แสงไฟหน้ารถพยายามที่จะทะลวงฝ่าความมืดไปบนถนนราดยางกลางเก่ากลางใหม่อันเงียบสงัด ผมออกจากเมืองฟ้าอมรในราวตีสาม วิ่งฝ่าความมืดตามถนนสายบางประหันมาถึงเมืองกรุงเก่าในอีกราวชั่วโมงถัดมา…
แสงไฟหน้ารถพยายามที่จะทะลวงฝ่าความมืดไปบนถนนราดยางกลางเก่ากลางใหม่อันเงียบสงัด ผมออกจากเมืองฟ้าอมรในราวตีสาม วิ่งฝ่าความมืดตามถนนสายบางประหันมาถึงเมืองกรุงเก่าในอีกราวชั่วโมงถัดมา
จุดหมายของผมยืนทะมึนน่าเกรงขามเป็นเงาตะคุ่มอยู่ในม่านทึบแห่งรัตติกาล ในยามที่ไร้ซึ่งแสงสว่างเช่นนี้แล้วองค์เจดีย์โบราณขนาดใหญ่คร่ำคร่ายิ่งดูน่าหวาดหวั่นเข้าไปอีก เมื่อเปิดกระจกมองฝ่าความมืดออกไปในขณะที่อยู่บนถนนสายเคียงข้างขนก็ลุกเกรียว…ผมชักจะลังเล
…จะเข้าไปจริงหรือ?
หลายปัจจัยเหลือเกินที่ผมต้องคิด แน่ล่ะ…ความน่าสงสัยอันดูจะเหมือนเป็นพิรุธต้องกลายเป็นของผมแน่นอนในยามวิกาลเช่นนี้ ชาวบ้านในระแวกนั้นจะเข้าใจหรือว่าเรามาเพื่อจะถ่ายภาพ? ไหนจะเรื่องของความปลอดภัยในสถานที่ซึ่งเราไม่มักคุ้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรอยู่ตรงนั้นบ้างตราบเท่าที่แสงแห่งอรุณรุ่งยังสาดส่องมาไม่ถึง?
ส่วนเรื่องนอกเหตุเหนือผลนั้นยังไม่ค่อยเท่าไหร่ ข้อนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าใดนักเพราะผ่านการบ่มเพาะอบรมบางอย่างมาพอสมควร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยมีการท้าทายอย่างถือดี ที่น่าหนักใจนั้นมักจะมาจากมนุษย์สองขาผู้เต็มไปด้วยกิเลสด้วยกันเองเสียมากกว่า
ผมค่อนข้างแน่ใจครับว่าเมือง “อโยเดีย” นั้นไม่มืดมากพอที่ปล่อยให้ทางช้างเผือกปรากฏโฉมออกมาได้ถนัดนัก อีกทั้งก็เป็นคืนที่แสงจันทร์สาดส่องอีกด้วย เพียงแต่ช่วงเวลาของผมนั้นมีอยู่จำกัด ภาพในสมองพยายามค้นหาสถานที่ซึ่งสามารถเติมแต่งจินตนาการของผมให้ลุล่วงได้ในระแวกที่ไม่ไกลจนเกินไปนัก ที่ไหนกันเล่าจะดูน่าสนใจมากพอ?
ถอยหลังไปในความทรงจำอันมากมาย ภาพเจดีย์เอียงที่ชื่อ “ภูเขาทอง” ก็ผุดขึ้นมาในความคิด ด้วยความตระหง่านเงื้อมใหญ่โตคือหนึ่งในเงื่อนไขที่นึกถึง และสถานที่รายรอบด้านอันจะไม่เกิดอุปสรรคขัดขวางต่อการย่องเงียบเข้าไปถ่ายภาพยามวิกาลคืออีกเงื่อนไขหนึ่งที่ต้องพิจารณา อันที่จริงแล้วก็มีอีกหลายสถานที่ซึ่งน่าจะเป็นได้ แต่ก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยบ้านคน และเมื่อเป็นชุมชนก็ย่อมจะต้องมีเสียงหมาเห่าหอนให้ทำงานไม่ถนัด จะเป็นการรบกวนคนแถวนั้นไปเปล่าๆ แถมบางทียังอาจจะเกิดปัญหาขึ้นอีกต่างหาก
ในที่สุดผมก็เลือกเดินทางมาที่นี่ มาเพื่อจะเก็บภาพองค์เจดีย์ภูเขาทองในยามราตรีเพื่อนำกลับมาทำภาพตามจินตนาการ ซึ่งจากการตรวจสอบองศาโคจรแล้ว หากฟ้ามืดสนิทและไม่มีแสงไฟหรือมลภาวะของตัวเมืองมารบกวน เช้ามืดวันนั้นทางช้างเผือกก็จะปรากฏตัวอยู่ในตำแหน่งประมาณที่เห็นอยู่ในภาพจริงๆ
ในที่สุดหลังจากที่รับมือกับปัญหาสี่ขานักเห่าทั้งหลายได้แล้วผมก็มาปรากฏกายอยู่ท่ามกลางความมืดข้างองค์เจดีย์เพียงลำพัง บรรยากาศนั้นชวนให้ขนลุกขนพองทั้งรูปทรงในความมืดและสรรพเสียงบางชนิดที่ปลิวมากระทบโสตเป็นระยะ ผมกลั้นใจส่งข้อความบางอย่างฝ่าความมืดออกไปตามสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปได้อย่างเรียบร้อยอย่างที่ตั้งใจ ซึ่งก็เป็นความเรียบร้อยในแบบที่ผมรู้เห็น แต่สำหรับคนขวัญอ่อนอาจจะรู้สึกต่างออกไปก็ได้เมื่อได้ยินบางเสียงแทรกปะปนมาในเสียงใบโพธิ์แถวนั้นไหวต้องลม
เช้ามืดวันนั้นถ้าใครบังเอิญผ่านมาคงจะอกสั่นขวัญแขวน เพราะจะได้เห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าท่ามกลางความมืดขึ้นไปบนเจดีย์ ดูอย่างไรก็ชวนให้คิดไปได้สารพัด เพราะปกติแล้วผมจะไม่ค่อยใช้ไฟฉายและส่งเสียงใดๆ ในความมืดโดยไม่จำเป็น ไม่ใช่ว่าอวดเก่งแต่เป็นเพราะพยายามเลี่ยงทุกปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการรู้เห็น ทั้งจากผู้คนและสรรพสัตว์ผู้มีนิสัยหวาดหวั่นระวังภัยอยู่ตลอดเวลา
…หากท่านใดผ่านมารู้เห็นอย่างที่บอก ก็ขอให้ทราบเถอะครับว่านั่นคือมนุษย์หลังกล้องเดินดิน ไม่ใช่สิ่งลึกลับที่ใช้สรรพนามว่า “ผี” แน่นอน
ปล. มันคือภาพตัดต่อเติมทางช้างเผือกเข้าไปนะครับ
ภาพต้นฉบับโดย Canon EOS 6D • Tamron SP15-30mm F/2.8 Di VC USD A012
ปิยะฉัตร แกหลง – 11/3/58