พริกขี้หนูเม็ดเล็กไม่ได้หมายความว่าจะเคี้ยวง่าย กัดปุ๊บเป็นต้องร้องเจี๊ยกด้วยความเผ็ดร้อน กล้องตัวนี้ก็เช่นกันที่ความเป็นรุ่นเล็กไม่ได้หมายความว่าสเปคของมันจะอยู่ระดับล่างเลย…
ถ้าจะพูดถึง “Pentax” หลายท่านอาจจะเห็นเป็นม้านอกสายตา เป็นมือระดับรองลงไปที่ไม่ค่อยจะน่าสนใจอะไรมากนัก แต่ถ้าพูดถึงชื่อนี้ที่ญี่ปุ่นละก็มันยังคงเป็นแบรนด์ที่น่าเกรงขามอยู่ในลำดับต้นๆ สำหรับสายกล้องถ่ายภาพ
ในอดีตนั้นกล้อง SLR ของ Pentax ได้ฝากชื่อเสียงระดับตำนานเอาไว้ไม่ใช่น้อย รุ่นที่นักถ่ายภาพสมัยยุคฟิล์มต่างรู้จักกันดีก็คือ “K-1000” ที่เบียดลู่วิ่งเทียบชั้นมากับ FM2 ของค่ายยักษ์ใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งมันจัดเป็นกล้องอันเป็นขวัญใจมหาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักเรียนนักศึกษาผู้โลดโผนโจนทะยานเพราะมันอึดทนแกร่ง ฆ่ายังไงก็ไม่ตายเสียที
วันคืนอันรุ่งโรจน์ของ Pentax ดำเนินต่อมาจนกระทั่งค่อยๆ ห่างหายออกไปหลังจากเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิตอลได้ไม่นาน จากที่เป็นตัวเองก็ถูกส่งผ่านไปอยู่ในการกำกับดูแลของ HOYA ซึ่งถือเป็นช่วงที่ Pentax แทบจะหายไปจากวงการเพราะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ออกสู่ตลาด (ถึงจะมีก็น้อยมาก) ทำให้ชื่อ Pentax ค่อยๆ หายไปจากการรับรู้ของวงการทีละน้อยเหมือนคลื่นลูกสุดท้ายที่วิ่งเข้ากระทบฝั่ง นั่นทำให้แฟนๆ ชาว “แป้น” (ชื่อที่เรียกกันในบ้านเรา) ไม่ค่อยจะคึกคักสักเท่าไหร่นัก
Pentax ถูกเปลี่ยนมืออีกครั้งซึ่งคราวนี้มาอยู่ใต้ร่มเงาของ “Ricoh” ซึ่งก็ราวกับม้าศึกผู้ถูกน้ำทิพย์ชะโลมจิตวิญญาณให้กลับลงสนามอีกครา ทั้งกล้อง DSLR, Mirrorless, Compact และน้องเล็กตระกูล “Q” ก็ทะยอยเผยโฉมออกสู่ตลาดสร้างสีสันกันเป็นระยะ และแต่ละครั้งที่ออกมานั้นก็จะต้องมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาสร้างความน่าทึ่งอยู่เสมอ เพียงแต่การตลาดการประชาสัมพันธ์อาจจะยังขลุกขลิกในช่วงของการเปลี่ยนผ่านทำให้เรื่องราวเหล่านั้นยังไม่ถูกรับรู้ในวงกว้างมากพอ แต่ใครที่ติดตามอยู่ก็จะเห็นได้ว่าแบรนด์นี้ชักจะเริ่มไม่ธรรมดา
สำหรับในบ้านเรานั้นปัจจุบัน Pentax ถูกส่งผ่านเข้ามาอยู่ในการกำกับดูแลของบริษัท “อิสท์ เอ็นเตอร์ไพรส์” จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย (รายเดียวกับที่เป็นตัวแทน TAMRON นั่นแหละ) ความเคลื่อนไหวของตลาดก็ดูชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน รวมไปถึงงานทางด้านบริการหลังการขายด้วย
ผมจับ DSLR ของค่ายนี้มาหลายรุ่นตั้งแต่ที่ชื่อรุ่นยังเรียกยากจำยาก จนกระทั่งในยุคหลังมานี้ก็มีคุณสมบัติหนึ่งที่ผมรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก นั่นก็คือสเปคแต่ละอย่างที่ใส่เข้ามาในกล้องรุ่นเล็กนั้นเรียกได้ว่า “ไม่กั๊ก” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณสมบัติการ “กันน้ำ” ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนใน DSLR รุ่นเล็ก ทุกรุ่นที่ไล่กันออกมานั้นโดนผมเอาไปบุกตะลุยในสภาพความชื้นสูงและถึงแม้กระทั่งโดนน้ำสาดเต็มๆ ในวันสงกรานต์ มันก็ยังเฉยก้มหน้าก้มตาทำงานไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น… ได้ข่าวว่าเป็นกล้องถ่ายรูปนะเราน่ะ กลัวน้ำซะมั่งสิ!
ใช้ไปใช้มาก็ชักจะติดใจ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยประทับใจในเรื่องคุณภาพของภาพเท่าใดนักเพราะมันอยู่ในระดับทั่วไป จนกระทั่งวันนี้กับการมาถึงของ “K-S2” นี่แหละ
• K-S2 รุ่นเล็กสเปคยักษ์
ก่อนหน้ารุ่นนี้คือ “K-S1” ซึ่งหน้าตาอรชรอ้อนแอ้นไม่เหมาะกับผมเป็นอย่างยิ่ง และมันก็ไม่ได้มีคุณสมบัติไม่กลัวน้ำด้วย แต่ผมชักจะเริ่มเอะใจในคุณภาพของภาพในตอนที่ได้รับมาทดสอบ ไฟล์ภาพเนียนใช้ได้เลยเชียว แจ๋วกว่ากล้องเล็กอีกหลายรุ่นที่เคยผ่านมือมาเสียอีก แต่ก็อย่างว่า…หน้าตาไม่เข้ากับผมอย่างแรง (อันนี้เป็นความผิดของผมเอง)
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น “K-S2” ก็คลอดตามกันออกมา คราวนี้เป็นคิวของความบึกบึนตะลุยโลก ซึ่งหลังจากที่ผมพบว่าคุณภาพของไฟล์ภาพที่ได้นั้นอยู่ในระดับเดียวกับ “K-S1” ที่ผมรู้สึกเอะใจตั้งแต่แรก บวกกับรุ่นนี้มีคุณสมบัติที่ไม่กลัวน้ำด้วยแล้ว แผนการสำหรับถ่ายภาพในแบบแปลกๆ ก็เริ่มผุดพรายขึ้นมาในสมอง อาจจะยังไม่ชัดเจนมากมายนักแต่การก้าวข้ามข้อจำกัดหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศนั้นก็น่าจะขยายแนวรบของเราออกไปได้กว้างไกลกว่าเดิมเป็นแน่
…ประมวลจากคุณสมบัติที่มันมีและค่าตัวที่ต้องจ่ายแล้วก็เห็นว่ามันคุ้มจนไม่รู้จะคุ้มยังไง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ “ซื้อ” กล้องตัวนี้เข้ามาประจำการในฐานะอาวุธคู่มือเสียเลย (อ่านบทความแรกในตอน “K-S2” …ทำไมผมถึงซื้อกล้องรุ่นนี้? ได้โดยคลิกที่นี่)
คุณต้องเข้าใจก่อนนะครับ ไอ้ที่ผมบอกว่า “กันน้ำ” หรือ “ไม่กลัวน้ำ” อันนี้จะหมายถึงน้ำบนบก ไม่ใช่น้ำที่อยู่ใต้น้ำ ดังนั้นการสาดน้ำใส่หรือฝนตกนี่ไม่ใช่ปัญหาเพราะมันปราศจากแรงดัน แต่ถ้าจับกดน้ำละก็เป็นได้เสียชีวิตคาที่เหมือนกัน อันนั้นเป็นหน้าที่ของกล้องใต้น้ำครับ เจ้านี่มันเป็นกล้องบนบกต่างหากล่ะ
K-S2 ถูก “ซีล” ยางมาตามรอยต่อทั้งหลายรอบตัวไปหมด ดังนั้นมันจึงไม่กลัวน้ำไม่กลัวความชื้นไม่กลัวฝุ่นละออง ส่วนเลนส์ในรุ่นที่มีรหัส “WR” ต่อท้ายก็จะมีระบบซีลที่ว่านี้เหมือนกัน ร้ายกาจหนักกว่านั้นก็คือเลนส์คิท 18-55mm หรือ 18-50mm ก็มีการซีลแบบนี้มาให้ด้วย อย่าได้เลียนแบบลุยถ่ายภาพกลางฝนเหมือนเจ้านี่ด้วยกล้องที่คุณมีล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!
ไอ้ที่ว่ากันน้ำนี้ไม่เห็นจะจำเป็นตรงไหนเพราะเราก็ไม่ได้จะไปลุยอะไรอยู่แล้ว คุณอาจจะคิดอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ? แต่อย่าลืมนะว่า “ความชื้น” ก็เป็นตัวการลอบสังหารกล้องของเราได้อย่างเงียบกริบชนิดย่องมาเสียบกันจากมุมมืดเลยทีเดียว แต่ขอโทษเถอะ ขนาดน้ำฝนยังทำอะไรไม่ได้ความชื้นก็ไม่ต้องมาคุยกัน น้ำตกที่ว่าความชื้นสูงๆ นั่นน่ะเหรอ?…เรื่องเล็กไปเลย
นั่นแปลว่าคุณไม่ต้องรีบเก็บกล้องเมื่อฝนเริ่มหยด หรือไม่ต้องกังวลว่าจะถ่ายภาพในที่ชื้นไม่ได้เพราะกลัวกล้องพัง ถ้ามีเจ้านี่ละก็ถ่ายไปเถอะ แค่ระวังหน้าเลนส์ไม่ให้เปียกแฉะฝ้ามัวก็แล้วกัน
ย้ำนะครับว่า ”กันน้ำบนบก” เช่น ฝนตกใส่ น้ำหกรด ไม่ใช่ “กันน้ำใต้น้ำ” หรือน้ำที่มีแรงดัน เอาลงไปจุ่มน้ำหรือดำน้ำไม่ได้ครับ แบบนั้นละก็พังแน่!
นอกจากเรื่องนี้แล้ว Pentax เค้าก็ยังโชว์เหนือในเรื่องไม่กั๊กสเปคด้วยการใส่อะไรๆ อีกหลายอย่างมาให้ทั้งๆ ที่เจ้าหมอนี่เป็นกล้องรุ่นเล็ก ซึ่งหลายๆ เรื่องนั้นคุณจะไม่มีทางได้เห็นในกล้องระดับเดียวกันอื่นๆ เลยเชียวนะ เป็นต้นว่า:
• ช่องมองภาพแบบปริซึมสว่างใสคมชัด ที่สำคัญคือครอบคลุมพื้นที่ภาพ 100%!
• สปีดชัตเตอร์เร็วสุด 1/6000 วินาที!
• ตัวหมุนปรับค่าหน้า/หลังสองตัว ปรับได้สะดวกรวดเร็วมาก
• จอ LCD ขนาด 3 นิ้วแบบพับปรับองศาได้
• มีระบบ Wi-Fi ให้ใช้งานด้วย คุมกล้องโอนไฟล์โดยใช้มือถือได้หมด
• เซนเซอร์รับภาพแบบ CMOS ความละเอียด 20MP แบบไม่มี AA-Filter (Low-pass Filter)
เอาล่ะ เรื่องของสเปคโดยละเอียดนี้ผมเชื่อว่าคุณคงจะหาอ่านได้ไม่ยากหรอก เรามาดูผลของการใช้งานจากกล้องของผมตัวนี้กันดีกว่า
• ภายนอก
มันก็กล้อง DSLR นี่แหละ เพียงแต่มีลูกเล่นทางเหลี่ยมสันที่ดูแข็งแรงบึกบึนตามสไตล์ Pentax ส่วนโค้งนั้นมีน้อยกว่าเส้นเหลี่ยมชนิดที่ขว้างกันก็คงต้องเย็บหลายเข็ม (แต่คงไม่มีใครทำอย่างนั้นหรอกน่ะ) ตัวกล้องมีขนาดเล็กมากจนบางท่านอาจจะไม่ชอบใจ แต่สำหรับคนตัวเล็กมือเล็กก็จะเข้าพอดีมือ อาจจะมีนิ้วก้อยหลุดรอดไปบ้างแต่โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าจับถนัดมือดี
ด้านบนเล่นพื้นผิวมีลวดลายพอแก้เบื่อ ปุ่มปรับตั้งต่างๆ มีไม่มากนัก ที่สำคัญซึ่งผมขอยกย่องเลยก็คือปุ่ม “Wi-Fi” ที่อยู่ด้านบน เพราะเชื่อไหมว่าเมื่อคุณกดปุ่มนี้กล้องก็จะร้อง “ตี๊ดๆ” ซึ่งแปลว่าระบบ Wi-Fi ออนไลน์แล้ว แน่จริงก็ต่อเข้ามาสิ! คุณไม่ต้องไปปรับตั้งค่าอะไรให้วุ่นวายปวดหัวอีกเลย แค่เปิดสมาร์ทโฟนแล้วเลือกมาที่กล้องตัวนี้แล้วก็ไปเปิด App เพื่อใช้งานอะไรก็แล้วแต่คุณ
ผมเคยใช้กล้องบางรุ่นที่การเปิด Wi-Fi เป็นอะไรที่เราต้องชิงไหวชิงพริบกับกล้องมากครับ ต้องใส่ค่าไอ้นั่นกำหนดค่าไอ้นี่ราวกับเรากำลังเกมส์ปริศนาฟ้าแลป แถมท้ายที่สุดก็ตามมาด้วยข้อความชวนช้ำประมาณ “Wi-Fi Not connect” โอย…จะบ้าตาย
แต่กับเจ้านี่ก็อย่างที่บอกครับ กดให้มันร้องติ๊ดๆ แค่นี้ อย่างมากก็แค่เข้าไปดู Password เพื่อใส่ในมือถือของเราเท่านั้นเอง
แหม…เดี๋ยวจะหาว่ามีแต่ชมกันจนอยากจะอ้วก (ก็ของเค้ามันดีจริงๆ นี่หว่า) สิ่งที่ผมไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่นักสำหรับเรื่องนี้ก็คือ App ที่ชื่อว่า “Image Sync” ของ Pentax นี่แหละครับที่ดูจะสับสนในการใช้งานอยู่สักหน่อย ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็ใช้งานได้ดีทั้งการโอนไฟล์ภาพจากกล้องหรือการควบคุมกล้องในระยะไกล แต่ผมก็เชื่อว่าน่าจะทำให้ใช้งานได้ง่ายมากกว่านี้ได้อีก ก็หวังว่าทาง Pentax จะปรับปรุงให้มันดีขึ้นในเวอร์ชั่นต่อไปนะ
• ไฟล์ระดับคุณภาพ
ให้ตายเถอะ ไฟล์จากกล้องตัวนี้ไล่บี้กับกล้องโปรได้สบายๆ เลยทีเดียว!
ด้วยความสัตย์จริง…ผมไม่ได้มาพูดเกินตัวเพื่อยกยอเอาใจค่ายกล้อง เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามแต่หรือต่อให้สเปคชั้นเลิศขนาดไหนแต่ถ้าไฟล์ไม่ได้เรื่องก็เห็นจะไม่ได้กินเงินผมล่ะ แต่เพราะลองแล้วลองอีกตั้งแต่มันยังไม่วางตลาดจนผมมั่นใจว่าเจ้านี่ไม่ธรรมดา ในที่สุดผมก็ซื้อเลย
ไฟล์ภาพเนียนมากครับ การไล่โทนไล่ระดับนั้นยอดเยี่ยม เก็บรายละเอียดส่วนมืดส่วนสว่างได้อย่างน่าทึ่ง ความคมชัดเป็นเลิศตามสไตล์เซนเซอร์ที่ไม่มี Low-Pass Filter แถมความสามารถในการ “ขุด” ก็ไม่ได้น้อยหน้าเลย ภาพที่ถ่ายมาอันเดอร์มากๆ ก็ยังพอปลุกผีขึ้นมาใช้งานกันได้เสียอีก เรียกได้ว่าภาพถ่ายแทบทุกประเภทนั้นไม่เกินความสามารถของเซนเซอร์รับภาพและระบบประมวลผลของกล้องรุ่นนี้แน่ๆ
มันสามารถดัน ISO ขึ้นไปได้สูงสุดที่ ISO51200 แน่นอนครับว่าที่ระดับสูงขนาดนั้นคงจะหวังอะไรไม่ได้มากมายนัก แต่ที่ระดับ ISO12800 ละก็ยังหวังผลได้มาก โดยเฉพาะคุณๆ ที่ชอบภาพสไตล์เกรนหยาบของฟิล์ม ซึ่งบุคลิกของ Noise ในกล้องตัวนี้มันก็จะให้อารมณ์ที่คล้ายคลึงกันมาก เจอตัวแบบแซ่บๆ ที่เข้าอารมณ์กันละก็คุณแทบจะไม่อยากลด ISO ลงมาหรอก แปลกดีที่เราอยากจะดัน ISO ขึ้นไปเยอะๆ เพื่อหวังผลในเรื่องนี้ในขณะที่อยู่ในยุคของภาพเนียนด้วย ISO ต่ำๆ
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่บุคลิกของ Noise ใน K-S2 นั้นราวกับถอดแบบมาจากพี่ใหญ่อย่าง 645Z นั่นเลยทีเดียว!
…เอาเป็นว่า “ติดใจ” ก็แล้วกัน
• เลนส์มือหมุน
พอพูดชื่อ Pentax เท่านั้นแหละ หลายคนก็ร้อง “ยี้” เพราะไม่มีเลนส์ให้ใช้ แหม่…มันก็ไม่ใช่ขนาดนั้นหรอกครับ อันที่จริงแล้ว Pentax มีเลนส์ให้ใช้เยอะแยะมากมายแถมยังเป็นเลนส์ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องคุณภาพด้วย แต่ก็เลื่องลือในด้านราคาอยู่ด้วยเหมือนกัน…เข้าตำราของดีแต่แพงนั่นแหละ (แถมบางรุ่นยัง “หล่อ” อีกต่างหาก) เราก็เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยจะมีเลนส์ให้ใช้ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็คือมีนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันเท่านั้น แถมค่ายนี้ยังอินดี้มากๆ โดยการออกเลนส์ในระยะแปลกประหลาดที่เราไม่คุ้นเคย เลยได้แต่มองหน้ากันเองแล้วพูดว่านี่มันเลนส์อะไรวะ? ยกตัวอย่างเช่นเลนส์ 50-135mm , 20-40mm …มันช่างเป็นตัวเลขที่เราไม่คุ้นเคยเอาเสียเลยใช่ไหมล่ะ?
…อันที่จริงแล้วมีเยอะครับ ไม่เชื่อก็ไปดูที่นี่ได้เลย http://www.us.ricoh-imaging.com/camera-lenses
แต่เชื่อเถอะครับว่าเรากำลังจะได้เห็นอะไรที่เป็นความคุ้นเคยเดิมๆ ของเรามากขึ้นจากค่ายนี้
“เลนส์มือหมุน“ คืออีกหนึ่งทางเลือกสำหรับกรณีนี้ครับ ท่านที่อยากเล่น Pentax แต่ยังไม่แน่ใจเรื่องระบบเลนส์ก็ลองมองๆ หาดูได้สำหรับเลนส์เม้าท์ “PK” (Pentax K-Mount) ซึ่งตอนนี้สนนราคายังไม่รุนแรงอะไรมากมายนัก แต่ประสิทธิภาพนี่ต้องขอบอกว่า “เปี่ยม”
อันที่จริงแล้วผมก็ไม่ใช่เซียนทางด้านเลนส์มือหมุนนี่หรอก แต่ก็เพราะซื้อกล้อง Pentax มาใช้แล้วพบว่ามันมี “อะไร” หลายอย่างที่สนับสนุนและเอื้อต่อการใช้เลนส์มือหมุนแนบเนียนมาอยู่ในระบบของกล้อง K-S2 เยอะแยะมากมายจนน่าประหลาดใจ ทำให้ผมต้องมาสนใจเลนส์เหล่านี้จนได้
…เรื่องที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง? (อันนี้จากที่ผมทดลองกับ K-S2 นี้นะครับ แต่ก็เชื่อว่าบอดี้รุ่นอื่นๆ ก็คงจะเฉกเช่นเดียวกันนี่แหละ)
• ถ้าเป็นเลนส์เม้าท์ PK (ซึ่งมีอยู่หลายยี่ห้อ) คุณไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์ใดๆ ใส่ไปแล้วใช้งานได้ทันที แถมเลนส์เม้าท์นี้ยังมีอะแดปเตอร์แปลงไปใช้ได้กับกล้องอีกหลายยี่ห้อได้อีกต่างหาก
• ถึงแม้ว่าเราจะต้องหมุนรูรับแสงเองแต่ระบบการทำงานก็จะคล้ายกับเลนส์ออโต้ในยุคปัจจุบันที่รูรับแสงจะเปิดที่กว้างสุดเสมอ จะบีบลงมาเท่ากับที่กำหนดเอาไว้ในเวลาลั่นชัตเตอร์เท่านั้น ซึ่งอันนี้เป็นข้อดีสำหรับช่วงการเล็งโฟกัสเพราะช่องมองภาพจะสว่างเป็นปกติ ไม่มืดลงเหมือเลนส์ที่บีบรูรับแสงตามค่าที่หมุนในทันที
• ถ้าคุณใช้กับเลนส์ในตระกูล PENTAX-A มันก็จะเหมือนกับเลนส์ออโต้ในยุคนี้เพียงแต่ไม่มีระบบโฟกัสอัตโนมัติเท่านั้น ค่ารูรับแสงที่ใช้จะถูกบันทึกลงมาใน EXIF ด้วย (เลนส์ PENTAX-M จะไม่มีค่า F บันทึกเข้ามา)
• มันคอนเฟิร์มโฟกัสได้ในตัวโดยที่ไม่ต้องมีชิปอะไรเพิ่มเติม ถ้าโฟกัสเข้าแล้วก็จะปี๊บๆ บอกเราเหมือนเลนส์ปกติ
• “ปุ่มเขียว” (Green Button) ซึ่งชาวแป้นทั่วโลกยกย่องให้เป็นปุ่มมหัศจรรย์ของกล้อง Pentax DSLR ซึ่งมันจะทำหน้าที่ได้หลายอย่าง แต่สำหรับกรณีนี้เมื่อคุณกดปุ๊บ มันจะตีกระเดื่องบีบรูรับแสงลงมาตามค่าที่คุณหมุนแล้ววัดแสงพร้อมปรับค่าสปีดชัตเตอร์ (หรือ ISO) ให้เป็นค่าพอดีตามที่ตั้งระบบวัดแสงเอาไว้ให้โดยอัตโนมัติ เป็นอะไรที่สะดวกรวดเร็วกับการถ่ายภาพแนว “สตรีท” มากๆ เพราะจังหวะความรวดเร็วคือเรื่องสำคัญนี่นา
• เพราะเป็นระบบกันสั่นที่เซนเซอร์รับภาพ (SR) ทำให้คุณสามารถใช้เลนส์มือหมุนทุกตัวได้ที่สปีดชัตเตอร์ค่อนข้างต่ำกว่าปกติ ถ่ายภาพแนวไลฟ์แนวสตรีทสบายใจ
• มีระบบปรับแต่งสีสันของภาพในตัวกล้องหลายแบบที่เข้ากับภาพสไตล์นี้ โปรเซสกันในกล้องไปเลย
นั่นแหละครับคือบางตัวอย่างของการใช้กล้อง K-S2 กับเลนส์มือหมุนที่ดูน่าอัศจรรย์จนนึกไม่ถึงว่ามันจะทำได้ด้วย ตอนนี้ผมกำลังเพลิดเพลินกับการ”หมุน”และมันก็พากันงอกออกมาจากหนึ่งเป็นสอง-สาม-สี่ ไปเรื่อยๆ ในราคาสบายกระเป๋า
คิดดูสิครับว่าคุณสามารถมีเลนส์ฟิกซ์ไวแสงระดับ F/1.2 ได้ที่ราคาหมื่นกว่าบาทเท่านั้นเอง (เลนส์ยุคปัจจุบันนี้ว่ากันที่แถวๆ ครึ่งแสน เลนส์ระดับตำนานก็ไปกันเกินแสน…สาหัสมาก) น่าสนไหมล่ะ? ถ้าสนก็รีบเข้าครับเพราะถ้าเกิดอีกหน่อยมันดังขึ้นมาละก็ราคาจะต้องพุ่งเป็นพลุแน่ๆ
• Macro 10:1
ผมเป็นนักถ่ายภาพมาโครตัวยงอย่างที่ใครๆ เค้าขนานนามให้ เอาล่ะ ผมก็ยอมรับในข้อนั้นแถมยังยอมรับอีกด้วยว่าบ้าในเรื่องนี้อยู่พอสมควร อะไรแผลงๆ เหล่านี้ผมมักจะทุ่มทุนสร้างเพื่อลองของกันเสมอ (ถ้ามันพอจะทุ่มได้น่ะนะ)
ผมคิดเรื่องการถ่ายภาพแบบ Super Macro กับกล้องของค่ายนี้อยู่เสมอครับ แต่ก็จนใจเพราะท่อมาโครระบบออโต้ของเม้าท์นี้หายากหาเย็นเต็มทน ที่หาง่ายหน่อยก็ท่อกลวงธรรมดาซึ่งใช้กับเลนส์ยุคนี้ไม่ได้เพราะบีบรูรับแสงไม่ได้ แต่เมื่อมีเลนส์มือหมุนมาครองเรื่องนี้ก็ผุดขึ้นมาทันที แน่ละครับว่าท่อกลวงที่ว่านั้นก็ตกมาอยู่ในมือผมอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เรื่องมันไปไกลมากกว่านั้น เมื่อผมต้องการกำลังขยายแบบสูงมากๆ เลยทำอะไรในแบบที่ชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ทำกัน นั่นก็คือการใช้ทุกสูตรสำหรับแปลงเลนส์ให้เป็นมาโครเข้ามาร่วมกัน ผมจัดหาท่อมาโครแบบกลวงสองชุดมาต่อเข้าด้วยกันตามด้วยเลนส์ซูม 70-300mm จากนั้นก็นำเลนส์ 50mm มาต่อกลับด้านผ่าน “Reversing Ring” ที่ด้านหน้าเลนส์ 70-300mm นี้เข้าไปอีก (ทั้งหมดนี้เป็นเลนส์มือหมุน) รวมความแล้วมันก็จะมีความยาวประมาณเท่ากับหนึ่งท่อนแขนจากข้อศอกมาถึงปลายนิ้วกลางเมื่อเหยียดตรงของคุณเลยทีเดียว
ที่อุปกรณ์ชุดนี้เองมันก็จะให้ภาพมาโครที่มีอัตราขยายแถวๆ 10:1! เรื่องมันไม่ใช่แค่หาอุปกรณ์มาได้หรอกครับ แต่การต่อผ่านอะไรมากๆ แบบนี้มันก็จะทำให้คุณภาพของแสงลดลงไปอย่างมาก ถ้าคุณภาพของกล้องเอาไม่อยู่คุณก็จะได้ภาพอะไรก็ไม่รู้มาให้หงุดหงิดช้ำใจเล่นเท่านั้นเอง
ซึ่งนี่ก็คือภาพมาโครจากกำลังขยาย 10:1 ด้วย K-S2 ครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าเซนเซอร์และระบบประมวลผลของกล้องรุ่นนี้ค่อนข้างจะทรงพลัง ภาพแบบ 10:1 ของผมจากชุดเลนส์เมื่อหลายสิบปีที่แล้วซึ่งเข้ารวมร่างกันก็เลยให้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจมากอย่างไม่น่าเชื่อ!
คุณอาจจะนึกไม่ถึงว่าภาพนี้คือ “ไข่มดดำ” ตัวเล็กๆ ที่วิ่งกันอยู่ในบ้านเรานี่แหละ ที่เราเห็นมันขนกันเป็นเม็ดสีขาวๆ ขนาดเท่าปลายเข็มนั่นแหละครับ…มันก็คือเจ้าสิ่งนี้นี่เอง
ดูกันอีกสักตัวอย่างสิครับ ลองเดาดูว่ามันคืออะไร? ผมรับรองว่าคุณรู้จักมันทุกคน เพียงแต่ไม่เคยเห็นในระยะใกล้ขนาดนี้เท่านั้นเอง
นั่นละฮะท่านผู้ชม…มันคือส่วนก้นของ “ยุง” นี่แหละครับ ไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่ายุงก็มีเกล็ดด้วย!
ที่ยกมาให้ดูนี้ก็เพราะว่ากล้องอะไรก็ถ่ายได้ครับ แต่กล้องที่ถ่ายแล้วให้ผลงานออกมาเข้าท่าเข้าทางมันไม่ใช่ทุกตัวนี่สิ ซึ่งเจ้า K-S2 ก็พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่ามันสามารถทำได้ และก็ทำได้ดีเสียด้วย!
• ข้อดี
- คุณภาพของไฟล์ภาพดีมากถึงมากที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงแค่กล้องรุ่นเล็ก
- ขนาดเล็กกระทัดรัดเมื่อนึกถึงว่ามันเป็น DSLR
- ระบบ Wi-Fi ซึ่งง่ายที่สุดในสามโลก กดปุ๊บติดปั๊บ
- ตัวกล้องแบบ All Weather Seal ไม่กลัวน้ำไม่กลัวฝุ่น ลุยถ่ายกลางฝนก็ยังได้
- ช่องมองภาพแบบปริซึมห้าเหลี่ยมสว่างใส เห็นพื้นที่ภาพ 100%
- สปีดชัตเตอร์สูงสุด 1/6000 วินาที
- บุคลิกของ Noise ที่ ISO ระดับสูงดูน่าสนใจมาก
- ราคาไม่แพงจริงๆ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ให้มา
• ข้อเสีย
- แบตเตอรี่เล็กไปหน่อย มีพลังงานไม่เยอะมากนัก
- ไม่มีเซนเซอร์ปิดจอ LCD เมื่อแนบตาเข้ากับช่องมองภาพ แสงจากจอจะรบกวนสายตาอยู่นิดหน่อย
- น้ำหนักตัวเยอะไปนิด
ดูแล้วเหมือนลำเอียงครับที่ข้อเสียมีแค่สามข้อ แต่ผมลองพิจารณาดูแล้วมันก็มีข้อเสียน้อยมากจริงๆ ซึ่งก็ใช้เวลาไล่หาอยู่พอสมควรสำหรับจุดอ่อนหลักๆ ที่ควรสังเกต ซึ่งสำหรับผมแล้วก็มีอยู่แค่สามเรื่องนี้เท่านั้น
• สรุป
มันอาจจะไม่ใช่กล้องที่ดีเลิศครบถ้วนทุกด้านหรอกครับ แต่ด้วยคุณสมบัติประดามีบวกกับค่าตัวที่ไม่แรงมากนัก เช่นนี้จึงเป็นกล้องเล็กที่คบหาได้อย่างสบายใจแต่ก็ดูถูกมันไม่ได้เป็นอันขาด เพราะในสถานการณ์ที่คุณหวั่นใจว่ากล้องจะพังเจ้านี่ก็สามารถลุยได้หน้าตาเฉย แถมยังได้ไฟล์ภาพในระดับดีเด่นน่ายกย่องอีกต่างหาก นั่นหมายความว่าโอกาสในการได้ภาพถ่ายแปลกๆ ของคุณชนิดไม่ซ้ำแบบใครก็จะมีมากขึ้นด้วยเพราะชาวบ้านเขาเก็บกล้องลงที่ปลอดภัยกันหมดแล้ว
ชื่อชั้นของ PENTAX อาจจะยังเป็นม้านอกสายตาของคุณ แต่จับตาดูให้ดีครับ เพราะม้านอกสายตาตัวนี้กำลังควบเร็วจี๋ฝุ่นตลบมาแต่ไกลเลยเชียวล่ะ และสถานการณ์อุปกรณ์เสริมต่างๆ ทั้งหลายแหล่ก็น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน
ลองนำการ์ดของคุณไปทดสอบถ่ายภาพที่ร้านดูก่อนก็ได้ครับ จะได้เห็นว่าคุณภาพไฟล์ของมันอย่างที่ผมบอกนี่โม้เกินจริงหรือเปล่า? ถ้าคุณเป็นประเภทขาลุยแหลกและรีวิวทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ละก็ทั้งภาพนิ่งและภาพวีดีโอของตัวนี้ไม่มีผิดหวังแน่นอน ถ่ายปุ๊บแชร์ปั๊บได้ทันทีเลยด้วย
กำเงินไปสักสามหมื่นบาทก็ยังได้ทอนอีกต่างหาก นี่พร้อมเลนส์ 18-50mm กันน้ำอย่างที่คุณเห็นในคลิปแล้วด้วยนะ! สนใจก็ไปหาดูราคากันที่ eepstore.com ได้เลย
…สำหรับคุณแล้วมันจะดีแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่สำหรับผมแล้วก็แค่ซื้อมาใช้ส่วนตัวเลยล่ะครับ!
ปิยะฉัตร แกหลง (Nextopia)
สิงหาคม 2558