ถ้าพูดถึงกล้องชนิดเปลี่ยนเลนส์ได้ของ Sony เราก็มักจะต้องนึกถึงเลนส์ “Carl Zeiss” สัญชาติเยอรมันอันลือลั่นซึ่งเค้าเป็นคู่บุญกันอยู่ ส่วนเลนส์ “G” นั้นจะรั้งตำแหน่งรองลงไป แต่เลนส์มาโครตัวนี้คือเลนส์ “G” ที่ประกาศศักดาเหนือ Carl Zeiss !
ด้วยความที่เป็นคนคลั่งถ่ายภาพมาโครแบบเป็นบ้าเป็นหลัง เมื่อเลนส์ตัวนี้มีผลการรับรองอันน่าตื่นเต้นในทุกด้าน ประกอบกับเมื่อมาจับคู่เข้ากับโคตรกล้อง 42MP อย่าง A7R mark II เข้าให้แล้ว เมื่อมันตกมาถึงมือในวันหนึ่งก็เลยเป็นอะไรที่ผมตื่นเต้นและอยากจะรู้ถึงพิษสงของเจ้าคู่นี้อยู่ไม่น้อย
ผมคิดฝันเสมอถึงการถ่ายภาพแบบ Super Macro แล้วครอปจากไฟล์ใหญ่ๆ อีกทีเพื่อให้มันกลายเป็น Super Ultra Macro กันไปเลย แต่ก็ยังติดขัดในเรื่องของขนาดไฟล์ภาพที่ครอปอะไรไม่ได้สักเท่าไหร่นัก จนกระทั่งมาถึงยุคที่เซนเซอร์รับภาพพากันบ้าพลัง พุ่งความละเอียดเซนเซอร์รับภาพไปแตะระดับครึ่งร้อยเมกาพิกเซลนี่แหละถึงจะพอเห็นช่องทางที่ความฝันนั้นจะเป็นความจริงขึ้นมาได้
เลนส์มาโครของค่ายนี้เท่าที่เคยผ่านมือมาก็มีอยู่หลายรุ่นอยู่เหมือนกันครับ ตอนที่ใช้งานกันหนักๆ ก็ตั้งแต่สมัยกล้องรุ่น A900 กับเลนส์มาโครรุ่นเก่า อันที่จริงแล้วตอนนั้นก็ถือว่าไฟล์ภาพและคุณภาพก็อยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม แต่ถ้าจะมาเทียบกับในยุคนี้ก็สงสัยคงจะเป็นหนังคนละม้วนไปเลยแน่ๆ
Sony ประกาศเปิดตัวเลนส์รุ่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (มีนาคม 2558) คราวนี้มาในตระกูล “FE” ซึ่งรองรับเม้าท์ E แบบ Full Frame ด้วย ทางยาวโฟกัส 90mm อัตราขยายภาพ 1:1 ที่ระยะห่าง 28cm ออกมาปุ๊บก็คว้ารางวัล “Best Product Compact System Lens” ประจำปี 2015-2016 จาก EISA ไปครองเลยทีเดียว…เจ๋งแค่ไหนก็ลองคิดดู
เห็น MTF Chart ของเจ้าหมอนี่แล้วตกใจครับ! ถ้าคุณอ่านระบบกราฟ MTF เป็นละก็จะเห็นว่ามันเป็นเลนส์ที่คงคุณภาพระดับสูงตั้งแต่กลางภาพไปยันขอบภาพนู่นเลย โดยเฉพาะที่ F/8 (เส้นสีส้ม) นั้นต้องขอบอกว่า “ฉกรรจ์” มาก …พวกเล่นแตะระดับบนสุดจากต้นทางไปยันปลายทางเสียอย่างนั้น
ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจที่ผลการทดสอบจากหลายๆ สำนักถึงออกมาดีมาก บางสำนักก็เอาไปเปรียบมวยกับเลนส์ในตระกูล Carl Zeiss ตัวที่ว่าเจ๋งๆ ก็กลับโดนเจ้า “G” ตัวนี้ตบเกียร์ฉีกขึ้นแซงไปเฉยเลย
…แล้วผมล่ะ ว่ายังไง?
• ภายนอก
มันหล่อมาก!
ผมว่า Sony ออกแบบหน้าตาของเลนส์ตัวนี้มาได้ดีเลยทีเดียวครับ รูปทรงของกระบอกเลนส์ก็ดูดี มีปุ่มปรับบังคับระยะมาให้สามระยะสำหรับจำกัดการวิ่งของชุดโฟกัสในเลนส์ ตั้งแต่ “Full” คือวิ่งเต็มระยะที่มี, “Infinity – 0.5” เริ่มโฟกัสจากระยะห่างครึ่งเมตรไปจนถึงระยะอนันต์ และ “0.5-0.28” โฟกัสเฉพาะระยะห่างครึ่งเมตรจนถึง 1:1 (28 cm) ให้เราได้เลือกใช้เพื่อความเหมาะสมทางด้านความเร็วของการโฟกัสแบบอัตโนมัติ
ปุ่มด้านล่างคือปุ่มเปิด/ปิดระบบกันสั่น “Optical Steady Shot” และอีกปุ่มหนึ่งที่ตำแหน่งนิ้วโป้งยามเมื่อจับถือเลนส์ถ่ายภาพก็คือปุ่มตัดระบบโฟกัสอัตโนมัติชั่วคราว มีประโยชน์เมื่อเราถือกล้องด้วยมือเปล่าถ่ายภาพ หาโฟกัสได้แล้วก็กดปุ่มนี้ค้างไว้เพื่อให้มันหยุดการโฟกัส
วงแหวนปรับโฟกัสอยู่ด้านหน้าสุดปลายกระบอกเลนส์ หากต้องการเปลี่ยนเป็นโฟกัสแบบ Manual ก็ดึงมันถอยหลังกลับมา จะให้กลับไปเป็นออโต้โฟกัสก็ผลักเดินหน้าไป
ที่ชุดวงแหวนโฟกัสนี่แหละครับมันจะมีอีกชุดหนึ่งซึ่งมีมาตรบอกระยะห่างและอัตราขยายอยู่ เจ้าชุดนี้สามารถหมุนได้อีกเหมือนกัน โดยที่มันจะทำงานร่วมกับระบบ Manual Focus เมื่อเราผลักมาเป็นแบบ Manual Focus เจ้าตัวนี้ก็จะหมุนตามแต่เมื่อผลักไปเป็นแบบออโต้โฟกัสกลับไม่หมุนตามไปด้วย ประโยชน์ก็คือมันจะเป็นเหมือนตัวบันทึกระยะโฟกัสแบบตายตัวของเราเอาไว้ตอนหมุนแบบ Manual เมื่อคุณหมุนตำแหน่งนี้ค้างเอาไว้แล้วกลับไปใช้แบบออโต้โฟกัสกับตัวแบบที่ต่างระยะห่างออกไป และเมื่อกลับมาถ่ายตัวแบบเดิมที่ระยะห่างเดิมก่อนหน้าก็ผลักกลับมาที่ Manual Focus เลนส์ก็จะวิ่งกลับมาโฟกัสที่ระยะเดิมตามที่วงแหวนบอกระยะห่างถูกหมุนเอาไว้ทันที
โดยรวมแล้วมันหล่อดีครับ แต่ที่ผมไม่ค่อยชอบก็คือผิวของกระบอกเลนส์ที่เป็นแบบผิวเรียบ ตรงนี้มันจะเต็มไปด้วยคราบและรอยเปื้อนสังเกตง่าย (อย่างที่คุณเห็นในภาพทั้งหลายนี้นั่นแหละ) ข้อดีก็คือทำความสะอาดง่ายดี แต่มันก็ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรมากมายนัก
เจ้านี่ใช้ฟิลเตอร์ขนาด 62mm หน้าเลนส์ไม่หมุนตามการโฟกัส ไม่มีปัญหาเรื่องฟิลเตอร์หมุนเปลี่ยนตำแหน่งในขณะใช้งาน
ไม่มีส่วนใดยื่นเข้ายื่นออกครับ ข้อเสียคือมันจะมีความยาวเดียวกันตลอดเวลานี่แหละ (หากออกแบบให้มันยื่นเข้าออกก็จะมีขนาดสั้นกว่านี้) แต่ข้อดีซึ่งเป็นสาระสำคัญมากสำหรับเลนส์ตัวนี้ก็คือไม่ต้องกังวลว่าจะมีอะไรเล็ดลอดเข้าไปในเลนส์ เพราะเจ้าตัวนี้ออกแบบมาให้มีคุณสมบัติ Dust and Moisture Resistant หรือสามารถใช้งานในสภาพบุกตะลุยได้ ฝนตกฝนปรอยนี่ยังสามารถถ่ายภาพกันได้อยู่
ความยาวของกระบอกเลนส์อยู่ที่ 13 cm (ไม่รวมฮูด) น้ำหนัก 602 กรัม ก็อยู่ในเกณฑ์ทั่วไปของเลนส์มาโคร 90mm มีฮูดมาให้เสร็จสรรพ
• ภายใน
เราคงจะไม่รู้ได้หรอกว่าอะไรมันอยู่ข้างในบ้างนอกจากจะแกะมัน ซึ่งถ้าต้องทำอย่างนั้นคุณก็คงไม่อยากจะรู้สักเท่าไหร่หรอกมั้ง?
เลนส์ตัวนี้มีชิ้นเลนส์ทั้งหมด 15 ชิ้น แบ่งเป็น 11 กลุ่ม ซึ่งก็จะมีชิ้นเลนส์ชนิด Aspherical, ED และ Super ED ปะปนอยู่ด้วยเพื่อช่วยแก้ปัญหาความผิดเพี้ยนของแสงชนิดต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ภาพของมันออกมาดีพอสมควร
• ใช้งานจริง
คมมาก!
สมกับคำเล่าลือและการออกแบบครับ อันที่จริงแล้วผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือเลนส์ G …นี่ถ้าเอาโลโก้ Zeiss สีน้ำเงินมาแปะเอาไว้ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร
สีสันและคอนทราสต์เป็นสิ่งที่ไว้ใจได้เลยทีเดียวครับ ความคมชัดนั้นยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ต้องพูดถึง มันสามารถรองรับกับเซนเซอร์รับภาพความละเอียดสูงของ A7R mark II ได้สบายๆ ซึ่งในบางสภาพแสงเน่าๆ ห่วยๆ มันก็ยังช่วยให้ภาพออกมาดีได้ด้วยเหมือนกัน…ลืมเลนส์มาโครตัวเก่าไปได้เลย!
ความคมชัดเป็นเรื่องของปีศาจและเลนส์ตัวนี้! ถ่ายลงไฟล์ 42MP แล้วมาครอปอีกที…นี่มันซูเปอร์มาโครชัดๆ !
• ภาพบนนี้คือรูเปิดต่อมเหงื่อบนฝ่ามือของเราครับ ภาพนี้ผมครอปมา 50% จากขนาดจริงเพื่อขยายขนาดให้มันดูใหญ่ขึ้นอีก...คุณเคยเห็นไหม?
โบเก้อันนุ่มเนียนคืออีกสิ่งที่เลนส์รุ่นนี้เน้นมาก ผมทดลองดูแล้วก็เห็นว่ามันเนียนดีด้วยผลงานของกลีบรูรับแสง (Diaphragm) 9 ใบ นอกจากนี้ยังแตกแฉกได้สวยงามน่าประทับใจอีกต่างหาก
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่แค่เลนส์ที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพสิ่งของเล็กๆ จิ๋วๆ เท่านั้นหรอกครับ ถ่ายภาพทั่วไปก็น่าจะดีอยู่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งภาพ Portrait ก็น่าจะแจ๋วอยู่ไม่น้อย
การจับถือถนัดและคล่องมือดีครับ ไม่ค่อยมีอะไรสะดุดนิ้วให้เสียอารมณ์ โฟกัสลื่นไหล จะผลักเดินหน้าถอยหลังก็ดูราบลื่นคล่องตัว ยอดเยี่ยมไปเลย
• ข้อเสีย
ดูเหมือนอะไรๆ ก็จะดีและเข้าท่าจนอยากจะควักเงินซื้อกันเลยทีเดียว แต่ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่ผมยังไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักก็คือเรื่องของระบบโฟกัสอัตโนมัติที่มันอาจจะช้าไปสักหน่อย บางครั้งก็เหมือนกับจะเสียอารมณ์ได้อยู่เหมือนกัน แต่ถ้าคุณใช้ปุ่มควบคุมระยะเท่าที่จำเป็นมันก็จะช่วยได้ และอีกอย่างหนึ่งผมเองก็มักจะถ่ายภาพโดยใช้ระบบ Manual Focus อยู่แล้วก็เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรกับมันเท่าไหร่นัก
• ราคา
เปิดตัวมาด้วยราคา 1,098 เหรียญสหรัฐ หรือแถวสามหมื่นกลางๆ สำหรับบ้านเรา (ราคาในขณะที่เขียนบทความนี้) ถ้าดูเฉพาะที่ตัวเลขอย่างเดียวก็ถือว่าเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าจะดูประสิทธิภาพและคุณภาพที่มันมีแล้วก็ถือว่ายังพอมีเหตุมีผล
อันนี้จะถูกหรือแพงก็ต้องว่ากันไปตามกำลังทรัพย์ของแต่ละท่านละครับ
• สรุป
มันถือเป็นเลนส์มาโครที่ดีมากๆ รุ่นหนึ่งเลยทีเดียวเชียวแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคุณๆ ที่ครอบครอง A7R mark II ซึ่งมีความละเอียดเซนเซอร์รับภาพระดับมหาศาล ถ้าพูดถึงเลนส์มาโครแล้วละก็ต้องตัวนี้เลยถึงจะสมน้ำสมเนื้อกันเพราะมันสามารถถ่ายทอดรายละเอียดให้เซนเซอร์รับภาพ 42 ล้านพิกเซลของคุณได้อย่างเต็มเหนี่ยวเลยทีเดียว
…ถ้าเงินทองไม่ใช่ปัญหาสำหรับคุณละก็โปรดหามาครอบครองโดยพลัน เรื่องคุณภาพรับรองว่าหายห่วงแน่นอน!
ปิยะฉัตร แกหลง (Nextopia)
กันยายน 2558