และแล้วเกมส์ก็เริ่มเปลี่ยน เมื่อค่ายกล้องยักษ์ใหญ่เริ่มเอาจริงกับกล้อง Mirrorless ซึ่งต้องขอบอกว่าคุณภาพไฟล์ 24.2MP จากเจ้ากล้องเล็กๆ ตัวนี้จัดว่าไม่ธรรมดา!
บอกกันตามตรงครับว่า แต่ไหนแต่ไรมาผมเองไม่ค่อยจะสนใจเจ้ากล้องเล็กๆ พวกนี้สักเท่าไหร่ในงานที่ซีเรียส จะมีบ้างก็ในฐานะกล้องเก็บภาพทั่วไป ใช้ง่ายๆ ไม่จริงจังอะไรนัก
วันนึงเกมส์ก็เริ่มเปลี่ยน เมื่อร่างกายส่งเสียงเตือนถึงภาระทางด้านการแบกน้ำหนัก ผมเริ่มมองหากล้องเล็กที่มอบความเบาสบายคล่องตัวมาให้บ้าง แต่ก็ยังจนใจเพราะ “คุณภาพของไฟล์” คือสิ่งที่ผู้ใช้ DSLR อย่างผมให้ความสำคัญยิ่งกว่าน้ำหนัก ยังคงยอมแบกหนักเพราะได้ไฟล์ดี สบายตัวแต่ไฟล์รับไม่ได้นี่เป็นสิ่งที่ยากจะทำใจ
ผมจึงไม่ค่อยจะสนใจกล้องตระกูล Mirrorless ของ Canon สักเท่าไหร่นักเพราะใช้ DSLR อยู่แล้ว แม้ว่าจะมีคนบอกว่ารุ่นนั้นดี รุ่นนี้เจ๋งก็ยังรู้สึกเฉยๆ
จะว่าไปแล้ว Canon ก็ออกกล้อง Mirrorless ตามหลังชาวบ้านเขาอยู่หน่อยๆ ผมเองก็เคยเห็นเค้าใช้ๆ กันแต่ก็ไม่ได้อะไรกับมันมากนัก เห็นแค่ว่าบางรุ่นหน้าตาดูหล่อน่าใช้ดีอยู่เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอกครับว่าความเชื่อเรื่องคุณภาพของไฟล์มันยังฝังใจอยู่ไม่น้อย
• คุณภาพไฟล์ไม่ธรรมดา
จนกระทั่งทาง Canon ส่งกล้องรุ่น EOS M6 ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน มาพร้อมกับเลนส์ EF-M18-150mm f/3.5-6.3 IS STM มาให้ได้ทดลองใช้ เชื่อไหมล่ะครับว่าขนาดนั้นแล้วผมก็ไม่ได้เห็นมันมากไปกว่าความเป็นกล้องคอมแพคทั่วไปเลย ถ่ายไปก็งั้นๆ โอเค…จอทัชสกรีนหมุนได้ ไฟล์ก็ดูสวยดี แล้วยังไงล่ะ? ใครๆ ก็ทำได้ป่ะ?
ค่ำวันหนึ่งที่ฝนตกพรำๆ ผมหยิบ M6 ขึ้นมาพลิกซ้ายพลิกขวา มันก็กล้องคอมแพคเปลี่ยนเลนส์ได้นี่แหละหนาไม่เห็นจะน่าตื่นเต้น เอาเถอะ…ไหนๆ แล้วก็ขอดู Noise กระจายๆ ตามฟอร์มหน่อยเถอะน่า
เซ็ทค่า ISO ไปที่ 6400 ซูมส่องไปที่โคมไฟถนนผู้ยืนต้นโด่เด่อยู่ท่ามกลางสายฝนนั้น แช๊ะ! อุ่ย! สีหน้าของผมเปลี่ยนไป…นี่ ISO 6400 จริงใช่ไหม?
ตรวจสอบค่าเซ็ทที่กล้องอีกที มันก็ยังเป็น 6400 เหมือนเดิม ผมดึงตัวเองขึ้นนั่งแล้วเริ่มพิจารณามันใหม่หมด ลองถ่ายภาพที่ ISO สูงๆ อีกหลายภาพเพื่อดูผลงานของมันแบบจริงจัง…จอมันอาจจะดีเกินไปหรือเปล่า? เอาไฟล์มาดูในคอมฯ ซิ
หวา~…นี่มันร่างแปลงของ EOS DSLR รุ่นเลขตัวเดียวชัดๆ!!
Noise อันพร่างพรายอย่างที่ผมคิดเอาไว้ไม่ปรากฏครับ คุณภาพของไฟล์ภาพที่เค้าผลิตออกมานั้นต้องเรียกว่าใช้งานในระดับมืออาชีพได้เลยทีเดียว มันดูดีมากราวกับออกมาจาก DSLR รุ่นเลขตัวเดียวของค่าย นี่ขนาดว่าใช้กับเลนส์เกรดธรรมดาด้วยนะ ประมาณว่าเลนส์ตัวเดียวเที่ยวทั่วโลกที่อย่าได้คาดหวังเรื่องคุณภาพสีสันและความคมชัดชั้นเลิศนั่นแหละครับ
เดี๋ยวนะ! …ถึงมันจะ ISO 6400 แต่ผมถ่ายที่สปีดชัตเตอร์ 1/50 sec. ด้วยระยะเลนส์ 150mm …เอ ระบบกันสั่นก็เข้าทีดีอยู่เหมือนกันนี่นา
• สมองอันทรงพลัง
ค้นข้อมูลดูแล้วได้ความว่า EOS M6 นี้ใช้หน่วยประมวลผล DIGIC 7 ระดับเดียวกับกล้อง DSLR รุ่นใหญ่ ส่วนเซนเซอร์รับภาพก็เป็นขนาด APS-C ความละเอียด 24MP ให้ ISO ในช่วง 100-25600 เห็นอย่างนี้แล้วผมก็เริ่มจะหายสงสัยว่าทำไมผลงานถึงออกมาดีเกินคาดซะขนาดนั้น
ทางสว่างของผมเริ่มเปิดรำไร ดัน ISO ได้สูงแล้วไฟล์ออกมาดีแบบนี้ก็เสร็จโจร ถ่ายสนุกกันแบบหายห่วงเลยสิ
…นั่นไงสวรรค์ของผม “Auto ISO” อยู่ในปุ่มเซ็ทค่า ปกติแล้วคุณจะไม่อยากใช้คุณสมบัตินี้หรอกครับถ้ากล้องของคุณไม่เจ๋งจริง เพราะเราอาจจะต้องมาร้องไห้ในภายหลังเมื่อพบว่า Noise เริงระบำไปทั่วทั้งภาพเพราะไอ้เจ้าออโต้ซัด ISO สูงมาให้เต็มเหนี่ยวเพื่อสปีดชัตเตอร์เร็วหน่อยนั่นเอง
เห็นผลของ ISO ที่ 6400 ในที่มืดเมื่อคืนนี้แล้วผมก็เบาใจ แบบนี้ก็ปล่อยไหลได้เลย เอาสมองไปใช้กับเรื่องการจับจังหวะและองค์ประกอบภาพหรือการสร้างสรรค์ภาพดีกว่า จะพื้นที่สว่างมืดยังไงก็วางใจได้ สบายกว่ากันเยอะ!
เพื่อความปลอดภัยสำหรับการทดสอบกับกล้องรุ่นใหม่ๆ ผมมักจะต้องเปิดให้บันทึกทั้งแบบ RAW และ JPEG มาพร้อมกันเลย เผื่อว่าซอฟต์แวร์จะยังเปิดไฟล์ RAW ไม่ได้ ซึ่งก็จะได้ดูพลังในการประมวลผลไฟล์ JPEG ด้วย
แน่ะ! กล้องเล็กตัวนี้ยังมี Picture Style แบบ “Fine Detail” ที่เน้นการเก็บรายละเอียดเหมือนใน DSLR รุ่นใหญ่มาให้ใช้งานอีกด้วย ไม่ธรรมดา!
ก็ถ้าผมเองที่ซีเรียสกับเนื้อไฟล์ของภาพถ่ายยังโอเค กับคนทั่วไปที่ไม่ได้ซีเรียสนักหนากับเรื่องคุณภาพของภาพคงไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ เรื่องที่ต้องมานั่งปวดหัวกับค่า ISO สปีดชัตเตอร์ รูรับแสง ฯลฯ ที่ทำให้ภาพมืดภาพสว่างอะไรพวกนั้นยังน่าปวดหัวซะยิ่งกว่า ขอแค่กล้องที่อะไรๆ ก็ออโต้แล้วภาพออกมาดีเลยได้มะ? ชั้นซีเรียสกับเรื่องอื่นในชีวิตมาเยอะพอละ
ผมลองใช้คุณสมบัติที่ชื่อว่า “Picture Style” ในแบบ B&W เพราะอยากจะดูความสามารถของระบบวัดแสง และการเก็บ Dynamic Range ของกล้องตัวนี้ อยากจะดูนักว่าจะเก็บรายละเอียดได้ขนาดไหน? รวมทั้งการไล่น้ำหนักของแสงด้วย ใช้ระบบวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพและไม่ชดเชยแสงใดๆ ผลที่ได้ออกมาน่าประทับใจมากครับ มันเก็บรายละเอียดทั้งในส่วนมืดและสว่างมาได้ดีมากกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก แทบจะไม่มีส่วนที่หลุดดีเทลกันเลยทีเดียว นี่เป็นไฟล์ JPEG ที่ออกมาจากกล้องนะครับ ไม่มีการโปรเซสภายหลังใดๆ ทั้งสิ้น…ช่างทำกันได้!
อย่าลืมว่านี่คือภาพจากเลนส์เกรดมาตรฐานธรรมดานะครับ เม้าท์ของมันยังเป็นพลาสติกอยู่เลย…โอย จะเป็นลม!
นักท่องเที่ยว, สายรีวิว กินอิ่มนอนหลับ, สายสตรีท, สายวิชาการ ฯลฯ ที่มีประเด็นอื่นสำคัญยิ่งกว่าประเด็นของกล้อง แต่ต้องได้ภาพออกมาดีๆ …มีบ้างไหมกล้องง่ายๆ แต่ดีๆ อย่างที่ว่า? อ้อ! ถ่ายภาพปุ๊บต้องโอนไฟล์มาให้โพสต์สู่โลกกว้างได้เลยด้วยนะ จัดมาเลยทั้ง Wi-Fi, Bluetooth, NFC อะไรนั่นน่ะ
…ก็นี่แหละครับ กล้องถ่ายภาพที่คุณถามหาล่ะ
• เหนื่อยน้อยลงจึงได้งานมากขึ้น
ด้วยความที่เล็กและเบาของกล้องระบบนี้นี่แหละครับ ชีวิตเลยง่ายขึ้นเยอะ คนที่ใช้กล้อง Mirrorless เค้ารู้กันดีอยู่แล้ว
ผมเองต้องพะรุงพะรังกับ DSLR มาตลอด ซึ่งมันไม่ใช่แค่กล้องและเลนส์ ทุกระบบที่ตามมาล้วนมีขนาดที่ใหญ่โตทั้งสิ้น กระเป๋าเอย ขาตั้งเอย แบกหามกันไปเถอะครับ ตอบคำถามเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทั้งบ้านเราและบ้านเค้าไปตลอดทางนั่นแหละ แล้วก็สายเอ้าท์ดอร์อย่างผมที่ต้องทั้งมุดทั้งปีนนี่บอกเลยว่าสาหัสอยู่ครับ บางสถานการณ์นั้นถึงกับต้องตัดใจเลยทีเดียว
แต่ก็ใช่ว่า DSLR จะไม่ดีนะ ถึงยังไงผมก็ยังต้องคลุกคลีตีโมงกับมันไปอีกนาน เพราะถึงแม้จะมีจุดด้อยแต่ก็มีข้อดีของมันอยู่ เพียงแต่ตอนนี้ทางสว่างที่จะช่วยผ่อนแรงอีกทางหนึ่งเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นแล้วนี่
มนุษย์มนาอย่างเราๆ นี่ “ความเหนื่อย เมื่อย ล้า” คืออุปสรรคขัดขวางตัวสำคัญครับ การแบกกล้องและอุปกรณ์ขนาดใหญ่น้ำหนักมากก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำให้เราปล่อยวางได้เหมือนกัน (คือปล่อยวางว่าไม่ทงไม่ถ่ายมันแล้ว) หรือถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ต้องฝืนถ่ายไป แต่งานก็หวังยากที่จะออกมาดี
มันจะดีมากครับถ้ากล้อง, เลนส์ และอุปกรณ์อื่นที่ตามมาจะมีขนาดที่เล็กลง เพราะมันจะช่วยลดความเหนื่อยล้าลงได้ ซึ่งหมายความว่าเราจะได้งานมากขึ้นด้วยในระยะเวลาที่เท่ากัน
• มองมุมที่แตกต่าง
เดี๋ยวนี้มีคนถ่ายภาพกันเป็นล้านๆ ภาพในแต่ละวัน ถ้าภาพของคุณไม่ต่างออกไปก็ยากที่ใครจะเห็นคุณได้…จริงไหม?
EOS M6 มาพร้อมกับจอภาพแบบทัชสกรีนด้านหลังครับ ความดีก็คือมันเป็นจอภาพที่สามารถปรับเปลี่ยนองศาการมองได้ ช่วยให้การถ่ายภาพในมุมต่ำหรือมุมสูงที่ประหลาดกว่าชาวบ้านเค้าได้ (รวมถึงการถ่ายภาพแบบ “เซลฟี่” นั่นด้วย) ผมเองใช้กล้อง DSLR ตัวใหญ่ที่ไม่ได้มีจอแบบนี้ก็เลยติดขัดปัญหาเรื่องมุมมองแปลกๆ หน่อย แต่มุมไหนที่ผมคิดเอาไว้แล้วกล้องใหญ่ช่วยผมไม่ได้ ผมก็ใช้เจ้า EOS M6 นี่แหละมุดลงไปช่วย ซึ่งก็อย่างที่บอกครับว่าคุณภาพไฟล์ของเจ้านี่มันได้ถึงระดับมืออาชีพแล้ว ดังนั้นมันจึงตอบสนองมุมแปลกประหลาดได้ดียิ่งไปกว่า ช่วยถ่ายทอดมุมมองแปลกใหม่ที่ใครเค้าก็ไม่ถ่ายกัน (เพราะมันถ่ายยาก) ให้กับเราได้
ถ้าคุณฝึกฝนเรื่องมุมมองพวกนี้เพียงไม่นาน ก็จะใช้ประโยชน์จากจอพับได้แบบนี้อีกเยอะครับ กล้องใหญ่ได้แต่ทำตาปริบๆ เลยทีเดียว
จากภาพด้านบนนี้นะครับ ขอให้สังเกตว่าผมใช้สปีดชัตเตอร์ที่ 1/13 sec ซึ่งช้ามาก ที่ต้องช้าก็เพราะผมอยากให้เห็นการเคลื่อนไหวของกระแสน้ำที่ออกมาจากท่อ ผมถ่ายภาพนี้โดยที่ไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง และแน่นอนครับว่ากล้องก็ไม่ได้แนบกับใบหน้าด้วย มันก็คือการถือกล้องด้วยมือเปล่านั้นเอง ซึ่งปกติแล้วต้องลุ้นละครับว่ากล้องจะสั่นใช่ไหมล่ะ? แต่ทุกอย่างยังคงดูเป็นปกติดีอยู่ ภาพไม่สั่นไม่เบลออย่างที่เห็น
นั่นก็เป็นเพราะระบบช่วยลดอาการสั่นไหว “IS” (Image Stabilizer) ที่อยู่ในเลนส์รุ่นนี้นี่แหละครับ ช่วยลดอาการสั่นไหวได้ดีมากๆ แม้จะจับถือกล้องด้วยมือเปล่าก็ตาม
ระบบช่วยลดการสั่นไหวใน EOS M6 ยังมีมากกว่านี้อีกด้วยครับ นั่นก็คือ เมื่อคุณบันทึกวีดีโอก็จะมีระบบการประมวลผลทางดิจิตอลในตัวกล้องเพื่อชดเชยอาการสั่นไหวให้เลือกใช้ได้ด้วย ซึ่งสามารถชดเชยได้ถึง 5 แกน โดยที่มันจะทำงานร่วมกับระบบ IS ของเลนส์ นี่ไม่ใช่ระบบขยับเซนเซอร์รับภาพนะครับ เป็นการประมวลผลภาพทางดิจิตอล ซึ่งก็อาศัยประสิทธิภาพการประมวลผลของ DIGIC 7 อันทรงพลังนั่นเอง
…ลองดูจากในคลิปนี้นะครับ
อย่างหนึ่งที่ผมแอบเสียดายก็คือ มันไม่มีช่องมองภาพ (View Finder) ติดมาให้เหมือนอย่าง EOS M5 ครับ ต้องดูที่จอด้านหลังเท่านั้น แต่ถ้าจะเอาก็มีนะ คุณแค่ต้องซื้อเพิ่มหน่อย (EVF-DC1, EVF-DC2) แล้วนำมาเสียบเข้าไปตรงฮอทชูด้านบนตัวกล้อง ซึ่งทาง Canon คงตัดช่องมองภาพออกจากรุ่นนี้เพื่อให้ต้นทุนของมันถูกลง ซึ่งก็จริงครับ เพราะ M6 ถูกกว่า M5 ตั้งเกือบหมื่นบาทเลยทีเดียว
จะเอาช่องมองภาพไปทำอะไร? ทำเท่เหรอ? …ช่องมองภาพมีประโยชน์มากเมื่อเราถ่ายภาพในที่กลางแจ้งครับ เหตุที่มันไม่ต้องเจอกับแสงสะท้อนจึงทำให้เราเห็นภาพที่จะถ่ายได้ถนัดตามากยิ่งขึ้นนั่นเอง
แต่ก็เอาเถอะ ถ้าไม่มีแล้วถูกลงไปเยอะแบบนี้ก็ยังฟังขึ้นอยู่ครับ
• มือเดียวอยู่
มันเป็นเรื่องของการควบคุมกล้องนี่แหละครับ EOS M6 ออกแบบให้ปุ่มควบคุมทุกสิ่งอย่างมาอยู่ที่ทางด้านขวาทั้งหมด (ยกเว้นถ้าคุณจะเปิดแฟลช) ซึ่งนับเป็นเรื่องดีครับ และดีมากที่เค้าออกแบบมาให้มีกริปมือจับด้วย ช่วยให้นิ้วของเราเกาะเกี่ยวกับตัวกล้องได้ ไม่งั้นมันจะลำบากพิลึกเลยเชียวล่ะ
ผมชอบนะ ตรงที่ปุ่มกดชัตเตอร์มีวงแหวนปรับตั้งค่าซ้อนอยู่ด้วย และตรงนี้มีการปาดให้ลาดเอียงลงไปด้านหน้า องศาในการใช้นิ้วชี้ขวาของคนที่ถ่ายภาพที่จะเลื่อนมันกลับไปกลับมาสามารถทำได้ถนัดมากกว่าในแนวระนาบปกติ ส่วนวงแหวนปรับตั้งค่าอีกชุดหนึ่งนั้นอยู่ใต้แป้นหมุนปรับค่าชดเชยแสง ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวก ท่านใดที่ใช้งาน EOS DSLR อยู่แล้วใช้เวลาปรับความคุ้นเคยแป๊บเดียวเท่านั้น
“แป้นหมุนชดเชยแสง” นี่แหละครับตัวสำคัญ ผมดีใจที่กล้องเล็กๆ แบบนี้มีมาให้ด้วย ไม่ใช่มีอยู่แค่ในเมนูอย่างเดียว เพราะมันจะช่วยให้เราสั่งภาพมืดภาพสว่างได้รวดเร็วขึ้น อยากให้สว่างขึ้นก็หมุนไปทางบวก อยากให้มืดลงก็หมุนไปทางลบ คนถ่ายภาพไม่เป็นรู้แค่นี้พอก็ยังไหว
แต่ผมอยากให้ปรับปรุงเรื่องความแข็งในการเลื่อนแป้นหมุนตัวนี้อีกสักหน่อย โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่ามันแข็งไปนิดนึงครับ ถ้าลื่นไหลได้สะดวกกว่านี้อีกนิด (นิดเดียวพอนะ ไม่งั้นเดี๋ยวลื่นเกินอีก) ก็จะช่วยให้การควบคุมกล้องด้วยมือเดียวเป็นไปได้ดียิ่งขึ้นอีก
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ที่ปุ่มควบคุม “จตุรทิศ” ด้านหลังนั้น ด้านซ้ายเป็นปุ่ม “MF” ซึ่งเป็นการสลับระหว่างใช้โฟกัสแบบ Auto และ Manual ซึ่งผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของผู้ออกแบบมากนักว่าคิดอย่างไรจึงเอาปุ่มนี้มาวางไว้ให้กดง่าย มันดีมากเลยเชียวครับสำหรับการถ่ายพวกมาโครที่การสลับง่ายๆ จะช่วยได้ แต่สำหรับโดยทั่วไปแล้วผมเองยังไม่ค่อยเห็นความสำคัญนัก
ที่สำคัญก็คือ มันมักจะถูกกดได้โดยไม่ตั้งใจในระหว่างหิ้วไปหิ้วมานั่นแหละ แต่ก็ยังดีที่เราสามารถเข้าไปกำหนดหน้าที่ของปุ่มเหล่านี้ได้เยอะ อย่างปุ่ม MF ที่ว่านี้ถ้าไม่สำคัญกับเราก็เปลี่ยนให้มันทำหน้าที่อื่นไปซะ ผมก็เลยไปเปลี่ยนปุ่มนี้ให้ทำหน้าที่สลับ Drive Mode ซะเลยเพราะได้ใช้มากกว่า จบข่าว
• ออโตโฟกัสเทียบชั้นรุ่นใหญ่
เฮกันไปทั้งบาง (ไม่ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ตาม) เมื่อรู้ว่า EOS M6 นี้มีระบบ “Dual Pixel CMOS AF” ด้วย โอเค…มันดีตรงไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามีแล้วดีละกันน่า…
Dual-Pixel CMOS AF นี้เป็นระบบที่ Canon พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ระบบการจับโฟกัสอัตโนมัติทำได้ดียิ่งขึ้นโดยการประมวลผลมาจากเซนเซอร์รับภาพเลยโดยตรง ซึ่งมันจะส่งผลดีต่อการใช้ Live View และการบันทึกวีดีโอ รวมไปถึงการ Tracking แบบต่างๆ เช่น จับโฟกัสที่ใบหน้าหรือความเคลื่อนไหว เพราะพูดง่ายๆ ว่าเซนเซอร์รับภาพที่จับภาพอยู่ตลอดเวลาเข้ามาช่วยจับโฟกัสนั่นเอง
ดังนั้นระบบโฟกัสอัตโนมัติของ EOS M6 จึงทำได้ดีและรวดเร็วมากครับ แต่ในที่แสงน้อยก็จะด้อยลงไปหน่อย ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะเลนส์ที่ผมมีใช้อยู่นี้ไม่ได้สว่างมากพอก็เป็นได้
และก็เพราะระบบโฟกัสอัตโนมัติมันล้ำแบบนี้นี่แหละ จึงมีระบบโฟกัสแบบ Tracking ที่เชื่อใจได้มาให้ใช้งานด้วย รวมไปถึงถ่ายภาพต่อเนื่องได้เร็วถึง 7 ภาพต่อวินาที (และได้ระดับ 9 ภาพต่อวินาทีหากล็อคโฟกัสและระบบวัดแสง) ดังนั้นอย่าได้พูดถึงแค่ถ่ายภาพงานกีฬาสีของคุณลูกเลยครับ ระดับถ่ายภาพนกยากๆ นี่ยังพอจะหวังผลได้เลย
• เลนส์เดียวเที่ยวรอบโลก
จะได้หรือไม่ได้ก็ต้องได้ครับ เพราะอย่างที่บอกว่าได้เลนส์มาตัวเดียว ซึ่งเป็นเลนส์ซูมระยะทำการ 18-150mm ซึ่งก็ถือว่าครอบคลุมใช้ได้อยู่พอสมควร ความยาวทางกายภาพอาจจะยาวนิดหน่อยเมื่อเทียบกับขนาดของตัวกล้อง
EF-M18-150mm f/3.5-6.3 IS STM ตัวนี้เป็นเลนส์ในเกรดมาตรฐานปกติ มีระบบช่วยลดอาการสั่นไหวในตัวเลนส์ ซึ่งก็ถือว่ามันทำงานได้ดี และอาจจะเพราะขนาดของระบบไม่ใหญ่มากนักด้วยทำให้มันไม่สั่นมากนัก ความคมชัดและสีสันก็ถือว่าใช้ได้ในระดับทั่วไปค่อนไปทางดี และที่สำคัญก็คือมันโฟกัสได้ใกล้มาก จนดูภาพเผินๆ แล้วอาจจะนึกว่าเลนส์มาโคร แต่จริงๆ แล้วเป็นเลนส์ครอบจักรวาลต่างหาก
ดังนั้นแล้วถ้าคุณคิดจะจบที่เลนส์ตัวเดียวละก็ EF-M ตัวนี้ถือว่าครอบคลุมใช้ได้ครับ…แต่เชื่อเถอะว่าคุณคงจะไม่ยอมจบที่เลนส์ตัวเดียวแน่ๆ
• แทนที่ DSLR?
ที่ผมร่ายยาวมานี้ดูราวกับว่า DSLR เตรียมตัวจะตกงานแล้วยังไงยังงั้น แต่ยังหรอกครับ เพราะ DSLR ก็ยังมีข้อดีในแบบฉบับของมัน DSLR ยังคงทนทานและรับมือกับสภาพแวดล้อมยากๆ ได้ดีกว่า อึดกว่าลุยกว่า ทำงานได้รวดเร็วกว่า หรือช่องมองภาพแบบ Optical และระบบชัตเตอร์ที่ตอบสนองได้ดีกว่า รวมไปถึงความเชื่อใจได้ในการบันทึกข้อมูลและการเอาตัวรอดหน้างาน หรือแม้กระทั่งภาพลักษณ์ต่อลูกค้าที่เรารับงานมาก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการใช้งานในระดับมืออาชีพ หรือสำหรับนักถ่ายภาพที่จริงจังหน่อย
แต่สิ่งที่ Mirrorless อย่าง EOS M6 เหนือกว่าก็คือ เล็ก เบา คล่องตัว ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ ปีนป่ายมุดคลานได้ง่ายกว่า และไม่ตกเป็นเป้าสายตามากนัก ถ่ายมุมยากๆ ได้ดีกว่า และช่วยลดอาการปวดหัวกับความเป็นกล้องที่สลับซับซ้อนและยากต่อการทำความเข้าใจให้น้อยลงได้มาก …Auto ISO โหมดอัตโนมัติ ยกขึ้นเล็ง ถ่ายแช๊ะ! ได้ไฟล์เจ๋ง จบเลย
ส่วนเรื่องคุณภาพของไฟล์นั้นเข้าใกล้กันมาก หายใจรดต้นคอกันมาเลยทีเดียว
• คุ้มค่าเงินไหม?
อันนี้ผมคงให้คำตอบแบบฟันธงกับทุกคนไม่ได้ครับ เพราะความคาดหวังของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ค่าตัวสามหมื่นมีทอนนี้ดูในมุมนึงก็อาจจะมาก แต่ในมุมอื่นๆ ก็อาจจะน้อย อย่างเช่น มันช่วยให้คุณเดินทางคล่องตัวมากขึ้น ลดปัญหาสุขภาพทางสรีระของคุณลงได้ในระยะยาว แค่นี้มันก็ถูกแสนจะถูกแล้ว จริงไหมล่ะครับ?
แต่สำหรับผมแล้วนะ แค่เรื่องคุณภาพของไฟล์เจ๋งๆ เพียงอย่างเดียวที่มันทำได้ก็คุ้มแล้วครับ
• สรุปว่า
EOS M6 เหมาะกับใครน่ะเหรอ? …ผมว่าจริงๆ แล้วก็เหมาะสำหรับทุกๆ คนเลยนะครับถ้าคุณถามหาความสะดวกสบายแต่หวังผลได้กับไฟล์คุณภาพ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นใครผมก็เชื่อว่าคุณไม่อยากแบกหนักยามที่ต้องเดินทางหรือวันชิวๆ ที่สำคัญก็คือเจ้าหมอนี่ไม่ใช่แค่ถ่ายภาพได้ แต่มันดันบันทึกภาพได้ในระดับกล้องของมืออาชีพเสียด้วย ดูเหมือนว่ามันจะเป็นรองก็แค่ไฟล์ภาพจากกล้อง Full Frame เท่านั้นเอง
แหม…จะว่าไปแล้ว เครื่องในตับไตไส้พุงอะไรต่างๆ มันก็ DSLR ทั้งกระบิอยู่แล้วนี่นะ จะให้ด้อยออกไปก็ใช่ที่รึเปล่า?
ผมคิดว่าถ้าได้เลนส์ดีๆ มาประกบคู่ด้วยแล้วก็จะยิ่งระเบิดเถิดเทิงกันเข้าไปใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งในขณะที่ผมเขียนบทความนี้อยู่ Canon ก็มี Lens ในตระกูล EF-M สำหรับกล้อง Mirrorless ของตัวเองออกมาแล้วทั้งหมด 7 รุ่น ตั้งแต่มุมกว้างพิเศษไปจนถึงเทเลโฟโต้ (ไกลสุด 200mm และยังไม่ได้คูณทางยาวโฟกัส) แต่นี่ยังไม่นับรวมถึงการใช้เลนส์ในตระกูล EF และ EF-S ของ DSLR ผ่านตัวแปลงเม้าท์ EF-EOS M ได้อีกต่างหาก เรียกได้ว่าจะใช้เลนส์แบบไหนก็มี ตั้งแต่ถ่ายแมลงไปยันส่องออกไปนอกโลกนู่นเลยทีเดียว …เสียดายที่ผมไม่ได้ตัวแปลงนี้มาลองทดสอบด้วย
และผมเชื่อว่าอีกไม่นานก็น่าจะมีเลนส์ในตระกูล EF-M ซึ่งเป็นเกรดโปรคลอดออกมาครับ คราวนี้ล่ะสวรรค์ของคนบ้ากล้องโดยแท้เลย
ดังนั้นคุณจะเป็นใครก็ตามแต่ หากว่าอยากเบาสบายตัวและได้ไฟล์ภาพดีๆ ละก็ EOS M6 ตอบโจทย์ให้คุณได้แน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพหรือไม่ก็ตาม
…อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยครับ ผมเองก็ยังแอบหวั่นไหวอยู่เหมือนกันนะเนี่ย!
ปิยะฉัตร แกหลง
มิถุนายน 2560
• Highlight Specifications
- หน่วยประมวลผล DIGIC 7
- เซนเซอร์รับภาพแบบ CMOS ขนาด APS-C ความละเอียด 24.2MP
- ISO 100-25600
- จอ LCD แบบ Touch Screen ขนาด 3 นิ้ว ความละเอียด 1,040,000px ปรับเปลี่ยนองศาได้
- ชัตเตอร์สปีด 30 วินาที – 1/4000 sec, “B”
- ถ่ายภาพต่อเนื่องได้เร็ว 7 ภาพต่อวินาที (9 ภาพต่อวินาทีเมื่อล็อคระบบโฟกัสและระบบวัดแสง)
- บันทึกวีดีโอได้ถึงระดับ Full HD 60p แบบ MP4 (H.264)
- รองรับการ์ดหน่วยความจำชนิด SD/SDHC/SDXC (ใช้แบบ UHS-I ได้)
- มีระบบ Wi-Fi, Bluetooth และ NFC
- น้ำหนักกล้องรวมแบตเตอรี่ 390 กรัม
ขอขอบคุณ Canon Marketing (Thailand) สำหรับกล้อง Canon EOS M6 และเลนส์ที่ใช้ในการทดสอบ
เว็บไซต์ EOS M6 > http://www.canon.co.th/personal/products/interchangeable-lens-camera/eos-m/eos-m6-body?languageCode=TH