นประเด็นสำหรับการถ่ายภาพพาโนราม่า ถ้าปราศจากการถ่ายภาพพาโนฯ ด้วยเลนส์ช่วงยาว มีสองส่วนประกอบสำหรับขาตั้งกล้องที่จะช่วยพัฒนาการถ่ายภาพพาโนราม่า สิ่งแรกคือ ตัวเพลทหรือฐาน คุณสามารถที่จะใช้ขาตั้งกล้องในมุมและระดับของขาตั้งที่แยกจากขาตั้งกล้องซึ่งมันจะช่วยให้การเปลี่ยนมุมระหว่างเฟรมภาพไม่สะดุด อีกสิ่งหนึ่งคือตัว nodal สไลด์ ซึ่งจะช่วยให้เลนส์เข้าใกล้จุดแกนหมุนแทนที่จะเป็นตัวกล้อง การที่เลนส์มีการวาง nodal สไลด์ที่ถูกต้องจะช่วยให้มีมุมภาพโค้งน้อยระหว่างภาพ สำหรับช่างภาพพาโนราม่าขั้นสูงหัว gimbal จะเป็นทางเลือกที่ดีในการนำมาใช้งาน

ขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพบุคคลเฉพาะส่วนศีรษะ

การถ่ายภาพเฉพาะส่วนศีรษะจะแตกต่างจาการถ่ายภาพพอร์ตเทรด ฟังดูแปลกๆ แต่มันเป็นความจริง การถ่ายภาพแบบพอร์ตเทรดคุณจะมีการเคลื่อนย้ายขาตั้งกล้องไปรอบๆ อย่างไรก็ตามการถ่ายภาพเฉพาะส่วนศีรษะ ตัวแบบจะยืนหรือนั่งแค่จุดเดียวและมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย คุณในฐานะช่างภาพ จะไม่เคลื่อนที่ไปมามากนัก
ในเวลาเดียวกัน เมื่อคุณกำลังเคลื่อนที่คุณต้องการการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นกับตัวขาตั้งกล้องและสามารถที่ควบคุมไม่ให้กล้องเปลี่ยนตำแหน่ง เมื่อคุณจะต้องถ่ายภาพบุคคลเฉพาะส่วนศีรษะให้แน่ใจว่าคุณใช้หัวบอลบนขาตั้งกล้องมากกว่าหัวชนิดอื่น มันช่วยให้การทำงานที่ดีกว่า ผมอยากจะแนะนำให้คุณดูวีดีโอของ Peter Hurley เกี่ยวกับการถ่ายภาพบุคคลเฉพาะส่วนศีรษะ และดูว่าเขาใช้ขาตั้งกล้องกับกล้อง Hasselblad ซึ่งมีน้ำหนักมาก อย่างไร

ขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพสินค้า

การถ่ายภาพสินค้าคือการถ่ายภาพในสตูดิโอซึ่งตัวแบบจะไม่เคลื่อนไหว เมื่อคุณอยู่ในสตูฯ การถ่ายภาพสินค้ากล้องของคุณจะอยู่ในตำแหน่งเดียวตลอดเวลาซึ่งมีเพียงการปรับแต่งเล็กน้อย บ่อยครั้งคุณจะต้องมีตัววาง laptop และมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆบนขาตั้งกล้อง ที่จะต้องเชื่อมต่อระหว่างกล้องกับ laptop แต่ก็น่าแปลกที่ช่างถ่ายภาพสินค้าใช้ Camera stand ถ่ายมากกว่าใช้ขาตั้งกล้อง มันจะมีหลักการเหมือนกับขาตั้งกล้องยกเว้นว่ามันมีน้ำหนักมาก และทำการปรับแต่งความสูง มุมและระยะ มันจะอยู่บนล้อเลื่อนที่เคลื่อนย้ายไปได้รอบๆสตูดิโอได้ การที่ Camera Stand ถูกออกแบบให้ใช้งานหนักดังนั้นการจะติดที่วาง laptop เป็นเรื่องง่ายและปลอดภัย
ราคาของ Camera Stands จะแพงมากราคามากกว่า 1000 เหรียญสหรัฐ ดังนั้นมันไม่เหมาะสำหรับทุกคน ถ้าคุณไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้เงินมากเพียงเพื่อการถ่ายภาพครั้งเดียว ผมแนะนำว่าหาขาตั้งกล้องที่เป็นพวกขาเหล็กเพราะว่าคุณไม่ได้เคลื่อนย้ายตัวสินค้าและมันก็ตั้งอยู่เพียงตำแหน่งเดียว ขาตั้งกล้องที่ใช้งานหนักพวกนี้มันสามารถถือกล้องที่มีน้ำหนักมากๆได้ และถ้าคุณต้องการจะเพิ่มที่วาง laptop เข้าไปด้วย คุณจะรู้สึกมั่นใจว่ามันจะวางทั้งกล้องและ laptop ได้อย่างปลอดภัย สำหรับการถ่ายภาพสินค้า หัวบอลไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เหมือนกับพวก Induro PHQ-3 หัวปรับได้สามทิศทาง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่า

Paul Burwell พูดเกี่ยวกับเรื่องขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเมื่อได้อ่านแล้ว ขาตั้งกล้องที่เป็นพวกคาร์บอนไฟเบอร์จะเหมาะกับการถ่ายภาพชนิดนี้ หัว Gimbal สามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับช่างภาพชีวิตสัตว์ป่าซึ่งรวมถึงวัสดุหุ้มตัวเลนส์ ถ้าคุณไม่สามารถหาหัว Gimbal ได้ก็ให้ใช้หัวบอลซึ่งคุณสามารถยึดและปรับมุมมองได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
สำหรับช่างถ่ายภาพชีวิตสัตว์ป่าบ่างท่าน ตัวจับซาฟารี (เหมือนกับอันนี้ จาก Really Right Stuff) สามารถใช้ประโยชน์ได้ดีมาก โดยเฉพาะถ้าคุณต้องเดินทางไปแอฟริกาและต้องถ่ายภาพจากรถบรรทุก

ขาตั้งกล้องสำหรับการถ่ายภาพท่องเที่ยวและเดินถ่ายภาพ

ผมได้รวมเอาสองเรื่องไว้ในเรื่องเดียว เพราะว่ามันคล้ายกันถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้เดินทางถ่ายภาพ แต่หลักการก็เหมือนกัน พื้นฐานไม่ว่าจะเดินทางถ่ายภาพ หรือเดินถ่ายภาพคุณก็ต้องแบกขาตั้งกล้องที่มีน้ำหนักเบาสะดวกสบาย โดยส่วนตัวผมมีขาตั้งกล้องของ Really Right Stuff ซึ่งทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ มันสูงแต่เบา แท้จริงเท่ากับตัวขาตั้งกล้องสามขาขนาดพกพาด้วยซ้ำ
แน่นอน ขาตั้งกล้องสามขาแบบพกพาจะเหมาะกับสถานที่เล็กๆ เหมือนกับกระเป๋ากล้อง ขาตั้งกล้อง Really Right Stuff ไม่ได้เพิ่มน้ำหนักมันมั่นคงมากและยึดได้สูงกว่า

บทสรุป

ในบทความนี้ผมได้แบ่งปันหกเหตุผลการเลือกใช้ขาตั้งกล้องและความแตกต่างในการใช้งาน แม้ว่าบางสิ่งที่เจาะจงอาจจะต้องหาขาตั้งกล้องที่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณจะถ่าย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
ยิ่งคุณรู้จักอุปกรณ์ของคุณ เข้าใจว่ามันใช้งานอย่างไรเพื่อให้ได้ความสามารถที่ดีที่สุด แน่นอนว่าคุณจะรู้สึกดี ใช้สิ่งที่คุณคุ้นเคยและถนัด เพราะว่าการใช้ขาตั้งกล้องกับหลายๆ สถานการณ์ย่อมดีกว่าการไม่มีขาตั้งกล้องเลย
ก่อนที่ผมจะจบในบทความนี้ ผมต้องการแบ่งปันบทความที่มีประโยชน์ใน dPS ให้แน่ใจว่าคุณได้อ่านบทความ ซื้อขาตั้งกล้องอย่างไร ใช้ขาตั้งกล้องอย่างไร และ ตั้งมั่น
ถ้าคุณมีคำแนะนำอะไรเพิ่มเติมโปรดเขียนคำแนะนำไว้ด้วย

72
 เลือกซื้อขาตั้งกล้องอย่างไร?

A Post By: Darren Rowse
โพสโดย Darren Rowse แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-buy-a-tripod

โพสนี้เป็นเรื่องขาตั้งกล้อง ที่มีหัวข้อต่อเนื่อง (คุณควรจะอ่าน การแนะนำเรื่องขาตั้งกล้อง ก่อนที่จะอ่านบทความนี้)
มุ่งหน้าไปร้านขายกล้องใกล้บ้านคุณและคุณจะพบกับขาตั้งกล้องจำนวนมากที่มีความหลากหลาย มันจะมีรูปทราง ขนาด น้ำหนักและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่จะเชื่อมต่อกับกล้องของคุณ แล้วคุณจะเลือกอันไหนดีละ นี้คือหกสิ่งที่ให้เราได้คิดไว้ในใจ......
1. น้ำหนัก
น้ำหนักของขาตั้งกล้องควรจะถูกพิจารณาจากสองมุมมอง ข้อที่หนึ่ง...จำไว้ว่าคุณหรือ(บางท่าน) กำลังจะต้องแบกขาตั้งกล้องไปกับตัวคุณ ถ้าคุณใช้มันในการเดินทาง หรือคุณต้องถือมันตลอด คุณต้องเลือกอันที่มีน้ำหนักเบาเป็นทางเลือกแรก ข้อที่สอง...น้ำหนักมีความสำคัญเมื่อพิจารณาว่าคุณจะวางอะไรไปบนขาตั้งกล้อง ถ้าคุณใช้กล้องเล็กๆไม่มีอุปกรณ์เสริมอะไรคุณก็ไม่จำเป็นต้องมีขาตั้งกล้องที่มีน้ำหนักมาก แต่ถ้าคุณใช้กล้อง DSLR ใช้เลนส์ใหญ่ๆ และมีแฟลชบนหัวกล้อง คุณจะต้องลงทุนกับบางสิ่งที่จะรับน้ำหนักของเหล่านี้
2. ความมั่นคง
น้ำหนักจะไม่เท่ากับความมั่นคง ถ้าเป็นไปได้ให้คุณทดสอบขาตั้งกล้องกับกล้องของคุณ ให้ทดสอบการใช้งานดูว่ามันมั่นคงหรือไม่ มันจะนิ่งและมั่นคงในวันที่มีลมแรงหรือเปล่า? มันจะล้มง่ายไหมเมื่อมีคนเดินเตะ?
3. การล๊อคของขาตั้ง
มีผู้ผลิตหลายรายที่ผลิดกลไกการล็อคขาตั้งที่แตกต่างกัน ส่วนมากมันจะออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล แต่คุณต้องแน่ใจว่าไม่ว่าจะมีใช้วิธีการใดๆคุณควรจะเลือกขากตั้งที่ใช้ง่าย ปรับแต่งง่ายแต่มันจะต้องแข็งแรงและรองรับน้ำหนักตัวกล้องได้ดี ส่วนตัวแล้วผมชอบการล๊อคแบบพับไปมาของขาตั้งกล้องยี่ห้อ Manfrotto
4. จำนวนท่อนของขาตั้งกล้อง
จำนวนท่อนของขาตั้งกล้องก็เป็นปัจจัยสำคัญ เลือกอันที่มีเพียง สองท่อนและคุณสามารถดึงมันออกมาได้เมื่อต้องการจะพับมัน แน่นอนขาตั้งสองท่อนมันดีเพราะว่ามีตัวล๊อคจำนวนน้อยกว่าและไม่ยุ่งยาก ขาตั้งสามท่อนจให้ขนาดที่เล็กกว่าในการพับเก็บ (และบางทีก็เชื่อกันว่ามันมีโครงสร้างที่มั่นคงกว่า)
5. ความสูง
ขึ้นอยู่กับรูปแบบการถ่ายภาพของคุณ ความสูงที่คุณต้องการจะแตกต่างกัน ไม่เพียงแค่คิดถึงความสูงที่มียืดได้สูงสุดที่คุณต้องการ แต่ยังต้องทดสอบว่ามันทำงานอย่างไรที่ระดับต่ำสุดและมันมีขนาดใหญ่แค่ไหนเมื่อพับเก็บ (การพกพาไปกับตัว) ผมจะพยายามหาขาตั้งกล้องที่มีความสูงที่สูงสุดที่ผมสามารถมองช่องมองภาพของกล้องโดยไม่ต้องก้ม (ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าที่จะต้องก้มๆ เงยๆ ทั้งวันเพื่อตรวจสอบภาพในการถ่ายแต่ละครั้ง)
6. หัวของขาตั้งกล้อง
สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงขาตั้งกล้องนั้นคือคุณจะวางกล้องอย่างไรบนขาตั้ง มีทางเลือกมากมาย และผมคิดว่ามันควรจะต้องมองไปข้างหน้าและทดสอบความหลากหลายเหล่านั้น ไม่เพียงแต่ลองวางกล้องบนขาตั้งเท่านั้น แต่ยังต้องดูว่ามันมีความคล่องตัวดีหรือไม่
ข้ออ้างอิงสำหรับการเลือกหัวของขาตั้งกล้องจะต้องมีบางสิ่งที่ดึงออกได้เพื่อว่าผมสามารถที่จะดึงออกมาถือกล้องด้วยมือเปล่าได้อย่างรวดเร็ว และต้องมีบางสิ่งที่สามารถทำให้กล้องมีความคล่องตัวในการปรับกล้องที่อยู่บนหัวเหล่านั้น
มีหัวของขาตั้งกล้องอยู่สองชนิด
• หัวบอลที่มีเบ้า มันจะดีที่สุดในแง่ของความคล่องตัวและการเคลื่อนตัวของกล้องไปรอบๆ แต่โดยส่วนตัว ผมพบว่ามันยังมีความไม่น่าไว้ใจเล็กน้อย พวกมันจะให้ความรู้สึกที่ดีและราบรื่น ตัวอย่างของหัวบอลที่มีเบ้าคือ Bogen, Manfrotto Midi Ball Head กับ RC2 Rapid Connect
• หัวปรับระดับแนวตั้งแนวนอน มันเหมาะกับการล๊อคตำแหน่งและสามารถปรับได้ง่าย มันจะไม่เหมือนการเคลื่อนที่ของของเหลวและใช้เวลาน้อยในการคุ้นเคยกับการใช้งาน แต่ผมก็ชอบพวกมัน ตัวอย่างของหัวชนิดนี้ก็มีของ Bogen-Manfrotto 3039 3-way Pan/Tilt Head
หัวของขาตั้งกล้องสามารถที่จะเลือกซื้อมาพร้อมกับขาตั้งหรือจะซื้อแยกต่างหาก
หวังว่าปัจจัยข้างต้นจะช่วยให้คุณเข้าใจชนิดของขาตั้งที่เหมาะกับคุณ ถ้าคุณมีขาตั้งกล้องแล้ว คุณสามารถเพิ่มเติมคำแนะนำในการเลือกซื้อและข้อแนะนำว่าขาตั้งกล้องแบบไหนที่คุณชอบที่สุด และทำไม
ปล.ผมรู้ว่ามีหลายคนจะถามผมว่า ผมใช้ขาตั้งกล้องแบบไหน ผมใช้ขาตั้งกล้องของ Manfrotto ทั้งแบบสามขา และขาเดียว แต่ก็มียี่ห้ออื่นๆ อยู่มากมาย รุ่นที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ไม่มีการผลิตแล้วแต่คุณสามารถค้นหาขาตั้งกล้องที่ขายดีที่สุดได้ใน Amazon เพื่อเป็นแนวทางว่าคนส่วนใหญ่เขาซื้ออะไรกัน

73
 คุณใช้ขาตั้งกล้องของคุณอย่างไร (มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิด)

A Post By: Darren Rowse
โพสโดย Darren Rowse แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/how-to-use-your-tripod-its-not-as-simple-as-you-think
ในบทความนี้ Steve Berardi จาก PhotoNaturalist ได้พูดไว้บางสิ่งในการใช้ขาตั้งกล้อง
เมื่อครั้งแรกที่คุณได้ขาตั้งกล้องมา คุณจะคิดว่ามันง่ายจริงๆ แค่กางขาออก วางกล้องบนขาตั้ง และก็พร้อมใช้งานแล้ว
ผมได้คิดในเรื่องสักครู่ แต่เมื่อผมได้อ่านหนังสือของ Ansel Adam ชื่อ The Camera ซึ่ง อดัมได้เขียนเกี่ยวกับการใช้ขาตั้งกล้องถึงสองหน้า โดยเขาได้เริ่มบรรยายดังนี้ว่า
“ช่างภาพมากมายได้ตั้งขาตั้งกล้องและใช้ในการปรับระดับหรือปรับแต่งโดยไม่มีจุดหมาย อย่างไรก็ดีมันมีกระบวนที่มากกว่าในการตั้งขาตั้งกล้อง ถ้าเวลาแลสถานการณ์เอื้ออำนวย เราควรจะคิดถึงตำแหน่งของกล้องและการตั้งที่มั่นคงของขาตั้ง”
ดังนั้น ขาตั้งกล้องดูเหมือนเป็นเครื่องมืองธรรมดาชิ้นหนึ่ง แต่มันมีหลายสิ่งที่ต้องเตือนใจเมื่อเราติดตั้งมันและให้แน่ใจว่าเราจะได้ภาพที่คมชัดเท่าที่เป็นไปได้
1. หาองค์ประกอบภาพก่อน
ถ้าคุณมีเวลาที่เหมาะในการติดตั้งขาตั้งกล้อง มันเป็นความคิดที่ดีที่ควรจะหาองค์ประกอบภาพก่อนแล้วค่อยมาคำนึงถึงขาตั้งกล้อง ดังนั้นลองเดินไปรอบๆ สำรวจหาตัวแบบจากมุมที่แตกต่าง มันจะช่วยได้มากเมื่อมองผ่านช่องมองภาพและจะช่วยให้คุณเห็นว่าองค์ประกอบภาพแบบไหนที่จะกลายเป็นรูปภาพของคุณ
2. ให้ขาหนึ่งของขาตั้งกล้องชี้ไปข้างหน้าตัวแบบ
การให้ขาตั้งกล้องขาหนึ่งชี้ไปข้างหน้าตัวแบบจะช่วยให้คุณมีช่องว่างในการยืนระหว่างขาอีกสองข้าง (ช่วยป้องกันคุณจากการสะดุดขาตั้งกล้องได้) และมันยังช่วยให้มั่นคงกับตัวกล้องที่อยู่บนขาตั้งเมื่อมันชี้ลงพื้น
3. ให้จุดศูนย์กลางของแกนอยู่ในแนวตั้งและตั้งฉากกับพื้นดิน
ให้แน่ใจว่าน้ำหนักได้ตกลงบนขาตั้งทั้งสามขาเท่ากัน และให้จุดศูนย์กลางของแกนอยู่ในแนวตั้งและตั้งฉากกับพื้นดิน ใช้ตัววัดระดับน้ำติดไว้บนแกนแนวตั้งเพื่อช่วยให้รู้ระดับของขาตั้งกล้องและมั่นใจว่ามันพร้อมใช้งาน สำหรับตัววัดระดับน้ำ มันไม่ได้มีมากับขาตั้งกล้องของคุณ คุณสามารถจัดหาซื้อได้ในราคาที่น้อยกว่า 10 เหรียญสหรัฐ
4. หลีกเลี่ยงการยืดแกนกลาง
ส่วนที่เป็นแกนกลางของขาตั้งกล้องเป็นส่วนที่มีความมั่นคงน้อยกว่าขาตั้งสามขาที่กางอยู่ ดังนั้นขอให้ใช้แกนกลางเป็นสิ่งสุดท้าย บ่อยครั้งที่มันเป็นเหตุให้การปรับแต่งไม่เป็นที่พอใจในการปรับระดับความสูงที่ต้องการ แต่ให้จำไว้ว่ามันจะช่วยให้คุณได้ภาพที่คมชัดมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
5. ใช้แท่นฐานกล้องรูปตัว L สำหรับเล่นช่วงสั้น
ตัวแท่นฐานกล้องรูปตัว L เป็นแท่นชนิดพิเศษที่ติดกับตัวกล้องและวางอยู่บนขาตั้งกล้อง มันมีรูปร่างเหมือนตัวอักษร แอล และมันสามารถทำให้คุณตั้งกล้องได้ในแนวตั้งขณะที่มันยังคงรักษาตำแหน่งกล้องไว้ตรงจุดกึ่งกลางของขาตั้งกล้อง นี้คือภาพแสดงตัวอย่างของ แท่นฐานกล้องรูปตัว L ที่แตกต่างจาก แท่นฐานกล้องมาตรฐานทั่วไป (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
สำหรับแท่นฐานกล้องตัว L มีข้อดีใหญ่ๆ สองข้อ มันรักษาตำแหน่งกึ่งกลางที่เป็นจุดรองรับดีที่สุดของขาตั้งกล้อง (อยู่ตรงกลางระหว่างสามขา) และเพิ่มความสูงเพียงไม่กี่นิ้วเมื่อถ่ายในแนวตั้ง (เพียงค่าที่เพิ่มขึ้นไม่กี่นิ้วสามารถทำให้ได้ภาพหรือไม่ได้ภาพกันเลย)
6. ใช้ตัว collar สำหรับเลนส์ช่วงยาว
สำหรับเลนส์ที่มีขนาดใหญ่และหนักมันจะขยับจุดศูนย์กลางของตัวกล้องออกไป มันจำเป็นมากที่ต้องมีตัว Collar เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างน้ำหนักของตัวกล้องและเลนส์ ถ้าไม่มีตัว collar คุณต้องสังเกตให้ดีว่ากล้องของคุณค่อยขยับทิ้งตัวลงหรือไม่เมื่อได้ทำการล๊อคหัวแล้ว
7. ใช้กระเป๋ากล้องหรือวัสดุหนักๆในการถ่วงน้ำหนักของแกนกลางเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้ขาตั้งกล้อง
ถ้าคุณรู้ว่าคุณจะพบกับสภาพวันที่ลมแรงเป็นพิเศษ คุณควรจะหาอะไรถ่วงน้ำหนักที่ขาตั้งกล้อง (เช่น กระเป๋ากล้อง) จากจุดแกนกลาง ขาตั้งกล้องหลายๆยี่ห้อจะมีตะขอเกี่ยวไว้ใต้แกนกลาง แต่ถ้าไม่มีให้คุณลองตรวจสอบดูว่าคุณสามารถจะหาตะขอที่เป็นเกลียวจากร้านฮาร์ดแวร์มาติดได้ไหม ให้ระมัดระวังในวิธีการนี้ ถ้ากระเป๋ากล้องของคุณการสั่นตอนลมพัดและไปชนกับขาตั้งกล้อง มันก็จะทำให้คุณสูญเสียความมั่นคงของขาตั้งได้
ทำไมมันถึงมีความสำคัญที่ต้องระมัดระวังในการตั้งขาตั้งกล้อง
การตั้งขาตั้งกล้องบางครั้งดูเหมือนมันเชื่องช้าและน่าเบื่อ มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องระมัดระวังเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้ภาพที่คมชัดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ให้แน่ใจว่าขาตั้งกล้องของคุณอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงมันจะช่วยป้องกันจากการล้มและสร้างความเสียหายกับกล้องและเลนส์ของคุณ
สุดท้ายนี้ ยิ่งคุณใช้เวลาและเอาใจใส่ในการตั้งขาตั้งกล้องคุณมากเท่าไร คุณก็จะหันไปสนใจเรื่ององค์ประกอบภาพมากขึ้นเท่านั้น จงรู้ไว้ว่ามันใช้เวลามากในการตั้งขาตั้งกล้อง คุณก็ยิ่งจะใช้ความระมัดระวังมากเกี่ยวกับการเลือกองค์ประกอบภาพ

74
5 เหตุผล ทำไมต้องมีรูปผู้คนอยู่ในภาพของคุณแล้วทำให้ดูดี
โพสโดย Kav Dadfar แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ (เพื่อใช้อ้างอิงและดูภาพประกอบ)
http://digital-photography-school.com/5-reasons-people-photos-good-thing
ลองจินตนาการแบบนี้ครับ คุณได้ตั้งค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์แล้ว การวางองค์ประกอบภาพดูดีแล้ว แสงสวยแล้ว และคุณพร้อมที่จะเก็บภาพในขณะที่มีบางคนที่คุณไม่รู้จักเดินผ่านกล้องเข้ามา ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้ว่าเขาผ่านหน้ากล้องและก็หันมาขอโทษซึ่งคุณก็ได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกว่า “ไม่เป็นไรครับ” แต่ในใจคุณกำลังโกรธ
แต่ไม่ต้องตื่นตระหนกไป การที่มีภาพผู้คนในรูปถ่ายของคุณสามารถกลายเป็นสิ่งที่ดี และในความเป็นจริง บางรูปภาพนักบรรณาธิการต้องการผู้คนให้อยู่ในรูปภาพด้วย ยิ่งไปกว่านั้นทุกๆวันนี้ ผมพยายามที่จะให้ผู้คนรวมอยู่ในภาพถ่ายเท่าที่มันสามารถช่วยให้ภาพถ่ายของผมมีความแตกต่างไปจากคู่แข่ง
และนี้คือที่มาของ 5 เหตุผลทำไมต้องมีผู้คนรวมอยู่ในการถ่ายภาพของคุณซึ่งสามารถช่วยพัฒนาการวางองค์ประกอบภาพ
1. ผู้คนจะช่วยเป็นตัวบอกถึงขนาด
มันเป็นการยากที่จะให้เห็นถึงขนาดของบางสิ่งในภาพโดยปราศจากการเพิ่มเติมบางสิ่งเพื่อให้มันบ่งบอกถึงขนาดในสิ่งที่เราคุ้นเคย ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังถ่ายภาพต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ถ้าคุณเติมคนเข้าไปใกล้ต้นไม้มันสามารถช่วยให้ผู้ชมได้สังเกตถึงขนาดที่แตกต่างกันได้ เหมือนกับในภาพวิวทิวทัศน์ ถ้าคุณขึ้นที่สูง ลองใส่ภาพคนในฉากหน้ามันสามารถที่ช่วยแยกให้เห็นว่าคุณอยู่สูงแค่ไหน
นักปีนเขาอยู่บนยอดของภูเขาแสดงให้เห็นว่ามันสูงแค่ไหน (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)

ผู้คนที่อยู่ในภาพนี้ช่วยเน้นให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของทิวทัศน์ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)

ในภาพแรกซ้ายมือคุณจะไม่เห็นถึงความคับแคบของอุโมงค์ เมื่อมีภาพที่สองที่มีคนประกอบอยู่ด้วย (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
2. ผู้คนสามารถที่จะเพิ่มคำอธิบายในภาพได้
สิ่งหนึ่งที่เยี่ยมยอดเมื่อมีการเพิ่มผู้คนเข้าไปในภาพของคุณเพื่อช่วยในการสื่อสารเรื่องราวที่คุณกำลังพรรณาให้กับผู้ชม ตัวอย่างเช่น มีภาพผู้คนกำลังเดินในภาพทิวทัศน์สามารถที่จะเล่าเรื่องว่าพวกเขากำลังเดิน หรือกำลังไปปีนเขา เมื่อมันถูกแปลในโลกของความเป็นจริง ภาพเหล่านี้บรรณาธิการสามารถที่จะใช้มันอย่างง่ายมากในการผูกเรื่องราวกับหัวข้อที่เขาจะเขียน ตัวอย่างเช่น ภาพด้านล่างที่มีคนกำลังถ่ายภาพสามารถช่วยในการโปรโมทการถ่ายภาพในช่วงวันหยุด หรือเรื่องราวเกี่ยวกับการถ่ายภาพบุคคล

ภาพนี้สามารถนำไปใช้ในหัวข้อเรื่องการถ่ายภาพท่องเที่ยว (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ ภาพด้านซ้าย)   
คนที่กำลังเดินในภาพนี้ช่วยอธิบายถึงการเดินทางผจญภัย (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์  ภาพด้านขวา)
3. ผู้คนสามารถช่วยบอกเรื่องราว
มีคำพูดหนึ่งที่พูดว่า “รูปภาพมีค่ามากกว่าคำเป็นพันคำ”  ภาพถ่ายสามารถสร้างพลังที่เหลือเชื่อและเป็นส่วนสำคัญของการสื่อความ การเพิ่มผู้คนในภาพถ่ายของคุณสามารถช่วยบอกเรื่องเราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ซึ่งบางทีอาจจะมีความรู้สึกทั่วๆ ไป ตัวอย่างเช่น รูปภาพของนักท่องเที่ยวกำลังมองรูปปั้น ซึ่งมันทำให้ภาพมีน้ำหนักมากและบอกเรื่องราวของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชมในรูปปั้นนั้น
นักท่องเที่ยวในส่วนประกอบภาพนี้ช่วยให้เล่าเรื่องราวในภาพมากกว่าที่จะแสดงให้เห็นถึงทิวทัศน์ (ดูภาพในเว็ปไซต์ประกอบ)
4. ผู้คนจะเป็นจุดดึงดูดความสนใจ
การรวมผู้คนในภาพถ่ายของคุณจะเป็นสิ่งที่ดีในการเพิ่มจุดดึงดูดความสนใจ นี้คือการวางองค์ประกอบภาพเมื่อคุณมีทิวทัศน์ที่ซึ่งสีและรูปแบบมันใกล้เคียงกัน (ตัวอย่างเช่น ทะเลทราย หรือ น้ำ) โดยการเพิ่มผู้คนในภาพมันช่วยตัดกับสิ่งที่เหมือนๆกันของฉากและช่วยทำให้ผลลัพท์สุดท้ายเป็นที่น่าพอใจด้วย
ผู้หญิงในภาพนี้ ช่วยทำภาพมีจุดสนใจ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
การเพิ่มผู้คนในภาพ เป็นสิ่งที่จะเพิ่มจุดน่าสนใจของภาพได้ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
5. ผู้คนช่วยให้ภาพมีชีวิตชีวา
การใช้ความเร็วต่ำของ shutter จะช่วยสร้างการเคลื่อนไหวของผู้คนที่ไม่คมชัดในภาพของคุณซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าภาพมีการเคลื่อนไหว นี้คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากกับบางสถานที่ที่ช่วยเน้นว่าผู้คนเหล่านี้กำลังวุ่นวาย บ่อยครั้งเมื่อใช้ความเร็วต่ำของ shutter คุณต้องมั่นใจว่าคุณใช้ขาตั้งกล้องเพื่อป้องกันการสั่นไหวของตัวกล้อง คุณต้องการให้บางส่วนของภาพคมชัดเพื่อมันจะได้ตัดกับสิ่งที่เคลื่อนไหวที่นุ่มนวล
การใช้ความเร็วต่ำของ shutter จะแสดงถึงการเคลื่อนไหวของผู้คน มันสิ่งที่ยอดมากที่ผลงานของคุณจะมีความหลากหลายไปด้วย (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
การเคลื่อนไหวของผู้คนในภาพนี้ช่วยทำให้ภาพมีชีวิตชีวาและน่าสนใจ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
ถึงเวลาของคุณแล้วละ......ลองเอาภาพของคุณที่มีผู้คนอยู่ในภาพมาให้เราดูกันบ้าง.....

75
 5 ขั้นตอนที่จะช่วยให้คุณถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่ดีกว่า

โพสโดย Rick Berk แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/5-steps-to-help-you-take-better-landscape-photos
การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ บางครั้งมันยากที่จะแสดงให้สิ่งที่ต้องการโฟกัสไปยังเนื้อหาของภาพเพื่อจะนำสายตาของผู้ชมไปในสิ่งที่ช่างภาพต้องการ บางครั้งคุณต้องการแสดงให้เห็นถึงความสวยงาม ภาพอาจจะไม่แสดงให้เห็นแบบนั้นและคุณต้องค้นหามัน นี้คือห้าขั้นตอนพื้นฐานที่จะช่วยให้คุณได้ภาพวิวทิวทัศน์ที่ดีกว่า ฉันทำตามสิ่งเหล่านี้ทุกครั้งที่ฉันกำลังจะถ่ายภาพวิวทิวทัศน์
1. ค้นหาตัวแบบให้พบ
บางครั้งมันก็ง่าย คุณเลือกตัวตึกอาคาร หรือรายละเอียดของก้อนหิน หรือต้นไม้ และมันอาจจะมีทุกอย่างรวมกัน บางทีมันก็กลายเป็นเรื่องยาก บางครั้งก็ไม่มีอะไรให้เห็นเป็นตัวแบบเลย มองไปรอบๆเพื่อหาบางสิ่งที่สะดุดตาคุณ มองผ่านช่องมองภาพของกล้องและดูว่าสิ่งนั้นเมื่ออยู่ในเฟรมของกล้องจะมองเห็นอย่างไร เมื่อคุณค้นพบตัวแบบแล้วคุณก็จะมีแนวทางการตัดสินใจได้มากขึ้น
หินพวก Haystack เป็นตัวแบบที่เห็นได้ชัดเจน แต่มันมีจำนวนมากมายเมื่อมันถูกถ่ายภาพ สำหรับภาพนี้ ผมตัดสินใจที่จะใช้แอ่งน้ำเล็กกับหินบางก้อนเป็นฉากหน้า และยังต้องการรวมเอาภาพท้องฟ้าซึ่งมีก้อนเมฆที่น่าสนใจด้วย ก้อนหินและน้ำทำให้ภาพมีเส้นนำสายตาไปถึงตัว หิน Haystack ผมถ่ายด้วยกล้อง EOS 5D Mark III กับเลนส์ EF 14mm f/2.8L II ที่ค่ารูรับแสง f/16 ISO 100 (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์)
2. เราจะจัดวางองค์ประกอบภาพกับตัวแบบของเราไว้ที่ไหนดี?
ไม่มีฉากหน้าที่ดูน่าสนใจ มีแต่พื้นทรายและพุ่มไม้ที่ดูไม่น่าสนใจเท่าไร แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ ดวงจันทร์ที่กำลังขึ้นระหว่างลำต้นของตัวกระบองเพชร และมีแสงไล่เฉดสีสมไปหาสีฟ้าซึ่งดวงอาทิตย์กำลังตกอยู่ด้านหลังของผม ผมถ่ายด้วยกล้อง EOS 5D Mark III เลนส์ EF 70-200 f/2.8L IS II ที่ค่าความเร็ว shutter 1/20 และค่ารูรับแสง f/22 ค่า ISO 1000
นี้เป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมซึ่งขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คุณอยู่ และยังรวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในฉากของคุณด้วย มองหาความสัมพันธ์ที่น่าสนใจกับตัวแบบที่คุณเลือกไว้ มันเป็นวัตถุที่น่าสนใจไหม หรือ ลวดลายในฉากหน้าซึ่งเป็นเส้นนำสายตาของผู้ชมไปยังตัวแบบนั้นหรือไม่ มีบางอย่างในฉากหน้าซึ่งที่รวมอยู่กับตัวแบบในกรอบภาพหรือไม่ หรือสิ่งอื่นๆที่เพิ่มเข้าไปในภาพแต่ไม่เป็นการรบกวนตัวแบบหรือเปล่า บ่อยครั้งที่ผมใช้ก้อนหิน หรือน้ำเป็นฉากหน้าถ้าเป็นไปได้ และถ้าเป็นน้ำ มันสามารถสร้างเงาสะท้อนให้ตัวแบบคุณได้ไหม บางครั้งมันก็เป็นใบไม้ บางครั้งก็ต้นไม้ หรือไม่ก็รั้ว
ถ้ามองดูแล้วไม่มีฉากหน้าที่น่าสนใจ พยายามลดขนาดลงโดยการให้ตัวแบบเป็นฉากหน้าและมองหาฉากหลังที่น่าสนใจ เมฆหรือท้องฟ้า ตัวตึก อาคาร หรือต้นไม้ที่น่าสนใจ สามารถสร้างเป็นฉากหลังในภาพวิวทิวทัศน์ได้ บางครั้งถ้าคุณโชคดีคุณจะได้สิ่งที่น่าสนใจทั้งฉากหน้าและฉากหลังพร้อมกัน ได้เวลาที่คุณจะต้องสนใจกับการวางองค์ประกอบภาพและปริมาณของฉากหน้ากับฉากหลังที่คุณมองดูแล้วว่ามันดีที่สุด หรือมันไม่ดีเอาเลย พูดกันตรงๆ ถ้าท้องฟ้าแบนๆหรือขาดสิ่งที่น่าสนใจ เราจะวางมันไว้ในด้านบนในส่วนที่สามของภาพโดยใช้กฎสามส่วน ถ้าฉากหน้ามีสิ่งน่าสนใจ เราก็จะวางมันไว้ด้านล่างในส่วนที่สาม
3. รวมเข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าตัวแบบของคุณจะวางในกรอบภาพ อะไรคือฉากหน้า หรืออะไรคือฉากหลัง มันเป็นเวลาที่จะต้องรวมมันเข้าไว้ด้วยกัน มีเส้นนำสายตาที่จะนำผู้ชมภาพจากฉากหน้าไปฉากหลังหรือไม่? เส้นนำสายตาจะเป็นหนทางที่ง่ายที่จะรวมเอาองค์ประกอบภาพเข้าด้วยกัน กรอบภาพก็เป็นอีกทางหนึ่งซึ่งผมได้รวมไว้ในสิ่งที่ผมกำลังพูดในการเลือกฉากหน้าของคุณ ถ้าปราศจากการรวมองค์ประกอบภาพไว้ด้วยกัน ภาพมันจะดูเหมือนกับมีภาพสองภาพที่แยกจากกันแต่อยู่ในภาพเดียวกัน การสร้างองค์ประกอบภาพที่มีการดึงความสนใจของผู้ชมและนำพวกเขาไปยังสิ่งที่คุณต้องการให้พวกเขาเห็นเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะสร้างภาพวิวทิวทัศน์ที่มีประสิทธิภาพ
ภาพนี้ถ่ายด้วยกล้อง EOS 5D Mark III กับเลนส์ EF 16-35mm f/2.9L II ผมซูมภาพที่ระยะ 35mm ในภาพนี้ ค่าความเร็ว shutter เท่ากับ 1.6” ค่ารูรับแสง f/20 และ ค่า ISO 100
ภาพของ Kasterskill Creek (ด้านบน) ผมรู้ว่าน้ำตกเล็กๆคือตัวแบบหลัก มีก้อนหินที่สร้างความน่าสนใจในฉากหน้า และน้ำสร้างเส้นนำสายตาไปยังด้านหลังของน้ำตกที่อยู่กลางภาพนำไปถึงพวกใบไม้ต่างๆ ที่อยู่ในฉากหลัง
4. อ่านสภาพแสง
คุณอยู่ในสถานที่ที่มีเวลาเหมาะสมไหม? บางสถานที่จะดีกว่าเมื่ออยู่ในช่วงเช้าๆ บางที่ก็ในช่วงบ่าย บางทีก็ดีไม่ว่าจะเป็นเวลาอะไรก็ตาม ความแตกต่างของแสงแต่ละช่วงเวลามันหมายถึงภาพวิวทิวทัศน์ที่มีความแตกต่างเช่นกัน หรือการเก็บภาพในสถานที่สวยๆ การค้นหาตำแหน่งของดวงอาทิตย์ที่จะตกลงมายังสถานที่ในแต่ละช่วงเวลา เราอาจจะใช้ Application เช่น The Photographer’s Ephemerus หรือ Sunseeker Pro ซึ่งจะแสดงตำแหน่งที่แน่นอนของดวงอาทิตย์ในสถานที่นั้น มันสามารถช่วยให้คุณวางแผนเพื่อจะรู้ว่าเวลาไหนที่เหมาะสมของสภาพแสงในสถานที่นั้นๆ
เส้นด้านข้างจะช่วงให้ภาพเกิดเงาและแสดงถึงรายละเอียดของพื้นผิว แสงด้านหลังจะใช่วยสร้างภาพเงาดำซึ่งสามารถสร้างความสะดุดตาที่แยกออกมาจากเส้นขอบฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แสงด้านหน้าจะเผยรายละเอียดทุกๆ ที่ บ่อยครั้งที่ผมจะถ่ายภาพในสถานที่เดิมแต่แตกต่างในช่วงของเวลา และสภาพแสงที่แตกต่างของช่วงเวลาจะสร้างภาพมากมายจากสถานที่เดียวกัน

ภาพนี้ถ่ายด้วย EOS 5D Mark II กับลนส์ EF 17-40mm f/4L ค่าความเร็ว shutter 15 วินาที ค่ารูรับแสง f/11 และค่า ISO 800
Montauk Point (ภาพด้านบน) คือสถานที่ที่ดีเยี่ยมกับการโอกาสที่จะได้ภาพมากมาย แต่สถานที่นี้จะดีในช่วงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น กว่าช่วงเวลาตอนบ่ายหรือตอนดวงอาทิตย์ตก ซึ่งเงาต่างๆ จะถูกสร้างด้วยหน้าผมที่สูงชัน ช่วงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น มันเป็นช่วงเวลาที่วิเศษมาก
5. เลือกความเร็ว Shutter ของคุณ
สิ่งสุดท้าย ให้คิดถึงอะไรคือค่าความเร็ว shutter ที่คุณจะถ่ายภาพ ถ้าคุณเลือกที่จะถ่ายน้ำ มีค่าความเร็ว shutter มากมายที่จะตั้งเพื่อให้ได้ภาพน้ำบนภาพของคุณ ถ้าเป็นต้นไม้ในวันที่มีลมพัดเบาๆ ความเร็ว shutter ที่เร็วกว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะหยุดใบไม้ให้นิ่งและเพื่อหลีกเลี่ยงใบไม้ที่เบลอ สิ่งที่ต้องระวังคือการวางภาพของคุณ เรียนรู้จากสิ่งที่เห็นและมีผลต่อสิ่งที่คุณคิดก่อนที่จะกดปุ่ม shutter ซึ่งจะนำไปถึงการเป็นช่างภาพที่ดีกว่า
ภาพนี้ถ่ายด้วยกล้อง EOS 5D Mark II กับเลนส์ EF 24-105 f/4L IS ค่าความเร็ว shutter 10วินาที ค่ารูรับแสง f/11 และค่า ISO 400
ภาพท้องฟ้าที่เมืองมินิอโปลิส แต่ท้องฟ้าดูแบนสำหรับฉากหลัง ดังนั้นผมได้ใส่เส้นขอบฟ้าไว้ด้านบนของภาพ อยากจะขอบคุณ ผมได้ภาพแม่น้ำ Mississippi ที่ดูสงบและสามารถได้ภาพสะท้อนน้ำเป็นฉากหน้าที่น่าสนใจอีกด้วย ผมใช้ความเร็ว shutterที่ต่ำ (หรือ ค่า exposure ที่นาน) เพื่อจะให้น้ำดูนุ่มนวล
คุณมีคำแนะนำที่ดีเกี่ยวกับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่ต้องการจะเพิ่มไหม โปรดแบ่งปันไว้ด้านล่างนี้

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6