เก้าข้อแนะนำสำหรับการถ่ายภาพน้ำตก ลำธาร และกระแสน้ำ
โพสโดย Gavin Hardcastle แปลโดย Topstep07
เว็ปไซต์ต้นฉบับ เพื่อดูภาพประกอบคำบรรยาย
http://digital-photography-school.com/9-top-tips-for-shooting-waterfalls-creeks-and-streams/น้ำตก ลำธาร หรือกระแสน้ำเป็นสิ่งที่พิเศษในการถ่ายภาพของผม ในความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง มีสถานที่เป็นพันแห่งที่อยู่บนเกาะ Vancouver พวกมันง่ายต่อการถ่ายภาพและผลลัพท์ที่ได้ของภาพที่น่าอัศจรรย์ที่ปรากฎขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ไม่ว่าพืชตะไคร้น้ำที่ด่างๆ เป็นหยดๆ หรือ เสียงของฝนที่ตกหนัก การเคลื่อนไหวของน้ำดูเหมือนเป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้ของช่างภาพ และเมื่อมันออกมาดี สามารถที่จะกล่าวได้อย่างสง่างาม ลองให้ผมแบ่งปันคำแนะนำดีๆ ในการถ่ายภาพน้ำตก ลำธารและสายน้ำ
1. ถ่ายภาพในทุกสภาพอากาศ
ผมจะถ่ายภาพในหลายสภาพอากาศยกเว้นช่วงฝนตก กับน้ำตก ลำธาร หรือกระแสน้ำผมมีคติพจน์ที่งี่เง่าว่า “ยิ่งเปียกยิ่งดี” เมื่อทุกๆสิ่งแช่อยู่ในน้ำ คุณจะพบเงาตัวคุณเองที่สวยงามเน้นถึงความดำที่มีพลัง ผมชอบมองหาใบไม้เปียกที่อยู่เหนือใบที่แห้งๆ เพราะว่าพวกมันจะดูมีชีวิตชีวาและอุดมสมบูรณ์
ช่วงหน้าฝนหรือวันที่มีเมฆ จะให้แสงที่อ่อนนุ่มกับคุณกับความเปรียบต่างที่ต่ำมาก คุณไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพหลายระดับเพื่อที่จะทำภาพ dynamic range ถ้าคุณโชคดีพอในเสน่ห์ของความเย็นและสิ่งที่เป็นน้ำแข็ง คุณจะพบว่าน้ำตกได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่อันน่าอัศจรรย์ในช่วงฤดูหนาวเพียงข้ามคืน ระวังการก้าวเดินของคุณให้ดี...
2. อย่าเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำอย่างเดียว
แน่นอนละ...มันจะสวยมากถ้าได้ภาพภ่ายน้ำที่นุ่มเหมือนปุ้ยฝ้ายและจับภาพการเคลื่อนไหวของน้ำที่เบลอ แต่ในช่วงเวลาหนึ่งมันก็มีความสวยที่จะหยุดความเคลื่อนไหวให้อยู่นิ่ง ผมจะใช้ค่าอยู่สองค่ากับความเร็วชัตเตอร์ที่แตกต่างและทำการรวมกันในโปรแกรม Photoshop เพื่อสร้างภาพผสมผสานของการหยุดนิ่งและการเบลอ เวลาสี่วินาทีของความเร็วชัตเตอร์ก็เพียงพอที่จะทำให้น้ำอ่อนนุ่มเหมือนปุ้ยฝ้ายและคุณจะทำมันได้ด้วยการใช้ โพลาไรซ์ และใช้รูรับแสงแคบๆ เช่น f/16 โดยปราศจากภาพที่แข็งกระด้างกับแสงที่ส่องตรงลงมา..
สำหรับการตั้งค่าที่รวดเร็วในการให้มีความเบลอของการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ผมจะพยายามใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ต่ำกว่า 1 วินาทีโดยใช้การเปิดรูรับแสงที่ f/11 และหมุนตัวโพลาไรซ์เพื่อยอมให้แสงเข้ามามากขึ้น มันดีมากเมื่อผมใช้ตัว ND ฟิวเตอร์ ภาพถ่ายของผมจะมีค่าต่ำในการถ่ายภาพเพียงค่าเดียวกับครึ่งวินาทีในช่วงหน้าฝน ผมลองที่ใช้ค่าที่นานกว่าแต่ก็ชอบกับค่านี้มากกว่าเพราะว่าผมสามารถเห็นน้ำที่หยดเป็นหยดๆในการเคลื่อนไหว แทนที่มันจะเบลอในแอ่งน้ำ
3. สำรวจความมืดของหุบเขาลึก
อย่าสำรวจช่วงดวงอาทิตย์ที่ส่องเป็นจุดด่างๆ บนกระแสน้ำซึ่งทำให้แสงสวยงาม มันง่ายเกินไป ในช่วงที่มันมืด ดวงอาทิตย์จะส่องแสงในส่วนที่เป็นช่องแคบยาวของหุบเขาซึ่งทำให้ได้ภาพที่สวยงาม คุณสามารถถ่ายในสิ่งที่คุณต้องการโดยปราศจากการกังวลที่จะพบกับการเจอแสงอาทิตย์โดยตรงที่ส่องเข้ามา นี้คือการเปิดโลกทัศน์ใหม่ของภาพถ่าย ถ้าคุณเพียงใช้การถ่ายด้วยมือเปล่า
4. จากฟองอากาศเปลี่ยนเป็นการหมุนที่เป็นก้นหอย
เมื่อไรก็ตามที่คุณเห็นแม่น้ำที่มีกระแสน้ำไหลเป็นฟองบนผิวหน้าของน้ำ คุณจะต้องรักษามันไว้กับความเร็วชัตเตอร์ประมาณ 4-6 วินาที (ขึ้นอยู่กับความเร็วของน้ำ) พวกฟองอากาสเหล่านั้นจะสร้างการหมุนที่เป็นก้นหอยอย่างสวยงามในการเปิดหน้ากล้องที่นาน ระมัดระวัลอย่างให้บางสิ่งมันช้าลงมากเกินไปถ้าเราใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ 10 วินาที เพราะมันจะทำให้ความเคลื่อนไหวเบลอมากจนไม่ได้รายละเอียด นี้คือตัวอย่างที่ผมถ่ายคราวที่แล้วในช่วงฤดูใบไม้ล่วงที่ Nanaimo เกาะ Vancouver (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
5. ใส่ตัวโพลาไรซ์
ผมรู้ผมพูดซ้ำซากเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ต้องทำให้คุณได้อ่านในบทความของผม “ทำไมคุณต้องใช้โพลาไรซ์” แต่มันทำให้เกิดความแตกต่างที่มากมายเมื่อคุณพบกับก้อนหินที่เปียกน้ำและเกิดการสะท้อนแสงจากน้ำ ตัวโพลาไรซ์จะช่วยให้ขึ้นใช้ความเร็วชัตเตอร์ได้นานขึ้น ลดการสะท้อนแสง และทำให้สีสันดูเด่นขึ้นทันตา
6. หลีกเลี่ยงท้องฟ้า
คุณต้องการสามเหลี่ยมสีขาวด้านบนภาพของคุณไหม? ผมคิดว่าไม่นะ ในการสัมนาอบรมกับนักเรียนของผมส่วนใหญ่จะต้องทนกับการถูกบังคับว่าทุกภาพต้องมีท้องฟ้า ผมคิดว่าผมทำเหมือนกันเมื่อตอนผมเริ่มต้น โดยการละเลยท้องฟ้า คุณจะสร้างภาพที่มีความลึกซึ้งที่แยกออกจากภาพรวมทั้งหมด และก็กำจัดจุดสามเหลี่ยมที่ไร้ความหมายนั้นไป
7. ไปสู่ภาพนามธรรม
นี้คือสิ่งที่คุณจะได้ข้อดีถ้าคุณไม่มีกล้องฟูลเฟรมดีกว่าที่จะพยายามให้ภาพทั้งหมดอยู่เฟรมภาพ มันเป็นการขยายในส่วนที่เล็กของน้ำตก หรือ ลำธารซึ่งจะกำจัดความรู้สึกของผู้ชมถึงขนาดและทิศทาง
แทนที่คุณจะมีภาพของน้ำที่ไหลอยู่เหนือก้อนหินและตอของต้นไม้ คุณจะสร้างภาพนามธณรมของธรรมชาติที่สวยงามที่สะกดให้ผู้ชมได้เข้าถึงสภาพแวดล้อมในการเคลื่อนไหวและสีสัน เหมือนกับการเอาท้องฟ้าออกไป ละส่วนบนและส่วนล่างของน้ำตกจากเฟรมภาพของเราและปล่อยพื้นที่สำหรับการจินตนาการ (ดูภาพประกอบในเว็ปไซต์ต้นฉบับ)
8. การใช้เทคนิค “ถ่ายและหลบ” อย่างสมบูรณ์แบบ
ผมไม่ได้โกหกคุณ การถ่ายน้ำตก ลำธาร และกระแสน้ำ ผลคือเลนส์จะเปียก เมื่อคุณเจอกับละอองน้ำตก คุณต้องฝึกและใช้เทคนิค ถ่ายและหลบอย่างสมบูรณ์แบบซึ่งต้องใช้ความอดทน การที่จะทำแบบนี้ได้ดีคุณต้องมีหัวบอลกับตัวหนีบทิศทางเดียว ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ถือขาตั้งกล้องที่ดูเหมือนเคลนยกของตามตึกสูงๆ ลืมมันซะ ลองดูนี้ว่ามันทำงานยังไง
1. จัดองค์ประกอบภาพและปรับหมุนการตั้งค่าในการถ่ายให้เรียบร้อย เวลานี้แหละที่เลนส์ของคุณจะถูกเคลือบไปด้วยละอองจากน้ำที่มาจากน้ำตก
2. เมื่อทุกสิ่งสมบูรณ์ทั้งสถานที่และการตั้งค่าตัวหัวบอลที่มีตัวหนีบ และให้คุณหันกล้องลงพื้น ระมัดระวังให้เพียงการเคลื่อนหัวไปในทิศทางแนวตั้งเท่านั้น
3. ใช้ผ้าเช็ดเลนส์ที่มีคุณภาพดี เช็ดเลนส์เพื่อขจัดละอองน้ำ ถ้าคุณมีตัวฟิลเตอร์อยู่ก็ให้เช็ดไปในทิศทางตรงข้ามกับที่คุณตั้งไว้
4. เมื่อมันแห้งแล้วก็ให้ตั้งกล้องขึ้นในตำแหน่งที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ จับตัวหนีบให้แน่นและทำการถ่ายภาพ คุณมีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ก่อนที่ละอองน้ำจะเริ่มจับที่หน้าเลนส์อีกครั้ง
ลองทำตามขั้นตอนด้านบน จนคุณได้ภาพที่ไม่มีละอองน้ำบนหน้าเลนส์ คุณจะได้เทคนิคการถ่ายและหลบอย่างสมบูรณ์แบบ
9. การปรับแต่งภาพ.....ทำภาพขาวดำกัน...
บางครั้งมันดูดีมากถ้าจะแปลงภาพที่มีน้ำเคลื่อนไหวให้เป็นภาพขาวดำ เพราะว่าพวกมันมีส่วนที่เป็นสีขาวมาก ถ้าคุณพบว่าน้ำตก แม่น้ำ หรือกระแสน้ำ ที่ขาดความน่าสนใจเนื่องจากแสงที่ไม่สวยและขาดสีสันในภาพ ลองเปลี่ยนมาทำเป็นขาวดำ โดยการปรับแต่งค่าบนตัวสไลด์ของ curves ในตัว Adobe Camera Raw เพื่อภาพมีความเปรียบต่าง และดูสวยงาม
ในที่สุดคุณก็มีทุกอย่างพร้อมที่คุณจะออกไปข้างนอกและเก็บภาพน้ำตกที่สวย ลำธาร แม่น้ำ และกระแสน้ำได้แล้ว สร้างสรรค์ผลงานและไม่ต้องกลับกับสภาพอากาศที่เปียก แต่ระวังการลื่นบนก้อนหินก็แล้วกันครับ