บางทีเราก็มัวแต่สนใจกล้องและเลนส์จนหลงลืมที่จะเรียนรู้สิ่งสำคัญที่ต่อเนื่องกันอยู่ แถมมันยังเป็นปราการด่านสุดท้ายที่จะชี้ว่าภาพถ่ายของเราจะรุ่งหรือร่วงเสียด้วย!
แทบจะหนีการใช้งานคอมพิวเตอร์ไปไม่พ้นเลยครับสำหรับคนเล่นกล้อง อย่างน้อยก็ยังเปิดดูไฟล์ภาพ ปรับนู่นนิดปรับนี่หน่อย เพิ่มสีสัน ปรับลด/เพิ่มแสง ฯลฯ ไปจนถึงระดับมือเซียนที่รีทัชภาพกันหนักๆ ปรับแต่งกันโหดๆ ชนิดที่เห็นภาพแล้วต้องตะลึง
การที่เราจะตัดสินใจว่าควรปรับแต่งอะไรแค่ไหนนั้นเราก็อาศัยการมองเห็นเป็นหลัก แน่นอนครับว่าเรามองที่ “จอภาพ” ที่แสดงผลให้เราดู ถ้าเห็นว่าภาพสว่างไปเราก็ลดความสว่างลงมาหน่อย มืดไปก็เพิ่มขึ้นไปอีกนิด หรือจะให้สีสดขึ้นอีกก็ดันกันขึ้นไป
เราดูจากภาพที่เห็นทั้งนั้น…ซึ่งนั่นแปลว่าจอภาพมีผลต่อภาพถ่ายในขั้นตอนสุดท้ายของเราไม่น้อยเลย จริงไหมล่ะครับ?
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า จอภาพกำลังแสดงผลจากข้อมูลแท้ๆ ของไฟล์ภาพที่ถูกต้องอยู่? ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามันเป็นจอภาพสำหรับงานออฟฟิศทั่วไป เน้นความสว่างหรือสบายตาเป็นหลัก หรือเป็นจอที่เน้นทางด้านความบันเทิงก็จะให้สีสันสดๆ อิ่มเอมสายตาหน่อย เปิดภาพถ่ายขึ้นมาก็แสดงผลตามบุคลิกของจอรุ่นนั้นๆ ไป
เราก็ปรับไปตามที่เห็น แต่จอภาพของที่ปลายทางล่ะ? ในเมื่อเค้าไม่ได้ใช้จอแบบเดียวกับเราเสมอไป เราจะรู้ได้ยังไงว่าที่ปรับๆ ไปนั้นมันเหมาะมันควรแค่ไหน และแบบไหนกันแน่ที่เรียกได้ว่าพอดี?
สมมุติว่าจอภาพของคุณเน้นแสดงสีสันให้สดใส เมื่อเปิดไฟล์ภาพขึ้นมามันก็แสดงสีสดแอ๋นมาให้ดูเลย คุณก็เข้าใจว่าสีสดดีแล้ว ไม่ต้องเพิ่มอะไรแล้ว แต่เอาเข้าจริงในไฟล์ของคุณยังเป็นสีจืดๆ อยู่ดี เวลาถูกนำไปเปิดที่อื่นมันก็เลยยังจืดๆ ไม่เจ๋งเหมือนดูที่บ้าน
บางจอก็แสดงสีสันผิดเพี้ยนออกมาให้เห็น คุณไม่ทันรู้ก็เลยปรับแต่งสีสันเข้าไปอีกเยอะแยะมหาศาล เวลาดูจากจอที่บ้านของเราแล้วก็ดูดี แต่ทำไมดูที่บ้านเพื่อนหรือตอนที่ปริ้นท์ออกมามันถึงได้สีประหลาดไปขนาดนั้นได้?
ก็เพราะ “คุณภาพ” การแสดงผลของจอภาพที่คุณใช้อยู่นั่นล่ะครับ ซึ่งในฐานะของคนถ่ายภาพอย่างเราๆ ผู้ควรแม่นยำอยู่สักหน่อยก็ไม่ควรดูแค่เฉพาะเรื่องของความละเอียดหรือความคมชัดเท่านั้น แต่ควรต้องดูไปถึงเรื่องของสีสันด้วยว่ามันแสดงผลเป็นยังไง? ถูกต้องเที่ยงตรงแค่ไหน?
แต่เชื่อเถอะครับ หากคุณใช้จอภาพทั่วๆ ไปในการทำงานเกี่ยวกับภาพถ่ายอยู่ละก็ รับรองว่ายังไงก็ต้องผิดเพี้ยนแน่นอน เพราะเค้าไม่ได้ถูกออกแบบมาอย่างนั้น
โลกนี้จึงต้องมีจอภาพสำหรับการแสดงผลภาพถ่ายที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณตัดสินใจในการปรับแต่งภาพที่ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับที่ตามองเห็นมากที่สุด
ซึ่ง “BenQ” ก็โดดลงมาออกแบบและผลิตจอภาพคุณภาพสูงเพื่องานลักษณะนี้โดยเฉพาะ ชนิดที่ว่าแสดงออกโดยตรงถึงการเป็นจอภาพสำหรับช่างภาพมืออาชีพกันเลยทีเดียว
• Color Management Monitor
จอไหนๆ ก็ย่อมจะต้องปรับความสว่างหรือคอนทราสต์ได้อยู่แล้วนี่? ก็ถูกครับ …แต่จอเหล่านั้นไม่สามารถแสดงผลของสีสันในระดับที่ถูกต้องได้ ซึ่งจอในระดับที่จริงจังทางด้านนี้เค้าก็จะมีคุณสมบัติในการควบคุมการแสดงผลของสีสันได้ลงลึกและละเอียดยิบ ซึ่งแน่นอนว่าคุณจะไม่สามารถควบคุมการแสดงผลได้มากขนาดนี้ในจอภาพ LCD ทั่วไปแน่นอน ไม่ว่ามันจะเป็นจอที่มีขนาดใหญ่หรือละเอียดแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเป็นจอภาพในรุ่นที่ระบุเอาไว้ว่า “Color Management Monitor” ละก็ แปลว่ามันเป็นจอภาพที่ปรับตั้งการแสดงผลสีสันให้ถูกต้องกับลักษณะของข้อมูลที่ได้จากไฟล์ภาพเพื่อกระบวนการ “CMS” หรือ Color Management System สำหรับการควบคุมสีสันที่แม่นยำตลอดกระบวนการทำงานแน่นอน
• SW271
ก่อนหน้านี้ผมมีใช้งานจอภาพรุ่น SW2700 PT ของทาง BenQ เค้าอยู่แล้วครับ มันเป็นจอภาพที่ออกแบบมาเพื่อนักถ่ายภาพโดยเฉพาะ การแสดงผลสีสันนั้นเยี่ยมยอดและเที่ยงตรงแม่นยำมาก ส่วนไหนที่ดีมันก็จะชูให้เห็น ส่วนไหนที่แย่ก็จะฟ้องออกมาให้เรารู้เพื่อจะได้แก้ไขให้มันถูกต้องซะ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่นักถ่ายภาพต้องใส่ใจให้ดี เพราะคุณจะได้รู้ว่าที่คุณกำลังปรับแต่งโปรเซสภาพจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีกอยู่น่ะผลลัพธ์ของมันจะเป็นแบบที่เห็นอยู่นั่นหรือเปล่า? ส่วนความคมชัดนั้นไม่ต้องพูดถึง มันไม่ใช่จอที่คมเปรี๊ยะเสียจนทำให้เราประมาท เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็อาจจะละเลยเรื่องการเพิ่มความคมชัดเข้าไปในไฟล์ภาพจริงๆ ซึ่งพอไปแสดงผลที่อุปกรณ์อื่นก็กลายเป็นภาพไม่คมไปเสียอย่างนั้น
SW2700 PT จึงเป็นจอภาพแจ๋วๆ สำหรับนักถ่ายภาพที่ผมแนะนำเป็นอย่างยิ่ง
ผ่านมาอีกสักสองปี เค้าก็ออกรุ่นใหม่มาอีก เป็นรุ่นเพื่อนักถ่ายภาพและผู้ที่ต้องการความแม่นยำของสีสันสูงเป็นพิเศษ เน้นไปที่การใช้งานในระดับผลิตงานธุรกิจกันเลยทีเดียว นั่นก็คือรุ่น “SW271” ขนาด 27 นิ้วในแนวทะแยงเท่ากัน แต่ที่เด็ดยิ่งกว่าเดิมก็คือ นอกจากจะเป็นจอภาพแม่นยำแล้วก็ยังแสดงผลภาพได้ที่ความละเอียดถึงระดับ 4K เลยทีเดียว …ก็เต็มตาเต็มอารมณ์กันไปสิทีนี้
• Adobe RGB
ถ้าคุณยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ละก็ผมขอแนะนำให้ลองศึกษาเรื่องนี้ดูครับ ในกล้องของเราก็มีให้เลือกระหว่าง sRGB และ Adobe RGB ซึ่งเรามักจะไม่เข้าใจว่ามันเอาไว้ทำอะไรและควรเลือกใช้แบบไหนกันแน่?
คร่าวๆ ก็คือ sRGB นั้นสำหรับการแสดงผลทั่วไป อุปกรณ์อันไหนก็ใช้ sRGB ในการแสดงผลได้ แต่ถ้าเป็น Adobe RGB ละก็มันจะไม่สามารถแสดงผลได้กับทุกอุปกรณ์ ส่วนมากแล้วอุปกรณ์ระดับโปรมักจะใช้ระบบ Adobe RGB ได้ (แน่นอนว่ามันย่อมต้องแพงกว่าด้วย) โดยเฉพาะเครื่องปริ้นท์เตอร์ระดับมืออาชีพก็จะสามารถปริ้นท์สีแบบ Adobe RGB ออกมาได้ ในขณะที่ปริ้นท์เตอร์อื่นทำไม่ได้
…แล้วจะต้องใช้ไปให้เปลืองสตางค์ทำไม?
ก็เพราะ Adobe RGB นั้นมีจำนวนของระดับข้อมูลสีให้ใช้งานได้เยอะกว่าครับ การไล่สีหรือรายละเอียดของภาพจะดูแน่นกว่า และให้ความยืดหยุ่นได้มากกว่าสำหรับการโปรเซสภาพด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ ในเรื่องของสีสันแล้วมันเหนือกว่า sRGB แทบจะทุกด้าน ลองนึกดูง่ายๆ ว่าระหว่างกล่องสีไม้ที่มีสี 10 สีกับ 20 สีเทียบกัน แบบ 20 สีก็จะเปิดโอกาสให้เราใช้ลูกเล่นทางสีสันได้เยอะกว่านั่นเอง
เอาล่ะ ในเมื่อ Adobe RGB มันดีกว่า งั้นก็ใช้เสียเลยละกันมั๊ยล่ะ?
ต่อให้เครื่องคอมจะสเปคเทพ แรมทะลุทะลวง การ์ดจอระดับสุดยอด โปรแกรมถูกลิขสิทธิ์แน่ๆ แต่คุณนำไฟล์ภาพมาเปิดเพื่อโปรเซสภาพด้วยจอภาพที่ไม่ใช่ Adobe RGB ก็แทบจะเปล่าประโยชน์ครับ เพราะมันแสดงลักษณะสีไม่ได้ขนาดนั้น เวลาที่คุณปรับแต่งภาพไปมันก็จะแสดงผลเพี้ยนไปเรื่อยๆ จนหลงทางไปเลย
ดังนั้นคุณจึงต้องการจอภาพที่สามารถแสดงผลของสีได้ถึงระดับ Adobe RGB ด้วยจึงจะเห็นจริงว่ามันต่างกันอย่างไร
ซึ่งจอภาพรุ่น SW271 นี่ก็สามารถแสดงผลสีแบบ Adobe RGB ได้มากกว่า 99% ครับ ก็เพราะอย่างนี้แหละ มันถึงแสดงผลได้แม่นยำใกล้เคียงกับไฟล์ภาพของคุณจริงๆ ไงล่ะ
• แกะกล่อง
ทันทีที่ได้เห็นกล่องทรงหนาต่างออกไป ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นจอภาพระดับมือโปรแน่นอน
แกะกล่องออกมาก็ดูโปรมากครับ มีการแยกชิ้นส่วนต่างๆ ออกเป็นช่องๆ เห็นชัดเจนอย่างดี ภายในกล่องก็ประกอบไปด้วยตัวจอ, ขาตั้ง, ชุดอุปกรณ์สายพ่วงสัญญาณ และที่เป็นของเจ๋งเช่นเดิมก็คือ “ฮูด” หรือกรอบบังแสงเพื่อป้องกันแสงสะท้อนมารบกวนหน้าจอ ซึ่งด้านในบุกำมะหยี่สีดำเพื่อป้องกันแสงสะท้อนนั่นเอง
ทั้งหมดนี้บรรจุอยู่ในกล่องเรียบง่ายแต่มีความเป็นระเบียบและเอาจริงมาก
ผมอุตส่าห์เตรียมกล่องเครื่องมือมาวางเอาไว้เพื่อใช้ในการประกอบส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ปรากฏว่าไม่ได้ใช้เครื่องมืออะไรซักกะอย่างเดียว เค้าออกแบบมาได้ดีมากครับ คุณใส่ขาตั้งเข้าไปยึดตัวจอได้ด้วยการกดปุ่มล๊อคเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็ยึดขาเข้ากับส่วนฐาน ซึ่งน็อตของเค้าก็มีที่ให้เราหมุนสะดวกได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมืออีกนั่นแหละ
ส่วนฮูดบังแสงก็ใช้วิธีประกบแล้วเลื่อนให้มันล็อคเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งหมดนี้ทำได้ด้วยตัวคนเดียวโดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรสักชิ้น ว้า! อุตส่าห์ไปหามารอแล้วแท้ๆ จะสะดวกไปไหน
แต่ละส่วนนั้นใช้คำว่าดูดีได้เลยครับ เป็นเฟอร์นิเจอร์อีกชิ้นนึงในบ้านได้เลยด้วยซ้ำ การเก็บรายละเอียดรวมไปถึงวัสดุดูไม่ก๊องแก๊ง ปุ่มต่างๆ กดแล้วให้สัมผัสดีมาก จอรุ่นนี้ไม่จำเป็นต้องตั้งชิดผนังอีกต่อไปเพราะด้านหลังก็ยังดูดี ตรงบริเวณขาตั้งก็มีรูขนาดใหญ่เพื่อรวมสายทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
การปรับระดับความสูงต่ำของจอนี่เป็นอะไรที่ผมทึ่งมาก มันไม่จำเป็นต้องมีล็อคอะไรทั้งสิ้น คุณแค่ออกแรงดันมันขึ้นสูงหรือกดลงต่ำเท่านั้น มันก็จะอยู่ของมันเองได้เลย เจ๋งดี
เมื่อประกอบเสร็จออกมาแล้วก็หน้าตาเป็นแบบนี้ครับ
แต่ที่เหนือชั้นไปอีกขั้นนึงก็คือ จอ SW271 นี่มันสามารถหมุนไปใช้งานในแนวตั้งได้ด้วย แถมด้วยฮูดที่มาพร้อมกันนั้นก็ยังมีชุดแยกให้เปลี่ยน แล้วมันก็กลายไปเป็นฮูดทรงแนวตั้งที่หากคุณจะหมุนจอตัวนี้ไปใช้ในแนวตั้งก็ยังมีฮูดให้ใช้งานได้อยู่ดี
สังเกตเห็นได้ครับว่าแต่ละส่วนนี่แทบไม่มีส่วนที่แวววาวอันดูหรูหราเลย มันเป็นสีด้านเกือบหมด ซึ่งเดาเจตนาของผู้ออกแบบได้ว่าไม่อยากให้มีอะไรมาวิ้งวั้งรบกวนสายตา จะได้จดจ่ออยู่กับภาพในจออย่างเดียวเลย
และจอภาพรุ่นนี้ถูกดีไซน์ให้เป็นแบบที่เรียกว่าแทบจะไม่มีกรอบของจอแต่อย่างใด!
หูยย ดีเริ่ดประเสิร์ฐศรีมาก
• กายภาพ
จอรุ่นนี้หน้าตาดีมากครับ สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ ปุ่มปรับต่างๆ ที่เดิมจะอยู่ขอบจอด้านล่าง แต่รุ่นนี้อยู่ที่ขอบจอและเปลี่ยนตำแหน่งมาไว้สำหรับกดจากด้านหน้า ไม่ได้กดจากข้างใต้เหมือน SW2700PT นั่นก็เพราะว่า เมื่อคุณหมุนจอไปเป็นแนวตั้งแล้วก็ยังสามารถติดฮูดและยังกดปรับเปลี่ยนนู่นนี่นั่นเพื่อควบคุมจอภาพได้อีกด้วย ไม่งั้นแล้วก็ไม่รู้จะกดยังไง เพราะฮุดจะไปปิดทับมันนั่นเอง
ปุ่มปรับก็ไม่มีอะไรครับ ใช้งานง่ายเหมือนกับทีวีทั่วไปในการเข้าเมนูปรับนู่นนี่นั่น แต่เจ้านี่มีปุ่มอีกชุดนึงซึ่งแยกเป็นเอกเทศจากจอ อุปกรณ์ตัวนี้ (มามาให้ในชุด) มีหน้าตาเหมือนโยโย่ กลมๆ แบนๆ วางลงไปที่หลุมของขายึดตรงฐานจอได้พอดีเป๊ะ! อ้าว ก็เค้าออกแบบมาเพื่อกันขนาดนี้มันจะไม่พอดีได้ไงล่ะ
ชุดนี้เป็นปุ่มที่เอาไว้กดปรับเปลี่ยนการแสดงผลสีอย่างรวดเร็วทันทีทันควัน เช่น ปุ่ม 1 ก็จะแสดงสีในระบบ Adobe RGB ปุ่มสองสำหรับ sRGB และปุ่มสามสำหรับเปลี่ยนเป็นไม่แสดงสี (BW) อันนี้แหละครับที่เจ๋ง เพราะจะสามารถดูอย่างคร่าวๆ ได้ว่าควรปรับเป็นภาพขาวดำดีกว่าไหม ซึ่งช่วยให้ประหยัดเวลาไปได้เยอะกว่าการที่จะเปิดภาพเข้ามาในโปรแกรมแล้วค่อยปรับแต่งถอดสีออกเพื่อพิจารณา ซึ่งรับรองว่าคุณต้องใช้เวลามากกว่าแน่ๆ ไม่เหมือนเจ้านี่ที่กดปุ่มครั้งเดียวก็ได้เห็นละว่าถ้าภาพนี้หากเราจะปรับแต่งให้เป็นภาพขาวดำแล้วจะดูดีหรือเปล่า อารมณ์ของภาพได้มั๊ย? ก็ดูจากตรงนี้ได้เลยครับ แค่กดปุ่มเดียวครั้งเดียวเท่านั้น
ด้านข้างของจอมีช่องเสียบ USB 3.0 อยู่สองช่องครับ นอกจากจะเป็นจอภาพแล้วยังทำตัวอำนวยความสะด้วยการเป็น USB Hub ได้อีกต่างหาก และด้านข้างกันนั้นก็เป็นสลอตเสียบการ์ดหน่วยความจำแบบ SD Card เข้าไปได้ด้วย เห็นมั๊ยล่ะว่าทำมาเอาใจช่างภาพขนาดไหน? เราก็เสียบการ์ดแล้วเรียกเข้าคอมฯ ได้เลย นี่ถ้ามีช่องเสียบการ์ด CF ได้ด้วยละก็จะเป็นอะไรที่แจ่มมากจริงๆ
ส่วนด้านล่างของหลังจอเป็นที่อยู่ของพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ซึ่งคุณสามารถต่อคอมเข้ากับจอได้ด้วยพอร์ตชนิด HDMI, Display Port, และ USB-C ซึ่งเค้ามีสายสัญญาณมาให้พร้อมสรรพเลยครับ
• ใช้งาน
จอเดิมของผมในรุ่น SW2700PT นั้นต่อผ่าน Display port ไปยังพอร์ต Thunderbolt 2 ของเครื่อง แต่คราวนี้ SW271 มีพอร์ต USB-C มาให้ด้วย ผมก็เลยนำมาต่อเข้ากับเครื่อง MacBook ที่มีพอร์ต USB-C ซะเลย เพราะเมื่อคุณใช้สาย USB-C (มีมาให้ในชุด) ก็แปลว่าคุณใช้สายสัญญาณเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ไม่ต้องเสียบสาย USB อีกเส้นแล้ว การ์ด SD หรืออะไรก็ตามที่คุณต่อพอร์ต USB 3 ของจอมันก็จะเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ไปด้วยเลย สะดวกดีไม่น้อย สายเส้นเดียวจบ!
คราวนี้ผมเลยนำเอาจอเดิมมาเสียบเพิ่มเข้าไปอีกโดยต่อมันเข้ากับ MacBook Pro 2018 ที่มีพอร์ต USB-C เยอะหน่อย ซึ่ง SW2700PT ไม่มีพอร์ตนี้ ผมจึงไปหาซื้อสาย Display Port to USB-C มาอีกเส้นนึง กลายเป็นความบันเทิง (สำหรับการทำงาน) ที่อลังการด้วยสามจอเลยทีนี้
ฟิลลิ่งนอกนั้นก็แทบไม่มีอะไรต่างออกไปจากจอเดิมที่ผมใช้อยู่ครับ ทั้งคม ละเอียด สีเที่ยงตรงแม่นยำ มองสบายตา แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือ 4K! แสดงผลภาพโดยเราได้เห็นพื้นที่ของภาพเยอะกว่าเดิมนั่นเอง
ลองปรับความละเอียดของจอ SW271 นี้ไปเป็นแบบ 4K เต็มอัตราศึก ปรากฏว่าเห็นภาพได้ในพื้นที่เยอะกว่าเดิม (แน่ละ) ปรับแต่งภาพได้สนุกสนานมากครับ แต่ข้อเสียก็คือ ขนาดของตัวอักษรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเมนูหรือคำสั่งอะไรก็ตามย่อมจะเล็กลงตามสัดส่วนไปด้วย ดังนั้นมันจึงเหมาะสำหรับการทำงานกับรูปภาพโดยตรง (โดยเฉพาะไฟล์ภาพขนาดใหญ่) คุณอาจจะต่อใช้งานสองจอโดยที่จอนึงแสดงผลระดับ 2K และอีกจอก็แสดงผลแบบ 4K หรือถ้าคุณมีแค่จอเดียวก็ไม่เห็นจะยาก เพราะคุณก็เพียงแค่สวิทช์สลับไปมาระหว่างสองความละเอียดให้เหมาะกับงานในขณะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
อย่าเพิ่งงงครับว่า 4K เห็นภาพเล็กกว่า 2K แล้วมันจะดีกว่ายังไง? ก็เพราะเค้าแสดงความละเอียดที่ขนาด 100% เหมือนกัน แต่เห็นพื้นที่ของภาพได้มากกว่า นั่นก็แปลว่าคุณปรับแต่งภาพโดยเห็นภาพรวมของไฟล์ภาพถ่ายนั้นได้ดีกว่า แถมยังดูความคมชัดไปพร้อมกันได้ด้วย เพราะถ้าเป็นแบบ 2K คุณก็จะต้องคอยซูมเอ้าท์ออกไปดูภาพรวมบ่อยกว่านั่นเอง แถมยังช่วยลดความผิดพลาดสำหรับส่วนที่มองไม่เห็นซึ่งพ้นขอบจอออกไป เช่น ปรับที่คนจนขาวสว่างลงตัวแล้ว แต่ฉากหลังบางส่วนก็โอเวอร์จนรายละเอียดหายไปเพราะเรามองไม่เห็นพื้นที่ส่วนนั้นในตอนปรับนั่นเอง
ผมมีแผนความบันเทิงระหว่างการทำงานอีกอย่างนึงด้วย ก็ในเมื่อจอเค้ามีพอร์ต HDMI มาให้ตั้งสองพอร์ตนู่นแน่ะ เราก็สามารถนำเอาสารพัดอุปกรณ์บันเทิงมาเสียบเข้าพอร์ตนี้ซะเลยเป็นไงล่ะ อย่างเช่นต่อเครื่องเล่น Blu-ray เข้าไป แค่นี้คุณก็เปิดหนังในระดับ 4K ดูได้ละ แหม สาระที่สลับเป็นบันเทิงได้ อะไรจะเจ๋งขนาดนี้
เดิมทีเมื่อมาจากโรงงาน จอ BenQ ทุกตัวก็จะมีการคาลิเบรทจอภาพเพื่อแสดงสีให้เที่ยงตรงมาระดับนึงแล้ว ที่นี้เราอาจจะอยากให้แม่นสำหรับเครื่องคอมของเราโดยเฉพาะเข้าไปอีก ก็คาลิเบรทเพิ่มได้ครับ โดยหาตัวอุปกรณ์คาลิเบรทมาสักชุดนึง (ที่มันเกาะอยู่กับหน้าจอนั่นแหละ เห็นมีคนให้เช่าอยู่หลายเจ้า) แล้วก็คาลิเบรทไปให้เป็นแบบของเรา
ที่เจ๋งอีกอย่างของจอ BenQ รุ่นที่มีฮูดมาให้ด้วยก็คือ ที่ด้านบนตรงกลางของฮูดจะมีช่องที่สามารถเปิด-ปิดได้ ก็เพื่อเอาไว้หย่อนไอ้เจ้าตัวคาลิเบรทเตอร์นี้ลงมานี่แหละครับ จะได้สะดวกมากยิ่งขึ้น แหม เอาใจกันซะขนาดนี้เลยเชียวนะ
BenQ เค้ามีซอฟต์แวร์ของตัวเองเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีครับ (แต่ใช้ได้เฉพาะกับจอ BenQ เท่านั้นนะ) มันชื่อว่า “Pallette Master Element” เพื่อนำมาใช้งานร่วมกับอุปกรณ์คาลิเบรท ซึ่งข้อดีก็คือ มันเป็นซอฟต์แวร์จากทางผู้ผลิตเอง ก็ย่อมจะต้องรู้จักกันเป็นการส่วนตัวดีอยู่แล้ว
วิธีการใช้งานก็ไม่ยุ่งยากอะไรครับ เปิดซอฟต์แวร์ขึ้นมาแล้วทำตามคำแนะนำของโปรแกรม เลือกแบบ Photography เข้าไว้ นอกนั้นเดี๋ยวเค้าจัดการกันเอง ง่ายแสนง่ายไม่ยุ่งยาก ขั้นตอนนี้ก็จะใช้เวลาสัก 15 นาที ปล่อยให้เครื่องมันทำไป เราก็ไปหากาแฟจิบกันเสียก่อนก็ยังได้
ของผมก็จะคาลิเบรทให้ทั้งสามจอแสดงสีใกล้เคียงกันมากที่สุด จะได้ทำงานได้โดยไม่สับสน ซึ่งสำหรับจอ BenQ ทั้งสองรุ่นที่วางคู่กันนั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะล้วนเป็นจอ Color Management Monitor ทั้งคู่อยู่แล้ว
ลองคิดดูเล่นๆ ครับว่า ถ้าคุณใช้สองจอแล้วความสามารถในการแสดงสีของมันไม่เหมือนกัน…เราจะเชื่ออันไหนดี? อันไหนคืออันที่ถูกต้องกันแน่?
แต่ถ้าไม่คาลิเบรทล่ะ? ก็ใช้งานได้เลยครับ เพราะก็อย่างที่บอกล่ะครับว่าเค้าจัดการมาให้จากโรงงานอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าต้องการให้แม่นขึ้นอีกก็มาทำเพิ่ม แต่ถ้าไม่ทำก็ใช้งานได้เลย มันยังคงแสดงสีแม่นยำระดับนึงอยู่ดี เว้นแต่ว่าถ้าคุณใช้เพื่อทำงานสิ่งพิมพ์หรือปริ้นท์เตอร์ละก็อันนั้นผมแนะนำว่ายังไงคุณก็ต้องคาลิเบรทใหม่เพื่อให้มันตรงกัน จะได้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดยังไงล่ะ
• สรุป
ต้องขอบอกว่ามันเป็นจอที่ใช้งานได้ดีมากๆ สำหรับความเป็นช่างภาพ เพราะเค้าถือกำเนิดมาด้วยคอนเซฟต์นี้โดยตรงอยู่แล้ว แบบนี้แหละที่เราจะสามารถปรับแต่งภาพได้อย่างเป็นมาตรฐานและแม่นยำใกล้เคียงกับของจริงหน่อย รับรองว่าคุณจะลืมจอเก่าที่เคยใช้งานอยู่ไปเลย เผลอๆ อาจจะเสียดายว่าทำไมไม่ซื้อมาใช้ซะตั้งนานแล้ว ไม่งั้นก็มีไฟล์ภาพดีๆ อีกตั้งเยอะเอาไว้อวดให้โลกเห็น เลยต้องมาโปรเซสกันใหม่อีกรอบสิ
แต่ถ้าคุณเป็นมืออาชีพที่ผลิตงานในเชิงพาณิชย์ละก็ นี่คือจอภาพที่คุณควรใช้งานเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันหมายถึงว่างานของคุณจะโปรขึ้นอีกมากมายจากการแสดงผลให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้องต่อทุกการปรับแต่ง ไม่ว่าจะเป็นงานซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะใช้แสดงบนจอภาพหรือสำหรับงานสิ่งพิมพ์ทั้งหลายก็ตาม
อ้อ! สำหรับนักตัดต่อวีดีโอทั้งหลายด้วยสิครับ พื้นที่หน้าจอสำหรับการทำงานของคุณมักจะไม่สะใจสำหรับพวกวินโดว์และ Timeline ต่างๆ ใช่ไหมล่ะ? แหมอยากให้ให้จอมันยาวสักร้อยเมตรจริงๆ แต่นี่ละครับ ด้วยความเป็น 4K มันก็จะเพิ่มพื้นที่การทำงานของคุณให้เยอะขึ้นอีกสอง-สามเท่าตัวเลยทีเดียว
อีกสิ่งหนึ่งที่พิเศษมากก็คือ SW271 นี่เค้ามีโปรเซสเซอร์ประมวลผลเรื่องสีอยู่ในตัวเองครับ ไม่ต้องรบกวนทรัพยากรของการ์ดจอในเครื่องคอม ดังนั้นมันจึงทำงานได้รวดเร็วมาก ส่งผลให้การทำงานโดยภาพรวมของเราดีขึ้นเห็นๆ เลยด้วย
เอาละครับ ในเมื่อมันเป็นจอภาพที่เจ๋งมากๆ ขนาดนี้แล้ว ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ค่าตัวจะแรงสักหน่อยถ้าเรายังไม่ได้เทียบความสามารถ นั่นก็คืออยู่แถวสี่หมื่นกลางๆ สำหรับท่านที่ต้องใช้งานในระดับมืออาชีพอยู่แล้วก็นับว่าคุ้ม เหมือนกับที่คุณซื้อเลนส์เกรดโปรนั่นแหละ ถึงมันจะแพงแค่ไหนแต่เพื่อคุณภาพของงานแล้วยังไงของมันก็ต้องมี จริงไหมล่ะ?
แต่ถ้าคุณไม่ได้มีงบประมาณขนาดที่ว่า ผมก็แนะนำรุ่น SW2700PT ความละเอียด 2K ครับ ตัวนั้นก็จัดว่าเป็นโคตรเซียนแล้ว ราคาเบากว่า SW271 สักเท่าตัว แต่คุณภาพนั้นรับรองว่าใช้แล้วติดใจในความเที่ยงตรงแม่นยำดุจเดียวกันแน่นอน
ขอบอกว่า ไม่ว่าจะเป็น SW271 หรือ SW2700PT ต่างก็เป็นจอภาพที่ผมแนะนำให้นักถ่ายภาพควรต้องมี เพราะปัญหาใหญ่ๆ ที่ผมสังเกตดูอยู่ก็คือ เรามักจะปรับแต่งภาพกันแล้วมันดูแปลกออกไปจากที่ควรจะเป็น ซึ่งผมดูแล้วก็เชื่อว่ามันเป็นเพราะปัญหาของการไม่ได้เห็นลักษณะแสงเงาและสีสันของภาพตามที่เป็นจริง พอเอ้าท์พุทออกมามันก็เลยแสดงผลผิดเพี้ยนไปนั่นละครับ ก็ถ้าจอภาพมันแสดงผลถูกต้องเราก็จะได้ไม่ต้องปรับแต่งภาพกันมั่วไปมั่วมาโดยไม่รู้ว่าสีสันที่ถูกที่ควรอย่างที่เราอยากจะให้เป็นนั้นมันเป็นยังไงกันแน่ ซึ่งก็ย่อมจะตามมาด้วยผลลัพธ์อันเป็นผลงานที่ดีขึ้นยังไงล่ะ
…เจ็บแต่จบครับสำหรับจอภาพ BenQ SW271 รุ่นนี้ บอกเลย!
ปิยะฉัตร แกหลง
PhotoNextor XT
ตุลาคม 2561