ไม่ใช่เพียงแค่การยืมกล้องจากตัวแทนจำหน่ายมาเพื่อทดสอบ แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจซื้อกล้องรุ่นนี้เข้าประจำการ อันเนื่องมาจากเหตุผลเหล่านี้นี่แหละ…
ผมเป็นช่างภาพมืออาชีพครับ ซึ่งคำว่า “มืออาชีพ” ในที่นี้มิใช่ว่าจะมาโอ้อวดว่าถ่ายภาพเก่งกาจสามารถ แต่หมายความว่าผมใช้การถ่ายภาพเพื่อเป็นอาชีพเลี้ยงตน ดังนั้นกล้องและอุปกรณ์ทั้งหลายจึงเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพอันสำคัญยิ่งของผม
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องซื้อทุกอย่างทุกรุ่นที่ออกสู่ตลาด เพราะก็อย่างที่เรารู้ๆ กันครับว่าเงินทองเป็นของมีค่า กว่าจะได้มาแสนลำบากถึงแม้ว่าจะไม่ต้องออกเรือไปไกลก็ตาม ดังนั้นการที่จะซื้อกล้องมาใช้งานสักตัวก็ต้องคิดแล้วคิดอีกเพื่อดูความคุ้มค่าของมันที่จะตอบสนองต่องานได้
ถึงแม้ว่าผมจะสามารถติดต่อขอหยิบยืมอุปกรณ์มาใช้งานได้จากค่ายกล้องหลายๆ ค่าย ซึ่งแต่ละค่ายก็ได้ให้ความอนุเคราะห์ต่อกันเป็นอย่างดี แต่การที่มีเป็นสมบัติของตัวเองและสามารถหยิบจับใช้สอยได้ตลอดเวลาที่ต้องการคือสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด ดังนั้นอุปกรณ์อันใดที่เห็นว่ามีประโยชน์แน่ๆ ผมก็จะซื้อมาเข้าประจำการกันไปเลย…(แน่ละครับ ต้องขึ้นอยู่กับกำลังซื้ออันจำกัดของตัวเองด้วย)
หลังจากที่คลุกคลีกับกล้อง DSLR ของ PENTAX มาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผมก็รู้สึกทึ่งในหลายๆ อย่างที่กล้องจากค่ายนี้บรรจุลงไปในตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของเพราะเหมือนจะรออะไรบางอย่างอยู่ แต่ในที่สุด “K-S2” ตัวนี้ก็ถูกซื้อมาเข้าประจำการบรรจุในชุดอาวุธของผมเป็นที่เรียบร้อย ย้ำนะครับว่า “ซื้อ” ไม่ได้ “ยืม” …มันเพราะอะไรกันล่ะ?
• Weather Seal
ย้อนหลังไปเมื่อสอง-สามปีที่แล้ว ผมทดสอบกล้องรุ่น K-30 ด้วยความตื่นเต้นที่มันมีระบบ “ซีล” ป้องกันสิ่งแปลกปลอมเล็ดลอดเข้าสู่ภายในตัวกล้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “น้ำ” ที่เห็นภาพโฆษณาแล้วต้องบอกว่ายังไม่ค่อยจะเชื่อราคาคุยสักเท่าไหร่ ผมก็เลยพากล้องตัวนั้นไปทดสอบที่น้ำตกแห่งหนึ่ง ซึ่งผลก็ออกมาน่าทึ่งเลยทีเดียวเพราะสามารถถ่ายภาพได้อย่างสบายอกสบายใจโดยที่ไม่ปรากฏอาการอะไรออกมาให้เห็นเลยถึงแม้ว่ามันจะโดนเข้าไปเต็มๆ จนเปียกปอน นั่นทำให้ข้อจำกัดในมุมมองภาพของผมถูกขยายวงให้กว้างออกไปยิ่งกว่าเดิม
หลังจากนั้นก็ออกถ่ายภาพบรรยากาศ “สงกรานต์” กลางถนนข้าวสาร เห็นกล้องแล้วเค้าก็ไม่กล้าจะสาดน้ำเพราะไม่ได้มีการป้องกันอะไรทั้งนั้น จนผมต้องร้องท้าทายให้เค้าสาดกันได้เต็มที่ หลายคนผ่านไปผ่านมาถึงกับตาเหลือกเมื่อเห็นผมกำลังเอาน้ำราดลงไปบนกล้องเพื่อทำความสะอาดคราบแป้งสงกรานต์กันดื้อๆ
ด้วยความมั่นใจ หลังจากนั้นเมื่อสบโอกาสผมก็จัดการเอากล้องรุ่นนี้นี่แหละขึ้นไปราดน้ำโชว์ต่อหน้าธารกำนัลนับร้อยบนเวทีของงานโฟโต้แฟร์ นี่ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ ก็ไม่กล้าเอาขึ้นไปเสี่ยงให้ขายหน้าหรอกครับ งานนั้นก็เลยทำให้ผู้คนรู้จักฤทธิ์เดชของ Pentax มากขึ้นไปอีก
ในเรื่องนี้ผมต้องขอทำความเข้าใจกับคุณๆ เสียก่อนว่า การ “กันน้ำ” ที่ผมหมายถึงนี้ คือการกันน้ำ “บนบก” อย่างเช่นโดนน้ำหกใส่ ฝนตกใส่ อะไรทำนองนี้นะครับ ไม่ใช่การจับกดลงใต้ผิวน้ำ เพราะลักษณะนั้นน้ำจะมีแรงดันมากกว่าน้ำบนบกหลายเท่า ซึ่งมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อน้ำใต้น้ำ แต่ถ้าเป็นน้ำบนบกละก็สบายมากตราบใดที่ไม่ได้ถูกฉีดอัดด้วยระบบแรงดัน
K-S2 ก็มีคุณสมบัตินั้นเช่นเดียวกันครับ ซึ่งอันนี้เป็นประเด็นใหญ่มากเพราะผมแอบคิดโปรเจ็คเกี่ยวกับฤดูฝนเอาไว้ในใจ ปกติพอฝนมาเราก็ต้องเก็บกล้องกันจ้าละหวั่นเลยใช่ไหมล่ะครับ? แต่ทีนี้ล่ะ หึหึ (โปรดคอยติดตามชม)
จนถึงขณะนี้ (พค. 2558) ก็ยังไม่มี DSLR รุ่นเล็กจากค่ายใดที่มีคุณสมบัตินี้ติดตัวครับ นี่คือจุดแข็งที่ใหญ่มากสำหรับกล้อง Pentax ซึ่งหลายท่านก็พอจะทราบว่าผมจะเป็นพวกออกแนวบุกตะลุยอยู่สักหน่อย ดังนั้นกล้องที่มีคุณสมบัตินี้จึงช่วยให้ผมเกิดความได้เปรียบอยู่ไม่น้อย หรือแม้จะไม่ต้องเป็นวันลุยแต่เป็นวันซุ่มซ่ามที่ดันเผลอทำน้ำหกใส่กล้องซะนี่ …ก็ไม่มีปัญหาอีกนั่นแหละ
ถ้าคุณเป็นคนซุ่มซ่ามที่มักจะทำน้ำหกใส่นู่นนี่นั่นอยู่เป็นประจำละก็ กล้องรุ่นนี้เกิดมาเพื่อคุณโดยแท้
• Image Sensor + Processor
สำหรับตากล้องมืออาชีพแล้วละก็ อะไรจะสำคัญไปกว่าคุณภาพของภาพ? …ก็เยอะอยู่นะ ฮ่าๆ
สำหรับกล้องรุ่นเล็กโดยทั่วไปก็เป็นอันรู้กันครับว่าคงจะสู้กล้องรุ่นใหญ่ๆ ไม่ได้แน่ แต่ถ้าคุณภาพในระดับสูงละก็ต้องว่ากันเป็นรุ่นๆ ไป
ก่อนหน้านี้ผมได้ทดสอบกล้องรุ่นเล็กหน้าตาหน่อมแน้มของ Pentax อีกรุ่นนึงครับ นั่นก็คือ K-S1 ที่ออกสู่ตลาดมาก่อนกันไม่กี่เดือน ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้นักเพราะเป็นกล้องเล็กอย่างที่บอก แต่หลังจากที่เห็นไฟล์ภาพแล้วก็ทำให้ผมยืนอึ้งอยู่ริมคันนาไปพักใหญ่ (ตอนนั้นผมถ่ายภาพอยู่ริมแปลงนาข้างทาง) เพราะคุณภาพไฟล์ที่ได้ดูน่าทึ่งมาก
เมื่อมาถึง K-S2 ซึ่งผมนำไปทดสอบที่ริมทะเล ทั้งสภาพหฤโหดของไอเกลือและฟ้าเน่าๆ ของวันเมฆครึ้ม เจ้านี่ก็ทำผลงานอันน่าตื่นตะลึงให้ผมทึ่งอีกครั้ง…ไม่น่าเชื่อว่ากล้องเล็กๆ จะใจถึงเรื่องคุณภาพไฟล์ได้ขนาดนี้
ก็คงเป็นผลงานจากเซนเซอร์รับภาพระดับ 20MP และระบบประมวลผลภาพนั่นแหละครับ ขนาดใช้แค่เลนส์ธรรมดาก็ยังออกมาดีเหลือเชื่อ และที่สำคัญก็คือ เซนเซอร์ของกล้องรุ่นนี้เป็นชนิดไม่มี AA Filter ดังนั้นคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องความคมจัดชัดเจนกันให้เมื่อย
และเผื่อคุณๆ จะอยากรู้ ต้นทางของเซนเซอร์รับภาพในกล้องรุ่นนี้มาจาก Sony ครับ เรื่องคุณภาพเป็นอันว่าไว้ใจหายห่วงได้แน่นอน นักขุดนักแซะทั้งหลายคงจะชอบใจแน่ๆ
• กล้องเล็กสเปคบ้าพลัง
คุณเห็นกล้องเล็กที่มีช่องมองภาพแบบ 100% บ้างไหม? ไม่มีครับเพราะต้นทุนเรื่องนี้ค่อนข้างจะสูง ข้อดีของเรื่องนี้ก็คือมันช่วยให้เราจัดองค์ประกอบได้แม่นยำมาก อะไรโผล่มาทางด้านข้างแถวๆ ขอบภาพก็เห็นได้เลย ที่คุณเคยเจอว่าตอนเล็งถ่ายภาพก็ไม่เห็นจะมีสิ่งนี้โผล่มาที่ขอบภาพ แต่ทำไมในไฟล์ภาพมี? ก็เพราะช่องมองภาพไม่แสดงพื้นที่แบบ 100% นี่แหละครับ แต่เจ้า K-S2 มีให้เห็นครบทั้ง 100% ครับ แถมยังใช้ “ปริซึมห้าเหลี่ยม” แท้ๆ ในการลำเลียงแสงมาสู่สายตาอีกต่างหาก มันจึงได้สว่างสดใสชัดเจนกระจ่างตายิ่งไปกว่านั่นเอง
เรื่อง “Wi-Fi” ก็ดูเหมือนว่าจะมาช้าไปนิดนึง แต่ในที่สุดนี่ก็เป็นกล้อง DSLR รุ่นแรกของ Pentax ที่มี Wi-Fi มาให้ใช้งานกัน แถมใช้ง่ายเพียงแค่กดปุ่ม Wi-Fi บนตัวกล้องเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ต้องเข้าไปเซ็ทอะไรให้ยุ่งยากจนต้องยอมแพ้ หลังจากนั้นจะโอนถ่ายไฟล์ภาพหรือควบคุมกล้องผ่านมือถือก็ว่ากันไป เท่าที่ได้ลองก็พบว่ามันสะดวกดีเหมือนกัน
สปีดชัตเตอร์เร็วสุด 1/6000 sec. ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าชาวบ้านเค้าขึ้นมาอีกนิด ถ่ายสัตว์ถ่ายกีฬานิ่งสนิทกันไปถ้าแสงมาเต็ม ทั่วไปเค้ามีให้ใช้กันแค่ 1/4000 sec. เท่านั้นแหละ
แป้นหมุนปรับตั้งค่าสองจุดหน้า/หลัง ปรับเปลี่ยนค่าสะดวกสบายรวดเร็วมาก
จอพับปรับองศาได้ ถ่ายมุมแปลกประหลาดได้สะดวก จะสูงจะต่ำก็แค่เปิด Live View แล้วปรับองศาจอภาพเท่านั้น
• Shutter “T”
คนยุคใหม่คงจะไม่รู้จักโหมดชัตเตอร์แบบนี้กันแล้ว มันก็เหมือนกับ “B” ที่เปิดรับแสงนานจนกว่าจะปล่อยปุ่มชัตเตอร์นั่นแหละครับ (ซึ่งต้องใช้ร่วมกับสายลั่นชัตเตอร์แล้วล็อคปุ่มเอาไว้) แต่ชัตเตอร์ “T” จะต่างออกไปโดยที่การกดปุ่มครั้งแรกจะเป็นการเปิดม่านชัตเตอร์ และการกดปุ่มครั้งต่อไปจะปิดชัตเตอร์ลง นั่นก็หมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้สายลั่นชัตเตอร์ในการถ่ายภาพแบบเปิดรับแสงนานในกล้องรุ่นนี้ อันนี้เป็นคุณสมบัติที่ผมชอบมากซึ่งปรากฏอยู่ในกล้อง Pentax มาก่อนหน้านี้แล้ว อย่างน้อยๆ เราก็ยังถ่ายภาพดาวหมุนได้แม้ว่าจะไม่มีสายลั่นชัตเตอร์นั่นแหละ ซึ่งคุณสมบัตินี้กำหนดได้จากในเมนูครับ
• Star Stream
กล้อง DSLR ของ Pentax ในรุ่นหลังๆ มานี้สามารถบันทึกภาพแบบ Time-Lapse (ภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่องแบบรวดเร็วหรือเร่งเวลา) แล้วนำมาต่อกันเป็นคลิปวีดีโอออกมาได้เลย แถมทำเป็นวีดีโอระดับ 4K ได้อีกต่างหาก ซึ่ง K-S2 ก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน แต่ที่ยิ่งไปกว่าก็คือฟังก์ชั่น “Star Stream” ที่สามารถบันทึกการเคลื่อนไหวของแสงในแต่ละขั้นให้ต่อเนื่องกันออกไปเป็นคลิปวีดีโอ เช่นวีดีโอ Time-Lapse แบบที่เห็นเส้นดาวยืดออกไปตามวิถีโคจรโดยที่แสงเดิมก็ยังคงปรากฏอยู่ด้วย และแน่นอนครับว่าทำออกมาเป็นระดับ 4K ได้ด้วยเช่นกัน
ผมคิดว่ามันน่าจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่าแค่การบันทึกแสงจากดาวนะ เดี๋ยวขอเวลาค้นคว้าและคิดต่อยอดออกไปอีกสักหน่อยแล้วจะนำมาแบ่งกันดู
• เลนส์มือหมุน
อันนี้เป็นเรื่องใหญ่และฮอตฮิตสำหรับผู้คนหลังกล้องในยุคนี้ครับ เลนส์จาก Pentax นั้นเป็นเลนส์ดีที่ได้รับการยอมรับในวงการมาแต่ไหนแต่ไรเลยทีเดียวแหละ แต่ที่ยอมรับกันอีกเรื่องก็คือ “ราคา” ที่ต้องถือว่ายังเอื้อมถึงยากอยู่เหมือนกัน อย่างว่าละครับของดีก็มักจะแพงเป็นธรรมดา
“เลนส์มือหมุน“ เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจต่อกรณีนี้ เพราะเท่าที่ได้ลองศึกษาดูก็พบว่ากล้อง Pentax รุ่นนี้ (และรุ่นก่อนหน้า) มีคุณสมบัติหลายๆ อย่างที่เหมาะสมต่อการใช้เลนส์ยุคเก่าราคาไม่แพง (สำหรับขณะนี้) ที่เราต้องหมุนโฟกัสและรูรับแสงเองอยู่หลายประการ เป็นต้นว่าสามารถวัดแสงและเซ็ทค่าการเปิดรับแสงให้เราได้โดยการกดแค่ปุ่มเดียว, มีคอนเฟิร์มโฟกัสได้ในตัว, ระบบโฟกัสพีคกิ้งบน Live View ฯลฯ และที่สำคัญก็คือมันมีระบบ “กันสั่น” อยู่ที่เซนเซอร์รับภาพ ซึ่งช่วยให้การใช้งานเลนส์มือหมุนทุกตัวมีโอกาสได้ภาพที่คมชัดเยอะมากขึ้นด้วย
ในกรณีของผมนั้นก็คือการถ่ายภาพ “มาโคร” โดยใช้ท่อมาโครนั่นแหละครับ ท่อมาโครระบบ Auto สำหรับเม้าท์ Pentax นั้นเป็นอะไรที่หายากมาก (ผมเองยังไม่เคยเห็นเลย) แต่ถ้าเป็นท่อมาโครแบบ Manual ที่เป็นแค่ท่อกลวงๆ ละก็พอจะหาซื้อกันได้อยู่ ปัญหาก็คือไม่สามารถปรับ F ได้ ดังนั้นเลนส์ยุคใหม่ที่สั่งค่า F จากกล้องจึงไม่สะดวกเอามากๆ แต่เลนส์มือหมุนที่เราต้องหมุนปรับ F เองจึงเป็นอะไรที่เหมาะสมลงตัวที่สุด เลนส์มือหมุนระยะ 50mm นั้นมีขายกันทั่วไปในระดับหลักพันบาท (ว่ากันไปตามสภาพ) ร่วมกับท่อมาโครอีกไม่กี่ร้อยบาท แล้วมาเจอเข้ากับเซนเซอร์รับภาพแบบไม่มี AA Filter ของเจ้า K-S2 เข้าไปอีก ขอบอกเลยว่ามันฟินนนนน
• เลนส์คิท 18-50mm
สารภาพเลยครับว่านี่คือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตบะของผมขาดกระจาย เมื่อได้เห็นมันจับคู่กันแล้วก็กลายเป็นกล้องเล็กขนาดกระทัดรัดและหล่อเหล่าเอาเรื่องเลยเชียวแหละเพราะลำพัง K-S2 ก็หล่อเอาเรื่องอยุ่แล้ว เลนส์คิท 18-50mm รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ออกแบบให้สามารถย่นตัวเองเข้ามาให้มีขนาดที่เล็กและดูลงตัวมากสำหรับกล้อง Pentax DSLR ทุกรุ่น (ซึ่งเน้นขนาดเล็กเป็นหลัก ถ้าคุณซื้อสีขาวเลนส์คิทก็จะเป็นสีขาวด้วย) ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังในเรื่องคุณภาพของภาพมากนักสำหรับเลนส์คิทติดกล้องแบบนี้ ขอหล่อไว้ก่อนก็แล้วกัน
ที่สำคัญ เลนส์คิทตัวนี้มีระบบซีลกันน้ำด้วยนะ ถึงไหนถึงกันเลยทีเดียว
ยังมีคุณสมบัติอีกมากมายหลายเรื่องครับสำหรับกล้องเล็กพริกขี้หนูอย่าง K-S2 (ซึ่งผมตัดสินใจซื้อมาเป็นสมบัติส่วนตัวนี้) ที่ยังไม่ได้กล่าวถึง แน่ละครับว่ามันย่อมจะมีทั้งข้อดีและข้อเสียปะปนกันอยู่เป็นธรรมดา ซึ่งผมจะนำมารีวิวฉบับเต็มกันอีกครั้งว่ามันจะเป็นยังไง อะไรบ้างที่ผมชอบและไม่ชอบ ผลงานภาพที่ได้ทั้งจากเลนส์ยุคปัจจุบันและเลนส์มือหมุนจะเป็นอย่างไรบ้าง อีกไม่นานจะนำมารายงานให้ทราบกันอีกครั้งครับ
ด้วยความไม่ธรรมดานานาประการที่บรรยายมานี้ (ซึ่งผมเชื่อว่ายังมีอีก) บอกเลยว่า K-S2 ที่เค้าจัดชุดขายคู่กับเลนส์คิท 18-50mm ด้วยราคาสามหมื่นบาทมีทอนนั้นคุ้มสุดจะคุ้มสำหรับผมแน่ๆ ไม่มีปัญหาหลังจากที่คิดแล้วคิดอีกในหลายมุม เอาแค่เรื่องซีลกันน้ำรอบตัวก็คุ้มไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้ว
…คุ้มแน่นอนสำหรับผู้อาศัยอยู่ในประเทศเมืองร้อนเมืองฝนอย่างเรานี่ละครับ
ปิยะฉัตร แกหลง (Nextopia) : พฤษภาคม 2558
ปล. ถ้าคุณสนใจใน K-S2 ก็สามารถเข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวเรื่องราคาหรือโปรโมชั่นได้ที่ eepstore.com หรือที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านครับ มันอาจจะต่างออกไปจากที่ผมคุยให้ฟังนี้ก็ได้